โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
เมนูชมรม

* เกร็ดความรู้สุดสนุก *

ชื่อชมรม* เกร็ดความรู้สุดสนุก *
ผู้ก่อตั้งเด็กเนิร์ด
ก่อตั้งเมื่อ15 กุมภาพันธ์ 2015
ระดับชมรม0
รายละเอียดชมรมนี้เหมาะสำหรับคนแสวงหาความรู้ทั้งหลาย โดยส่วนมากเป็นความรู้ที่น่าสนใจที่ทุกคนอาจมองข้าม ชมรมนี้เป็นชมรมที่สบายๆ เต็มไปด้วยความรู้ สามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ สามารถขอมาได้ด้วยนะครับ มาสมัครกันเยอะนะครับ * ข้อดีของการได้เป็นสมาชิกชมรมนี้ * - สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ได้ - มีการอัพเดทข่าวสารประจำสัปดาห์ข่าวสาร - เป็นชมรมที่สบายๆ - สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ได้ - มีสื่อ วิดีโอแนะนำ
จำนวนสมาชิก6
จำนวนสมาชิก

6

เข้าได้ทุกคน
ตั้งกระทู้ใหม่
  • 1
  • 2
A
A
A
A

เด็กเนิร์ด
#1
เด็กเนิร์ด
15-02-2015 - 09:10:50

#1 เด็กเนิร์ด  [ 15-02-2015 - 09:10:50 ]







ยินดีต้อนรับคร้าบบ

กฎของชมรมนี้

1. ห้ามใช้คำหยาบคาย
2. มีอะไรสงสัยส่ง PM มาบอกนะครับ
3. ห้ามนำภาพลามกมาลงในเว็บนี้
4. ขอความกรุณาใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
5. ขอความกรุณาทำตามกฎเหล่านี้อย่างเคร่งครัด หากมีกฎเพิ่มเติม สามารถแสดงกฎเพิ่มเติมได้ ทางชมรมจะพิจารณา
6. อยากได้ความรู้เพิ่มเติม ขอมาได้นะครับ

ข้อดีของการได้เป็นสมาชิกชมรมนี้

- สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ได้
- มีการอัพเดทข่าวสารประจำสัปดาห์ข่าวสาร
- เป็นชมรมที่สบายๆ
- สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ได้
- มีสื่อ วิดีโอแนะนำ

โลโก้ชมรมนี้







มีอะไรแนะนำหน่อยนะครับ


10 อันดับความรู้

10 อันดับประเทศที่สงบที่สุดในโลก

กลับมาพบกันอีกครั้งแล้วสำหรับเรื่องราวของความเป็นที่สุดในโลกของเราในวันนี้ครับ ยังคงเดินหน้าค้นหาและรวบรวมเอาควสามเป็นที่สุดในโลกจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ได้รับชม ศึกษาไว้เป็นข้อมูลความรู้เหมือนเช่นเคย หลายๆ สิ่งบนโลกเรานั้นทุกอย่างล้วนแต่ต้องมีความเป็นที่สุดในโลกครับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราเคยพาทุกท่านไปรู้จักกับ “10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2014 โดยนิตยสาร TRAVEL + LEISURE” วันนี้เราจะพามาชมกับ 10 อันดับ ประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลก กันบ้างครับ มาดูกันว่าประเทศไหนที่จะขึ้นชื่อว่าสงบสุขที่สุดในโลก

การจัดอันดับดังกล่าวมาจาก ดัชนีความสงบสุขโลก (จีพีไอ) ใช้การจัดอันดับประเทศต่างๆ ใต้เงื่อนไข 3 ประการคือ 1.ระดับความปลอดภัยและความมั่นคงในสังคม 2.ขอบเขตความขัดแย้งภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ และ 3. ระดับกำลังทหาร และผลจากการวัดดัชนีต่างๆ ที่ว่านี้ผลแรากฎว่าประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลกนั้นมีดังนี้ครับ


อันดับ 10. นอร์เวย์

สำหรับนอร์เวย์ นั้นเป็นประเทศที่มีดัชนีความสุขขยับขึ้นมาจากปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าในด้านของความขัดแย้งนั้นจะมีคะแนนที่ต่ำ แต่ว่าในเรื่องของการทหารนั้นกลับมีคะแนนที่สูง สืบเนื่องมาจากการส่งออกอาวุธที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเองละครับ


อันดับ 9. เบลเยี่ยม

เบลเยี่ยมนั้นได้รับการพิจารณาว่าเป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการศึกษาของเด็ก นอกจากนี้ยังมีปราสาทที่งดงาม รวมไปถึงของกินขึ้นชื่ออย่าง วัฟเฟิลส์ และช็อกโกแลตอีกต่างหาก

อันดับ 8. ญี่ปุ่น

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าประเทศแห่งนี้จะขึ้นมาติดอันดับทอบเท็นของประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลกได้ แถมยังเป็นประเทศที่มีความสงบสุขมากที่สุดในทวีปเอเชีย และยังเป็น 1 ในทั้งหมด 11 ประเทศที่ไม่มีความขัดแย้งทั้งภายใน และภายนอกประเทศ

อันดับ 7. แคนาดา

ประเทศขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก แถมยังยังมีความสงบสุขเป็นอันดับที่ 7 ของโลกอีกต่างหาก ประเทศแหง่นี้มีความปลอดภัยสูง มีมาตรฐานการดำรงชีพสูง มีความเสี่ยงในการก่อการร้ายต่ำมาก


อันดับ 6. ฟินแลนด์

ประเทศที่มีการบังคับเกณฑ์ทหารสำหรับพลเมืองชาย แต่มีการควบคุมการปฏิบัติการทางทหารที่เข้มงวด เข้าร่วมเฉพาะภารกิจของสหประชาชาติเท่านั้น

ภาพ: นายทหารรักษาสันติภาพฟินแลนด์ ในอัฟกานิสถาน

อันดับ 5. สวิตเซอร์แลนด์

ประเทศที่มีภาพลักษณ์ในด้านของความเป็นกลาง ไม่เคยเห็นสวิตเซอร์แลนด์เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนอกประเทศแต่อย่างใด แถมประเทศแห่งนี้ยังเป็น 1 ในไม่กี่ประเทศที่มีคะแนนต่ำสุดในเรื่องความขัดแย้งทุกรูปแบบ เยี่ยมจริงๆ

อันดับ 4. นิวซีแลนด์

ประเทศแห่งนี้ได้รับความนิยมในด้านของการท่องเที่ยวมาก หลังจากเคยถุกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ไตรภาคอันโด่งดังอย่าง ออฟ เดอะ ริงส์ และเดอะ ฮอบบิท อีกด้วย

อันดับ 3. ออสเตรีย

ปัจจัยหลักๆ เพียงไม่กี่ข้อ ที่ทำให้ออสเตรีย ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของดัชนีความสงบสุข รวมถึง ความสงบสุขโดยรวมของประเทศ และการลดนำเข้าอาวุธลงอย่างมาก

อันดับ 2. เดนมาร์ก

เดนมาร์ก และประเทศอื่นๆ ในยุโรปเหนือ ถูกจัดให้เป็นดินแดนที่เหมาะสำหรับการทำธุรกิจ และมีความปลอดภัยมากที่สุดในโลกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการอยู่ในอันดับ 2 ของดัชนีความสงบสุข ทำให้เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีความสงบวสุขมากที่สุดในยุโรป โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกรุงโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของประเทศ ถูกกองทัพนาซีเข้ายึดครอง ชาวเดนมาร์กได้เลือกใช้วิธีการที่ปราศจากความรุนแรงในการต่อต้านการยึดครอง

อันดับ 1.ไอซ์แลนด์

ในปีนี้ ไอซ์แลนด์ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีความสงบสุขมากที่สุดในโลก โดยมาตรวัดสำคัญที่ทำให้ไอซ์แลนด์ได้ตำแหน่งนี้ไปครอง รวมถึง การไม่มีกองทัพ และระบบสวัสดิการ ที่ดูแลด้านสุขภาพ และการศึกษาของประชาชนทุกคน ทั้งไอซ์แลนด์ ยังมีการนำพลังงานความร้อนจากใต้โลก มาใช้เป็นแหล่งพลังงานใหญ่สุดของประเทศ และยังเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มแรกสุด ที่อนุญาตให้กลุ่มรักรวมเพศแต่งงานกันได้อย่างถูกกฎหมาย




10 อันดับผีที่น่ากลัวที่สุดในโลก

อันดับ 10 ปรากฏการณ์แม่มดเบลล์ (The bell witch)

สถานที่พบเจอ เมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกา

ในปี ค.ศ.1817 สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อปรากฏการณ์หลอนที่มีชื่อที่สุดในอเมริกา ผู้คนทุกสารทิศพากันหลั่งไหลมาชม รวมไปถึงประธานาธิบดีด้วย ซึ่งก็ไม่เคยผิดหวังทุกคนได้เห็นกันทั่วหน้า ซึ่งว่ากันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์

เธอเจ็บแค้นมากเมื่อ ครอบครัวนี้โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตายเธอได้สาปแช่งว่าถ้าเธอเป็นผีฉันจะให้ดู และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากผีที่มองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็น ข้าวของแตกกระจาย เข็มทิ่มตามร่างกาย นมหกเลอเทอะ ดึงผ้าคลุมจากเตียง การทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยองแกล้งแบบสะใจ แม้กระทั่งตอนสมาชิกในครอบครัวตายผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ หัวเราะร้องเพลงอย่างเริงร่าและดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายออกจากงานฝังศพ

แม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัวอยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ ภายในถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์



อันดับ 9 ผีที่บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์สแควร์ (50 Berkeley Square)

สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์ สแควร์ กรุงลอนดอน

ผีที่นี่ดุจริงๆ เพราะมันทำให้เหยื่อเคราะห์ร้ายต้องสังเวยให้กับมัน แม้ไม่มีใครทราบที่มาแต่หลายคนต่างโดนมันฆ่าถ้าใครก็ตามที่มานอนพักบ้านร้าง หลังนั้น เช่นในปี 1887 กะลาสีสองคนชื่อเอ็ดเวิร์ด บลันเดนและโรเบิร์ต มาร์ติน ได้อาศัยบ้านหลังนี้พักชั่วคราวและต่อมากลางคืนบลันเดนก็พบเห็น ผีและสู้กับมันส่วนมาร์ตินหนีออกมาเพื่อแจ้งตำรวจและเมื่อกลับมาก็พบบลันเดนตายอยู่บันไดชั้นล่างในสภาพคอหัก ดวงตาเบิกโพลง นอกจากนั้น จอร์จ แคนนิ่ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็โดนด้วยและ เสียชีวิตในปี 1827 ปัจจุบันคนละแวกแถวนั้นมักตกใจเสียงทุบและเสียงกระแทกปึงปังในบางคืน



อันดับ8 บ้านอมิตี้วิลล์ (Amityville House)

สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 112 โอนอเวนิว อเมริกา

บ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 แต่เมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุไปในบัดดล

โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี ของ ครอบครัวของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืนไม่ว่าจะเป็น เสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ นอกจากนั้น ไม่ว่า ใครหน้าไหนเอา เรื่องนี้มาแต่งเป็นนิยายหรือทำเป็นหนังจะโดนคำสาป เห็นได้จาก เคยมีคนนำเรื่องอมิตี้วิลล์มาสร้างหนังปรากฏว่าหลายคนในกอง ถ่าย ต่างประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับ เจ็บไข้ ได้ป่วย หรือแม้กระทั่งตายอย่างลึกลับ (ปัจจุบันเราสามารถหาดู เรื่องนี้จากหนังเรื่องผีทวงบ้าน) ระวังจะโดนคำสาบ!!



อันดับ 7 เดอะ ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน (Flying Dutchman)

สถานที่พบเจอ แหลม Good Hope ฮอลแลนด์ และท้องทะเลทั่วโลก(ไทยก็เคยเจอ)

เป็นเรือปีศาจที่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆ ในทั่วโลกมาแล้วหลายร้อยปี เดิมคือ เรือ Flying Ducthman เป็นของกัปตัน Van Der Decken ที่นิสัยไม่ดี

โดยเขาหายสาปสูญที่แหลม Good Hope ก่อนหายได้ตะโกนขึ้นว่า "ข้าจะยังคงวนเวียนอยู่ที่แหลมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวาระสุด ท้าย ของโลกก็ตาม" และนับจากนั้นเป็นต้นมาผู้คนทั่วโลกก็พบเรือปีศาจแบบนี้ และว่ากันว่าเรือใดที่เห็นเรือปีศาจนี้จะต้องรับความพินาศ โดยในปี 1881 คนประจำเรือเจ้าชายจอร์จที่ 5 เห็นเรือนี้จากนั้นไม่นานเขาก็พลัดตกเสากระโดงเรือตาย.... ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยดสยอง ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีชื่อก้องโลกได้อาศัย ตำนานปีศาจนี้แต่งอุปรากรที่มีชื่อว่า Der Fliegende Hollander



อันดับ 6 วิญญาณที่โบลถ์บอร์ลีย์ (Borley Rectory)

สถานที่พบเจอ กรุงลอนดอนทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 ไมล์ แถบชานเมืองเอสเซกซ์(ปัจจุบันโดนทุบทิ้งแล้ว)

เมื่อปี ค.ศ.1362 นักบวชนิกายเบเนดิกทีนและแม่ชีจากสำนักชีในละแวกนั้นถูกพ่อมดหมอผีและชาวบ้านที่งมงายจับสองคนไปฆ่า โดยนักบวชถูก แขวนคอส่วนแม่ชีถูกฝังทั้งเป็นภายในผนังของสำนักชี ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นโบสถ์แห่งบอร์เลย์ในปี 1863 และหลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็ เกิด ขึ้นต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นก้อนหินที่ขว้างไปโดยไม่รู้ที่มา รอยเท้าประหลาด เสียง และภาพหลอนขนาดปรากฏตัวในตอนกลางวันแสดๆ เลยโดยปี 1929 เธอปรากฏตัวถี่ขึ้นและเริ่มเห็นเต็มตัวโดยในลักษณะแต่งกายเป็นชีและท่าทางใบหน้าเศร้าหมองร้องขอให้มีผู้พบศพเธอเพื่อประกอบ พิธีทางศาสนา และมีผู้ถ่ายรูปเธอออกมาเพียบ จนกระทั่งคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ก็เกิดเพลิงไหม้ตอนเที่ยงคืนและเผาโบสถ์จนเหลือเพียง ซากและโบสถ์ก็โดนทุบทิ้งจนผีไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย



อันดับ 5 วิญญาณสีชาด กษัตริย์เฮนรีที่ 4

สถานที่พบเจอ ฝรั่งเศส ???

วิญญาณ สีชาดตนนี้ไม่มีที่มา แต่มันสำแดงตนเสมอในช่วงเปลี่ยนกษัตริย์ของฝรั่งเศส เป็นร่างของชายสูงใหญ่ ใส่เสื้อคลุมสีชาด มีเครายาวสีชาด เช่นกัน ร่างนี้ไปปรากฏต่อพระพักตร์ของกษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในคืนที 13 พฤษภาคม 1610 ในห้องพระบรรทมของกษัตริย์เฮนรีเลยทีเดียว แล้วมันก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า "พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตาย" พระองค์ตกใจมากและรีบเรียกตัวขุนนางผู้ใหญ่มาหารือเพื่อหาทางแก้ไข และอีก 12 ชั่วโมงต่อมา เฮนรีก็ถูกผลักตกจากบัลลังก์จริงตามคำพยากรณ์เพราะฟรองซัวราวิลแย็คทำการรัฐประหาร นอกจากนี้วิญญาณตัวนี้ยังสำแดงตนให้นโปเลียน โปนาปาร์ตเห็นถึง 4 ครั้ง และครั้งที่ 4 คือคืนวันที่ 5 พฤษภาคม 1821 ก็เป็นวันตายของนโปเลียนนั้นเอง



อันดับ 4 ผีชุดขาวแห่งเบอร์ลิน (Ghost White of The Berlin)

สถานที่พบเจอ เยอรมัน ฝรั่งเศส ??

ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของอันนา ซิโดว์ ภรรยาลับของกษัตริย์โจอาคิมที่ 2 ในศตวรรษที่ 16 ที่ถูกจับขังจนถึงแก่กรรม ซึ่งใครก็ตามที่ได้เห็นวิญญาณ หญิงสีขาวเมื่อไหร่คนในราชวงศ์นั้นจะประสบเคราะห์กรรม เช่นปี 1619 มหาดเล็กของกษัตริย์จอร์น ซิกมุนด์เห็นร่างสีขาวก่อนที่จะตายโดยอุบัติเหตุ จากนั้นกษัตริย์จอห์น ซิกมุนด์ก็สวรรคต, นอกจากนั้นกษัตริย์หลายพระองค์ก็เห็นวิญญาณนี้ปรากฏที่รัสเซีย ปารีส และครั้งสุดท้ายที่ปรากฏคือวันที่ 29 เมษายน 1945 ซึ่งเป็นวันล่มสลายของนาซีเยอรมันที่เบอร์ลินพอดี!!



อันดับ 3 วิญญาณที่เรือควีนแมรี่ (Queen Mary)

สถานที่พบเจอ เรือควีนแมรี่(ปัจจุบันถูกจอดไว้ที่เมืองลองบีช โดยดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรม)

ควีนแมรี่เป็นเรือใหญ่มากลำหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ เคยถูกนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกปลดระวางในปี 1967 เพื่อนำไปทำโรงแรม ซึ่ง มีเรื่องเล่ากันว่าถ้าใครตายในเรือแมรี่มีอันต้องเป็นผีเฝ้าเรือทุกตน โดยมีผู้พบเห็นผีนี้ตามจุดทั่วเรือในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าที่เปียก น้ำ เด็กน้อยตามหาแม่และหายตัวไปต่อหน้า สตรีในชุดราตรีโบราณ ฯลฯ



อันดับ 2 วิญญาณของพระนางแคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard)

สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ

แม้พระนางจะโดนสำเร็จโทษหลังอภิเษกกับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ได้เพียง 8 เดือน ไปตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1542 แล้วก็ตาม ระเบียงของพระราชวัง แฮมตัน คอร์ท พาเลสทุกวันนี้ยังมีเสียงร้องโหยหวนในยามดึกเสมอ นอกจากนี้ยังสิงสู่อยู่ที่อีธอร์น มาเนอร์ ฮอลลิงบอร์น เค้นท์ด้วย



อันดับ 1 วิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn the headless Queen)

สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ

พระเจ้าเฮนรีที่ 8 นี้ช่างเป็นต้นเหตุสร้างเรื่องสยองจริงๆ เมื่อพระนางแอนน์ โบลีนพระมเหสีองค์ที่สองถูกสำเร็จโทษ 19 พฤษภาคม ปี 1536 โดยก่อนตาย นางกล่าวว่า "โอ้ ความตายนำข้าให้หลับใหล พาข้าให้พักอย่างเงียบสงัดนำข้าไปสู่ที่สุดแสนจะเงียบงันออกไปจากอกของข้า ที่ห่วงหาอาทร ย่ำระฆังความตายที่เศร้าสร้อย ปล่อยให้มันก้องกังวาน"

ว่ากันว่าวิญญาณของพระนางจะกลับมาที่ บลิคลิง ฮอลล์ ในนอร์ฟอล์ค ในวันครบรอบที่พระนางถูกสำเร็จโทษ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นพระนางเคยใช้ ชีวิต ในวัยเยาว์ที่นั้นเลยผูกพันเป็นพิเศษ ซึ่งมีรายงานปรากฏวิญญาณของพระนางไปยังสถานทีประสูติไม่ว่างเว้น โดยผู้คนมักเห็นร่างของหญิงสูงศักดิ์ปราศจากศีรษะ นั่งอยู่ในรถม้าที่ลากโดยม้าที่ปราศจากหัวสี่ตัว และคนขับซึ่งไม่มีหัวเช่นกัน รถม้าจะวิ่งช้าๆ ไปยังอาคารโบราณที่บลิงตันและ หายลับไปยังประตูหน้า นอกจากนี้พระนางยังปรากฏอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอนอีกด้วย โดยผู้ใดที่อยู่ตรงข้ามพระนางจะพลอยได้พบหายนะไปด้วย เสียสิ้น โดยใครพบเจอคนนั้นอาจหัวใจวายตายในเวลาไม่นาน ไม่ก็เสียสติ



10 อันดับกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

นิตยสารฟอร์บ เสนอบทความกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก
เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา (คาดว่าเป็นปี 2008)
ฟอร์บระบุว่า การประเมินทรัพย์สินของราชวงศ์นั้น
ต้องใช้ทั้ง ศาสตร์และศิลป์ประกอบกันไป
เนื่องด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่งของบุคคล
กับรัฐนั้นมีลักษณะเฉพาะของแตกต่างกันไป
จากรายงาน ของฟอร์บส์นั้น พบว่าพระมหากษัตริย์หลายพระองค์
มีพระราชทรัพย์ลดลง เนื่องจากผลกระทบที่ต่างๆ กันไป
ฟอร์บระบุว่า ได้ติดตามสถานะของราชวงศ์ระดับแนวหน้า
จำนวนหนึ่งมาหลายปี แต่การนำเสนอผ่าน
บทความดังกล่าวเป็นเพียงครั้งที่ 2
ที่เผยแพร่ทำเนียบกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดอย่างละเอียด
แต่สถาบัน กษัตริย์ของประเทศอย่างสเปน
และญี่ปุ่นกลับพลาดที่จะเข้าร่วมการจัดอันดับไปอย่างน่าเสียดาย


ลำดับที่ 10. Sultan Qaboos bin said of Oman

มีพระราชทรัพย์สุทธิ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
สุลต่านกาบุส ทรงขึ้นครองราชเมื่อปี1970
หลังสิ้นสุดอำนาจของผู้เป็นพ่อ
สุลต่านกาบุสได้ ทรัพย์สินจากการส่งออกน้ำมัน
ปัจจุบันพระองค์ได้หันมาทำธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 9. Princes Albert II of Monaco

เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก เป็นกษัตริย์พระองค์เดียว
ที่ยังไม่อภิเษกสมรส และถูกร่ำลือว่าทรงส่งแฟนสาว
ของพระองค์เข้าเรียน คอร์สติวเข้มภาษาฝรั่งเศส
พระองค์มีพระราชทรัพย์ประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญฯ
ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์
และหุ้นส่วนกิจการ คาสิโนในโมนาโก
พร้อมทั้งทรงวางแผนที่จะขยายพื้นที่ของประเทศ
(ซึ่งมีขนาดเท่ากับ Central Park ในนิวยอร์ก)
โดยการสร้างเขต ปกครองใหม่ในทะเล
ซึ่งจะตั้งอยู่บนเสาขนาดมหึมา โครงการดังกล่าวนี้
สร้างความวิตกกังวลแก่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 8. King Mohammed VI of Morocco

กษัตริย์โมฮัมหมัดที่ 6 แห่งประเทศโมร็อกโก
ขณะนี้มีทรัพย์สินรวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญฯ
เนื่องจากภัยแล้งที่รุนแรงส่งผลให้อัตราการเติบโต
ทางเศรษฐกิจของประเทศชะลออยู่ที่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งได้มาจากการทำเหมืองแร่ฟอสเฟต, เกษตรกรรม
และทรงร่วมหุ้นกับบริษัท
Morocco's largest public company, ONA.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 7. Sheikh Hamad bin Khalifa Al Thani of Qatar

ชีค ฮาหมัด บิน คาลิฟา อัล ธานี่
มีทรัพย์สินโดยประมาณรวม 3พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 6. Prince Hans-Adam II von und zu Liechtenstein of Liechtenstein

เจ้าชายฮันส์ อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์
มีพระราชทรัพย์ทรัพย์ประมาณการ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดยที่ LGT Bank ซึ่งเป็นแหล่งทุนหลักของพระองค์
(บริหารโดยราชวงศ์มากว่า 70 ปี)
ตกเป็นเป้าในคดีหลีกเลี่ยงภาษีอันอื้อฉาว
ซึ่งบริษัทของพระองค์ถูกกล่าวหาว่า
ช่วยเหลือลูกค้าฐานะดีหลายรายในการ “ซุกซ่อน” ทรัพย์สิน
จากการสืบสวนของวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ พบว่า
พระอนุชาของพระองค์ (เจ้าชายฟิลิป) มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในการนี้ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งประธานของ LGT

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 5. Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum of Dubai

ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม แห่งดูไบ
ทรงมีพระราชทรัพย์สุทธิ 18 พันล้านเหรียญฯ
เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Dubai Holding
ซึ่งมีการลงทุนใหญ่ๆ ในหลายบริษัท เช่น โซนี่
และบริษัทผลิตอาวุธ EADS และเมื่อเร็วๆ นี้
กองทุนรวมเพื่อการลงทุนของชีคพระองค์นี้
ได้ใช้เงิน 5 พันล้านเหรียญฯ เพื่อถือหุ้น
ในบริษัท MGM Mirage และ 825 ล้านเหรียญฯ
เพื่อซื้อกิจการค้าปลีก Barneys New York
และทรง เข้ามาซื้อหุ้นใหญ่สุดของสโมสรในอังกฤษอีกด้วย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 4. Sultan Haji Hassanal Bolkiah of Brunei

สุลต่านแห่งบรูไน ซึ่งเป็นกษัตริย์จากเอเชียจากสองประเทศ
ที่เข้าทำเนียบราชวงศ์ที่รำรวยของฟอร์บ
ราชทรัพย์ของสุลต่านแห่งบรูไน (ทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญฯ)
ลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากต้องลดอัตราการผลิตน้ำมัน
เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศบรูไนลดลง
โดยฟอร์บระบุว่า กิจการน้ำมันนั้นเป็นมรดกตกทอด
ของราชวงศ์บรูไนซึ่งเป็นราชวงศ์มุสลิมซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 3. King Abdullah bin Abdul Aziz of Saudi Arabia

กษัตริย์อับดุลลาห์ บิน อับดุล อาซิซ แห่งซาอุฯ
ทรงมีทรัพย์สินประมาณการที่ 21.5 พันล้านเหรียญฯ
รายได้มหาศาลของพระองค์ได้มาจากอุตสาหกรรมน้ำมัน
ที่ซาอุดีอาระเบีย มี*ส่วนการผลิตถึง 25 % ของแหล่งน้ำมัน
ทั่วโลก และธุรกิจการบินของสายการบินซาอุดี อาระเบียนส์
แอร์ไลน์ แต่อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์กันว่า
แหล่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย จะหมดลงในปีค.ศ.2040
หรืออีกใน 32 ปี ข้างหน้านี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 2. Sheikh Khalifa bin Zayed Al Nahyan of the United Arab Emirates

ชีค คาลิฟา บิน ซาเ ยด อัล นาห์ยาน แห่งอาบูดาบี
(สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) มีพระราชทรัพย์ประมาณ
23 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ความมั่งคั่งของพระองค์
เกิดจากการที่เมืองอาบูดาบี เป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมัน
สำรองคิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
นอกจากนั้น อาบูดาบียังมีชื่อเสียง เนื่องมาจากการลงทุน
ระดับแนวหน้าโดยบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของนั่นคือ
เงินลงทุน 7.5 พันล้านเหรียญฯ ในบริษัท Citibank

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 1. King Bhumibol Adulyadej of Thailand

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
แห่งราชอาณาจักรไทย ทรงอยู่ในลำดับสูงสุด
ของทำเนียบราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกในปีนี้
โดยมีพระราชทรัพย์ประมาณการได้ล่าสุดกว่า 35 พันล้าน
เหรียญฯ (1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน
1 บาท: 34 ดอลลาร์)
โดย พระราชทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนี้สืบเนื่องจากความโปร่งใส
ที่เพิ่มขึ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั่นเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สังเกตุแล้ว ส่วนใหญ่ จะเป็นประเทศในเครือผลิตน้ำมัน หลายประเทศรวยจากน้ำมัน
แต่พ่อหลวงของเรา สอนให้เราทุกคนอยู่แบบพอเพียง
ตั้งอยู่บนความพอเพียง เป็นสิ่งที่ทำพระองค์ประทานให้แก่
พสกนิกรชาวไทยทุกคน พระองค์ทรงเป็นนักคิด นักวางแผน
ทรงงานหนักเพื่อคนไทย เพื่อชาวไทยทุกๆคน




10 อันดับวัดที่สวยที่สุดในโลก


อันดับ10 Ankor Wat : the largest temple in history
ปราสาทนครวัด (Angkor Wat) เป็นเทวสถานฮินดูลัทธิไวษณพนิกาย
ที่นับถือพระวิษณุเป็นเทพเจ้าสูงสุด สร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
เมื่อช่วงครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 12 เพื่ออุทิศถวาย
แด่องค์พระวิษณุที่พระองค์เชื่อว่า เป็นร่างของพระองค์เอง
ในขณะที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ และหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
ศาสนสถานแห่งนี้ ก็จะเป็นพระราชสุสานที่พระองค์
จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระวิษณุ


อันดับ 9 The Temple of Srirangam ( Sri Ranganathaswamy Temple)
วัดนี้อยู่ในประเทศอินเดีย เมือง Tiruchirapalli
หรือ Trichy เป็นวัดของศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในโลก


อันดับ 8 The Harmandir Sahib : the Golden Temple in Punjab

วิหารฮัรมันดิร ซาฮิบ หรือ วิหารทองคำ เป็นวิหารที่สำคัญที่สุด
ในศาสนาซิก ตั้งอยู่ที่เมืองอัมริตสาร์ เมืองหลวงของ
แคว้นปัญจาบ ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย


อันดับ 7 Borobudur, Indonesia

บุโรพุทโธ ( Borobudur ) พุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์
ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8-9 โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร
ตั้งอยู่บนเนินสูงของเกาะชวาภาคกลาง ห่างจากเมือง
ยอกยากาตาร์ ( Yogyakata ) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ประมาณ 40 กิโลเมตร ถือเป็นโบราณสถาานขนาดใหญ่
และเป็นศูนย์รวมแห่งความภาคภูมิใจของชาวอินโดนิเซีย
และชาวพุทธทุกคน ซึ่งหวังจะไปแสวงบุญสักครั้งในชีวิต
เจดีย์บุโรพุทโธรูปทรงดอกบัวนี้ก่อสร้างตามแบบศิลปะฮินดู-ชวา
หรือศิลปะชวาภาคกลางที่ผสมผสาานระหว่างอินเดียและอินโดนีเซีย
ได้อย่างกลมกลืนที่สุด บุโรพุทโธเปรียบเป็นศูนย์กลางของจักรวาล


อันดับ 6 Chion-in Temple : Kyoto, Japan
วัดจิออนอิน (Chion-in temple) พื้นที่ของวัดนั้ใหญ่โตอลังการ
แทรกตัวอยู่ในเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นมาก
วัดนี้สร้างในปี ค.ศ. 1234 เพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้ก่อตั้ง
ศาสนาพุทธนิกายโจโด เป็นนักบวช ชื่อว่า Honen


อันดับ 5 Temple of Heaven : a Taoist temple in Beijing
หอฟ้าเทียนถานเป็นสถานบวงสรวงเทพยดาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง
ซึ่งยังคงรักษาไว้ในจีน ประกอบด้วยตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตําหนักหวงฉงอี่
และลานหยวนชิว เป็นต้น เทียนถานตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงปักกิ่ง
มีเนื้อที่ทั้งหมด ๒๗๓ เฮกต้าร์ เป็นสถานซึ่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง
และราชวงศ์ชิงใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดา ในระยะย่างเข้าฤดูหนาว
ถึงเดือนอ้ายตามจันทรคติทุกปี พระจักรพรรดิจะเสด็จไปประกอบ
พระราชพิธีบวงสรวงที่นั่นเพื่อให้การเก็บเกี่ยวได้ผลอุดม


อันดับ 4 The Shwedagon Paya (or Pagoda), Myanmar
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ
เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุ
พระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น
ตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อง 2,500 ปีที่แล้ว
แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10
สร้างโดยชาวมอญ ตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีสองพี่น้อง
พ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ามา พระองค์จึง
ประทานพระเกศามา 8 เส้น พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้าง
จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 รัชสมัยพระเจ้าพินยาอู
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร
พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมมาเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตรในปัจจุบัน
บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด โดยเฉพาะ
ชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 72 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด


อันดับ 3 rambanan : Hindu temple, Indonesia
วัดฮินดูพรัมบานัน : Prambanan Temple
พรัมบานันเป็นวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซียหรือจะเรียกว่า
ใหญ่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์เลยก็ได้ ตั้งอยู่ที่เมืองพรัมบานัน
ตอนกลางของเกาะชวา และอยู่ไม่ไกลจากยอกยากาตาร์มากนัก
วัดถูกสร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1340 โดยสันนิษฐานว่า
น่าจะสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์ Rakai Pikatan
จากราชวงศ์ Mataram ที่ 2 หรืออาจะสร้างในสมัยกษัตริย์
Balitung Maha Samba จากราชวงศ์ Sanjaya
ได้รับความเสียหายมากในช่วงปี 2006 เพราะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่นี่


อันดับ 2 Wat Rong Khun in Chiang Rai
วัดร่องขุน (Wat Rong Khun) ออกแบบและก่อสร้างโดย
อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัด
ให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2540
จากเดิมมีเนื้อที่ 3 ไร่ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาคคือ
คุณวันชัย วิชญชาคร จนปัจจุบันมีเนื้อที่ 9 ไร่


อันดับ 1 Tiger's Nest Monastery, Phutan
ถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุด ของภูฏาน ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 700 เมตร
จากพื้นล่างในหุบเขาปาโร และด้วยระดับความสูง 3,120 เมตร
จากระดับน้ำทะเล ฉายาว่า "รังเสือ" ของวัดนี้ ได้มาจากตำนานเก่า
ที่เล่าว่า พระรินโปเช (Padmasambhava - Guru Rinpoche)
ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่นิกายมหายานในภูฐาน ได้เหาะมาที่นี่บนหลังเสือ
และได้เข้าไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในถ้ำ เป็นเวลาถึง 3 เดือน
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2227 จึงเริ่มมีการสร้างวัดขึ้น


10 อันดับประเทศที่มีคนเกลียดที่สุดในโลก


อันดับ10 ประเทศอิรักความเห็นตัวอย่าง ไม่มี
สาเหตุน่าจะมากจาก การรุกรานของอิรักในอดีต ครั้งหนึ่งอิรักเคยใช้กำลังรุกรานคูเวตแล้วบังคับให้คูเวตยอมลงนามในสนธิ สัญญาฝ่ายเดียวว่าด้วยการยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอิรัก นี่เองเป็นชนวนให้เกิดสงครามในตะวันออกกลางในสมัยนั้น อิรักถูกประณามจากทั่วโลก

อันดับ 9 ประเทศอัฟกานิสถาน
ความเห็นตัวอย่าง ไม่มี
สาเหตุ ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่ชาวอเมริกันนั้นเกลียดประเทศนี้เป็นอย่างมากเพราะ ต้องการให้ทหารของพวกเขานั้นกลับคืนสู่ประเทศ ไม่ต้องไปประจำการที่ประเทศห่างไกลนี้อีกต่อไป

อันดับ 8 ประเทศรัสเซีย
ความเห็นตัวอย่าง ‘ชาวยุโรปส่วนใหญ่นั้นเกลียดประเทศรัสเซีย โดยเฉพาะประเทศที่เคยถูกรวบรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อย่างเช่น ลิทัวเนีย ลัทเวีย และอื่นๆ ประเทศเหล่านี้ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส โดยปราศจากการเยียวยาใดๆจากรัสเซียในภายหลัง’

อันดับ 7 ประเทศจีน
ความเห็นตัวอย่าง ‘พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นศุนย์กลางของจักรวาลนี้ อีกทั้งยังชอบผลิตสินค้าปลอม สินค้าอันตรายต่อผู้บริโภคที่ก่อให้เกิดมะเร็งและโรคต่างๆ ไม่เคยเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศสากลซึ่งจีนเองก็ลงนามด้วย นอกจากนี้ยังรุกรานประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลประโยชน์ เช่นกรณี ไต้หวันและหมูเกาะแปซิฟิก’

อันดับ 6 ประเทศอิหร่าน
ความเห็นตัวอย่าง ‘อิหร่านไม่ต่างอะไรจาก นาซีในยุคปัจจุบัน’

อันดับ 5 ประเทศฝรั่งเศส
ความเห็นตัวอย่าง ‘พวกเขาภาษานิยมเกินไป ไม่คิดว่าจะพูดภาษาอื่นบ้างเลยหรือไง พวกฝรั่งเศสเป็นนาซีทางภาษาชัดๆ’
‘ฝรั่งเศสหรอ ? น่ารังเกียจมาก กินทั้งกบ ทั้งหอยทาก โดยเฉพาะตับห่าน ทรมานสัตว์สุดๆ’

อันดับ 4 สหราชอาณาจักร
ความเห็นตัวอย่าง ‘พวกเขายังคงคิดว่า เยอรมัน และ ญี่ปุ่น ในปัจจุบัน เป็นผีร้ายในโลกนี้’


อันดับ 3 ประเทศเกาหลีเหนือ
ความเห็นตัวอย่าง ไม่มี
สาเหตุก็น่าจะรู้ๆกันอยู่

อันดับ 2 ประเทศอิสราเอล
ความเห็นตัวอย่าง ‘ฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างใจจืดใจดำ พวกเขายังสมควรถูกเรียกว่ามนุษย์อีกหรอ ไปตายซะ อิสราเอล’
‘ทำการฆ่าคนโดยอ้างลัทธิยูดาย(ยิว)บ้าๆของพวกเขา คนกี่พันกี่หมื่นแล้วที่ต้องตายไปเพราะเหตุนั้น
ชอบทำตัวเป็นอันธพาลในภูมิภาค รุกรานดินแดนชาวบ้านโดยมีอเมริกาหนุนหลัง นี่มันนาซีชัดๆ’


อันดับ 1 ประเทศสหรัฐอเมริกา
ความเห็นตัวอย่าง ‘อเมริกาน่ะหรอ ชอบแส่เรื่องชาวบ้านเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง แต่โกหกสร้างภาพว่าทำไปเพราะสิทธิมนุษยชนบ้าง
ทีเรื่องชาวบ้านล่ะสนใจจัง แต่เรื่องของตัวเองกลับทำตรงกันข้าม ตลกดีนะ ประเทศนี้ บอกให้เอาบุญนะ เช่นเรื่องอบายมุกทั้งหลายแหล่
โสเภณี ค้


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2015-03-01 08:05:14
Kaa-ju-junior
LOLIDAY
killuax
Ga-il
น้องตอง
maver
Yeollyaonl93
9 Kanokporn 6
lnwgo007
Kaa-ju-junior
LOLIDAY
killuax
iamkrit
น้องตอง
maver
9 Kanokporn 6


เล่นแล้วเด้อ
เด็กเนิร์ด
#2
เด็กเนิร์ด
15-02-2015 - 09:11:46

#2 เด็กเนิร์ด  [ 15-02-2015 - 09:11:46 ]






ยังไม่หมดนะครับ จะพิมพ์มาเพิ่มเรื่อยๆ ทนรอหน่อยนะ

10 เทคนิคเรียน ให้เป็นคนเรียนเก่ง

เทคนิคเรียน : 1. คนเรียนเก่ง แบ่งเวลาเป็น เคล็ดลับข้อแรก ถึงแม้ว่าเราจะชอบเล่นเกมส์ อ่านการ์ตูน เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง ฯลฯ ขอแค่เราแบ่งเวลาให้เป็น เวลาไหนเล่นก็เล่น เวลาไหนเรียนก็เรียน จะเล่นวันละกี่ชั่วโมงก็ได้ แต่ขอเจียดเวลามาเรียนนอกเหนือจากในห้องเรียนสักวันละ 30 นาที ? 1 ชั่วโมงก็พอแล้ว (เสาร์-อาทิตย์ไม่ต้องก็ได้) ทำง่ายๆแต่ได้ผลชงัดนัก

เทคนิคเรียน : 2. คนเรียนเก่ง ทบทวนล่วงหน้า-หลังเรียน เข้าหัวไม่ต้องจำ เชื่อว่าข้อนี้ถูกใจคนขี้เกียจจำไม่น้อย (นายติวฟรีเองก็ด้วย หึหึ) เคล็ดลับง่ายๆ อ่านล่วงหน้าก่อนเข้าห้องเรียนสัก 10-15 นาที อ่านผ่านๆแค่หัวข้อก็พอว่าวันนี้เราจะเรียนอะไรบ้าง พอตกเย็น ก็อ่านทบทวนผ่านๆอีกรอบว่าวันนี้เราเรียนอะไรไป วันต่อวัน มันจะเข้าไปอยู่ในหัวเองไม่ต้องออกแรงจำให้เมื่อย แถมทำบ่อยๆมันจะประติดประต่อกันเองทั้งเทอม โอ้ สบายเลย

เทคนิคเรียน : 3. คนเรียนเก่ง ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง แม้หลายๆคนจะรู้อยู่ว่าดินพอกหางหมูไม่ดี แต่ก็เชื่อว่าทุกๆคนก็เคย หรือยังมีดินพอกหางหมูอยู่ทั้งนั้น นายติวฟรีเองเคยพอกนานถึงสองเดือนด้วยซ้ำ มันลำบากมากที่ต้องมาตามแก้ดินพอกหางหมู บางครั้งใช้เวลามากกว่าเดิม 3 เท่าบ้าง 4 เท่าบ้าง รู้งี้ทำซะเลยไม่ปล่อยให้พอกก็ดีหรอก


เทคนิคเรียน : 4. คนเรียนเก่ง ไม่เรียนอัดก่อนสอบ ข้อนี้ตามสองข้อที่แล้วมาติดๆ ถ้าน้องปล่อยพอกไว้ตั้งแต่ต้นเทอม ยันปลายเทอม แล้วมาอัดอ่านทีเดียวก่อนสอบ มันจะไม่ทันเอา หลายเรื่อง หลายวิชา ถ้าใครเคยเรียนอัดก่อนสอบคงรู้ดี (นายติวฟรีก็เคยทำ) ว่า อ่านบทแรกก็ยังโออยู่ แต่พออ่านบทสอง ดั๊นลืมบทแรก พออ่านบทสาม ดั๊นลืมบทสอง ฯลฯ แบบนี้เรียกว่า ได้หน้าลืมหลัง มาดูตัวอย่างสดๆกันตรงนี้เลย นายติวฟรีถามว่า เคล็ดลับข้อแรกคืออะไร (ห้ามย้อนกลับไปอ่านนะ) เชื่อว่าตอบไม่ได้กันเกินครึ่ง อิอิ จริงๆแล้วมันมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนอยู่นะว่า สมองของคนเรา จะสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้ดีโดยค่อยๆจดค่อยๆจำสะสมไปเรื่อยๆ ถ้ามาพยามจดจำในระยะเวลาสั้นๆมันจะไม่เข้าหัว ขนาดไอน์สไตน์ฉลาดเป็นกรด ก็ยังจำเยอะๆในเวลาสั้นๆไม่ไหวเลย

เทคนิคเรียน : 5. คนเรียนเก่ง ลงมือทำโจทย์ แบบฝึกหัด การบ้าน น้องๆหลายคนมองข้ามการทำโจทย์และแบบฝึกหัดต่างๆไปโดยสิ้นเชิง แล้วกลับไปให้ความสำคัญกับการเรียนเนื้อหา หรือทฤษฎีต่างๆ หลายๆคนหนักข้อ แบบฝึกหัดข้อแรกที่ได้ทำคือในห้องสอบนั่นเอง แล้วมันจะทำได้ยังไง T_T พอออกมาจากห้องสอบก็น้ำตาตกในทำไม่เป็น นักฟุตบอลเก่งๆอย่างเมสซี่ เขามีความลับในความเก่งซ่อนอยู่ นั่นคือ เขาใช้เวลาเรียนทฤษฎีนิดเดียว เอาให้ได้ครบสักรอบสองรอบก็พอ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปทุ่มเทให้กับการซ้อมในสนาม (ทำแบบฝีกหัด) อย่างหนักทุกวันๆ ถ้าอยากเรียนเก่งเหมือนเมสซี่เล่นบอลเก่ง เราก็ต้องขยันทำแบบฝึกหัดเยอะๆเข้าไว้ ^^

เทคนิคเรียน : 6. คนเรียนเก่ง ทำ mindmap เรียนรู้จากภาพใหญ่ไปภาพเล็ก มันจะง่ายกว่าเยอะมากถ้าเรามองความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งหมดโดยรวม ว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร แล้วมีหัวข้ออะไรบ้าง แต่ละหัวข้อเกี่ยวข้องกันอย่างไร อย่างการทำ mindmap นั้นช่วยได้มากๆ ที่สำคัญทำง่ายด้วย ไม่ต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องยาก แค่มีกระดาษกะปากกา ก็สามารถทำเองได้แล้ว


เทคนิคเรียน : 7. คนเรียนเก่ง ทำสรุป/ช้อตโน้ตด้วยตัวเอง การทำสรุปหรือช้อตโน้ตจะเป็นเสมือนการทบทวนและสรุปเนื้อหาด้วยตัวเอง น้องๆจะมีสรุปของเพื่อนที่เก่งๆก็ได้ แต่สำคัญคือ ให้ทำเวอร์ชันของตัวเองด้วย (เขียนสรุปจากสรุปของเพื่อนก็ได้นะ) แค่การทำก็เหมือนว่าได้ทบทวนไปแล้วรอบนึง ที่สำคัญคือ เมื่อตัวเองมาอ่านสรุปของตัวเองแล้วนั้น มันจะจำได้ชัดเจนมากกว่าการอ่านสรุปของคนอื่นมากๆ ยิ่งถ้าเขียนสรุปด้วยปากกาหลายสี วาดรุปน่ารักๆลงไป บางครั้งในห้องสอบ จำได้ด้วยแน่ะ ว่าตรงนี้เราสรุปด้วยปากกาสีอะไร วาดรูปอะไรลงไป

เทคนิคเรียน : 8. คนเรียนเก่ง ติวเป็นกลุ่มกับเพื่อน ผลัดกันถาม ผลัดกันตอบ การอ่านคนเดียวบางครั้งเราก็มองข้ามเรื่องสำคัญบางเรื่องไป การจับกลุ่มกะเพื่อน ติว หรือผลัดกันถามตอบ ก่อนสอบ จะทำให้เราได้ในส่วนที่เรามองข้ามไป ถึงบางอ้อหลายจุด บางครั้งการจับกลุ่มถามตอบก่อนเข้าห้องสอบไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้เราจำอะไรดีๆได้มากกว่าที่คิดอีกนะ

เทคนิคเรียน : 9. มั่นใจในตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองไม่เก่งเรียนยังไงก็ไม่ได้ ข้อห้ามที่สำคัญมากๆ ห้ามคิดว่าตัวเองไม่เก่งแล้วไม่สามารถทำได้เด็ดขาด เด็กไม่เก่งก็มีวิธีเรียนดีของเด็กไม่เก่งเหมือนกัน ท้อได้แต่ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด!

เทคนิคเรียน : 10. คนเรียนเก่ง ดูแลตัวเอง กินให้พอ นอนให้พอ หลายๆคนคิดว่า นี่คือเคล็ดลับตรงไหนเนี่ย แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นสุดยอดเคล็ดลับ ที่ทำให้น้องเก่งจากภายใน ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ กินอิ่มนอนหลับ จะส่งผลให้ สมองปลอดโปร่งตามไปด้วย พอสมองปลอดโปร่ง จะแล่นมาก จำอะไรได้ง่ายกว่า เร็วกว่า เยอะกว่า ไม่ลองไม่รู้นะเออ


อ้างอิง tewfree.com

วิดีโอความรูู้ * ยำสยอง *

















แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2015-02-21 09:50:07
Mine20773


เล่นแล้วเด้อ
Kaa-ju-junior
#3
15-02-2015 - 11:07:02

#3 Kaa-ju-junior  [ 15-02-2015 - 11:07:02 ]





ติดตามจ้าาาาาาาาาาาาๆ

เด็กเนิร์ด

LOLIDAY
#4
15-02-2015 - 11:34:04

#4 LOLIDAY  [ 15-02-2015 - 11:34:04 ]




ติดตามจ้า

เด็กเนิร์ด


ไม่มีเวลาเล่นเลย โชคดีนะ ทุกคน^^
หนูใส
#5
15-02-2015 - 11:41:00

#5 หนูใส  [ 15-02-2015 - 11:41:00 ]




ติดตามค่าา

เด็กเนิร์ด


tom hol, tomhi
goodday555
#6
15-02-2015 - 11:52:45

#6 goodday555  [ 15-02-2015 - 11:52:45 ]






อื้อหือ คือยาว เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อค่า

เด็กเนิร์ด


H E L L O :) #2016
ilovephuciss5
#7
15-02-2015 - 13:37:41

#7 ilovephuciss5  [ 15-02-2015 - 13:37:41 ]




i^hรู้ครับ แต่ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่

เด็กเนิร์ด


ง่ายๆไม่มีไรมาก
ลุงกร
#8
15-02-2015 - 15:37:43

#8 ลุงกร  [ 15-02-2015 - 15:37:43 ]




น่าติดตามจริงๆ

เด็กเนิร์ด


ปิดเทอม นั่งเล่นคอม
น้องตอง
#9
น้องตอง
15-02-2015 - 19:46:29

#9 น้องตอง  [ 15-02-2015 - 19:46:29 ]




ประเทศที่สงบที่สุด ผมชอบญี่ปุ่นครับ บ้านเมืองเขาสะอาด พลเมืองมีคุณภาพ อาชญากรรมต่ำ



เด็กเนิร์ด


NO NO NO
euanglove
#10
15-02-2015 - 20:19:04

#10 euanglove  [ 15-02-2015 - 20:19:04 ]





น่าติดตามมม

เด็กเนิร์ด

เด็กเนิร์ด
#11
เด็กเนิร์ด
15-02-2015 - 21:31:10

#11 เด็กเนิร์ด  [ 15-02-2015 - 21:31:10 ]






ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
ทรงเจริญรอยตามกษัตริย์ ที่นับถือพระพุทธศาสนาทุกพระองค์ ซึ่งประเทศไทยเรานั้น
กษัตริย์ทุกพระองค์จะนับถือพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
แม้แต่ในรัฐธรรมนูญยังบัญญัติไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ
พระองค์ทรงนำหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นพระศาสดาของศาสนาพุทธเรา คือนำหลักทัฏฐธัมมิกัตถประโยชน์
มาประยุกต์ใช้ในสังคมยุกปัจจุบัน เหมือนกับกษัตริย์ที่นับถือศาสนาพุทธองค์อื่น ๆ
หลักดังกล่าว มี 4 ข้อ คือ

1. อุฏฐานสัมปทา (อ่านว่า อุด-ถา-นะ-สำ-ปะ-ทา) แปลว่าตามศัพท์ว่า
ถึงพร้อมด้วยความลุกขึ้น แปลเอาความว่า มีความขยันหมั่นเพียร เอาการเอางาน
ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ

2. อารักขสัมปทา (อ่านว่า อา-รัก-ขะ-สำ-ปะ-ทา) แปลว่าตามศัพท์ว่า
ถึงพร้อมด้วยการเก็บรักษา แปลเอาความว่า เก็บรักษาทรัพย์ที่หามาได้
ด้วยเรี่ยวแรงของตน ตามข้อที่ 1 การมีวินัยในการใช้จ่ายทรัพย์ที่หามาได้
ด้วยเรี่ยวแรงของตน
3. กัลยาณมิตตตา (อ่านว่า กัน-ละ-ยา-นะ-มิด-ตะ-ตา) แปลว่าตามศัพท์ว่า
ความมีกัลยาณมิตร แปลเอาความว่า รู้จักคบคนดี มีศีลธรรม มีระเบียบวินัย
คนที่รู้จักทำมาหากิน นักปราชญ์ ผู้มีความรู้สาขาต่าง ๆ ตลอดจนคนดีต่าง ๆ
แม้แต่หนังสือดี ๆ หรือบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เป็นตัวอย่างให้กับเรา
ก็ถือว่าเป็นกัลยาณมิตรได้

4. สมชีวิตา (อ่านว่า สะ-มะ-ชี-วิ-ตา) แปลตามศัพท์ว่า การเลี้ยงชีวิต เสมอต้น
เสมอปลาย แปลเอาความว่า เลี้ยงชีวิตอย่างถูกต้อง ถูกวัตถุประสงค์ เสมอต้น
เสมอปลาย ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ทำอะไรเกินตัว ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

ซึ่งข้อที่ 4 นี่แหละครับ ที่ในหลวงของเรา ทรงนำมาประยุกต์ใช้
ในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทรงประทานไว้ ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2540
โดยทรงอธิบายเพิ่มเติมว่า "...ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง
และทำได้เศษหนึ่งส่วนสี่เท่านั้นจะพอนั้น ไม่ได้แปลว่า เศษหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่
แต่เป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ ของการกระทำ..." จากนั้น ได้ทรงขยายความ
คำว่า "พอเพียง" เพิ่มเติมต่อไปว่า หมายถึง "พอมีพอกิน" "...พอมีพอกิน ก็แปลว่า
เศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง ถ้าแต่ละคน มีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้
ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกิน ก็ยิ่งดี..."

"...ประเทศไทยสมัยก่อนนี้ พอมีพอกิน มาสมัยนี้อิสระ ไม่มีพอมีพอกิน
จึงจะต้องเป็นนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อที่จะให้ทุกคนพอเพียงได้ พอเพียงนี้
ก็หมายความว่า มีกิน มีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ..." ทรงเปรียบคำว่า
พอเพียง กับคำภาษาอังกฤษว่า "Self-Suficiency" ว่า "...Self-Sufficiency นั้น
หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง...
เป็นไปตามที่เค้าเรียกว่า ยืนบนขาของตัวเอง...

...พอเพียงนี้ มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือ คำว่า พอ ก็พอเพียงนี้ ก็พอแค่นั้นเอง
คนเราถ้าพอใจในความต้องการ มันก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดผู้อื่นน้อย...



. .ถ้าประเทศใด มีความคิดอันนี้ มีความคิดว่า ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า
พอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ดังนี้

ส่วนที่ 1. กรอบแนวคิด
เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา

ส่วนที่ 2. คุณลักษณะ
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน

ส่วนที่ 3. คำนิยาม
ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ ดังนี้
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่นการผลิต และการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ
การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้ และไกล


ส่วนที่ 4. เงื่อนไข
การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน 2 เงื่อนไข ดังนี้
เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต


ส่วนที่ 5. แนวทางปฏิบัติ / ผลที่คาดว่าจะได้รับ
จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี

ที่มา: http://เศรษฐกิจพอเพียง.net/

เศรษฐกิจพอเพียง

1.ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ อะไร

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการดำรงชีวิต และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับตั้งแต่
ครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับรัฐทั้งในการดำรงชีวิตประจำวัน การพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนิน
ไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวหน้าต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก


2.เศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างไร

เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มชูตัวเองได้
ให้มีความพอเพียงกับตัวเอง (Self Sufficiency) อยู่ได้โดยไม่สร้าง
ความเดือดร้อนให้ตนเอง และผู้อื่น ซึ่งต้องสร้างพื้นฐาน
ทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดีเสียก่อนมีความพอกินพอใช้สามารถ
พึ่งพาตนเองได้ ย่อมสามารถ สร้างความเจริญก้าวหน้าและ
ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศได้

3.ใครที่สามารถนำเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติได้

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวปรัชญาที่ทุกๆ คน สามารถนำไปปฏิบัติ
ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวท่านเอง นักเรียน เกษตรกร ข้าราชการ
และประชาชนทั่วไป ตลอดจนบริษัท ห้างร้าน สถาบันต่างๆ ทั้งนอกภาค
การเกษตรและในภาคการเกษตร สามารถนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ดังกล่าวไปปฏิบัติ เพื่อดำรงชีวิตและพัฒนาธุรกิจการค้าได้จริง

4.หลักการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงต้องคำนึง
ถึงอะไรบ้าง

การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ
ทางสายกลาง และความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงหลักการ 3 ประการ ดังนี้
1.ความพอประมาณ
2.ความมีเหตุผล
3.การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว

โดยการดำเนินงานเศรษฐกิจพอเพียงที่ดีจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ความรู้ และคุณธรรม
ตลอดจนต้องเป็นคนดี มีความอดทน พากเพียร
ความพอประมาณ หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับการดำรงชีวิต การดำเนินธุรกิจอย่าง
พอเพียงตามความสามารถ และศักยภาพของตนที่มีอยู่ และต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลที่เหมาะสม
ตลอดจนพึงนึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ
การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว เป็นการเตรียมความพร้อม ความรู้ ที่จะรับผลกระทบ และ
การเปลี่ยนแปลงต่างๆที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลง

การปฏิบัติตนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
ท่านสามารถมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยร่วมปฏิบัติในสิ่งง่ายดังนี้
1.ยึดหลักประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในทุกด้าน ลด ละ ความฟุ่มเฟื่อยในการดำรงชีวิต
2.ประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง สุจริต แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนในการดำรงชีพ
3.ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์ที่รุนแรงและไม่ถูกต้อง
4.ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยขวนขวายหาความรู้ ให้เกิดรายได้เพิ่มพูน
จนถึงขั้นพอเพียง
5.ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่วร้ายให้หมดสิ้นไป


5.การดำเนินชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดผลอย่างไร

การดำเนินการพัฒนาตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจักนำไปสู่
1.การดำรงชีวิตที่สมดุลมีความสุขตามอัตภาพ
2.การพัฒนาเศรษฐกิจของตนเองและประเทศชาติมั่นคง
3.การอยู่ร่วมกันในสังคมเกิดวามเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้ ปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ปฏิเสธการเป็นหนี้สิน การกู้ยืมเงิน
แต่เน้นการบริหารความเสี่ยง คือ แม้ว่าจะกู้ยืมเงินมาลงทุน ก็เพื่อดำเนินกิจการที่ไม่ก่อให้เกิด
ความเสี่ยงมากจนเกินไปแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ห้ามไม่ให้ลงทุนหรือขยายธุรกิจ
แต่เน้นให้ทำธุรกิจที่ไม่ให้เสี่ยงมากเกินไปควรลงทุนให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง


ติดต่อ-สอบตามข้อมูลได้ที่ : ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ E_mail :kkbrdsc@yahoo.com
โทรศัพท์ : 0-3938-8116-8 โทรสาร : 0-3938-8119









แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2015-02-16 20:17:39


เล่นแล้วเด้อ
Hydrenyere
#12
15-02-2015 - 22:03:07

#12 Hydrenyere  [ 15-02-2015 - 22:03:07 ]







ลำดับที่ 1. King Bhumibol Adulyadej of Thailand

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
แห่งราชอาณาจักรไทย ทรงอยู่ในลำดับสูงสุด
ของทำเนียบราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกในปีนี้
โดยมีพระราชทรัพย์ประมาณการได้ล่าสุดกว่า 35 พันล้าน
เหรียญฯ (1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน
1 บาท: 34 ดอลลาร์)
โดย พระราชทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนี้สืบเนื่องจากความโปร่งใส
ที่เพิ่มขึ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั่นเอง


น้ำตาจะแชร์ ขอไหลแป๊ปครับ ..



อันดับ 2 Wat Rong Khun in Chiang Rai
วัดร่องขุน (Wat Rong Khun) ออกแบบและก่อสร้างโดย
อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัด
ให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2540
จากเดิมมีเนื้อที่ 3 ไร่ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาคคือ
คุณวันชัย วิชญชาคร จนปัจจุบันมีเนื้อที่ 9 ไร่



วัดร่องขุ่น นะคะ



อันดับ 5 ประเทศฝรั่งเศส
ความเห็นตัวอย่าง ‘พวกเขาภาษานิยมเกินไป ไม่คิดว่าจะพูดภาษาอื่นบ้างเลยหรือไง พวกฝรั่งเศสเป็นนาซีทางภาษาชัดๆ’
‘ฝรั่งเศสหรอ ? น่ารังเกียจมาก กินทั้งกบ ทั้งหอยทาก โดยเฉพาะตับห่าน ทรมานสัตว์สุดๆ’


กระต่ายพวกนางก็กินค่ะ
แถมหยิ่งมากๆ เพราะเมื่อไหร่ ที่มีคนมาถามทางพวกนางเป็นภาษาอังกฤษ
พวกนางจะตอบภาษาฝรั่งเศสค่ะ




อันดับ 1 ประเทศสหรัฐอเมริกา
ความเห็นตัวอย่าง ‘อเมริกาน่ะหรอ ชอบแส่เรื่องชาวบ้านเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง แต่โกหกสร้างภาพว่าทำไปเพราะสิทธิมนุษยชนบ้าง
ทีเรื่องชาวบ้านล่ะสนใจจัง แต่เรื่องของตัวเองกลับทำตรงกันข้าม ตลกดีนะ ประเทศนี้ บอกให้เอาบุญนะ เช่นเรื่องอบายมุกทั้งหลายแหล่
โสเภณี ค้ามนุษย์ ยาเสพติดเนี่ย ด่าประเทศอื่นจัง แต่ตัวเองน่ะก็ชอบโปรโมตเรื่องพวกนี้ ตามภาพยนตร์บ้าง สื่อต่างๆบ้าง
ประเทศตัวเองก็มีโสเภณีให้ว่อนชุมกว่าแมลงวันซะอีก ไม่เห็นจะประณามตนเองบ้างเลย’
‘พวกเขามัวแต่ห่วงเศรษฐกิจโลก จนลืมไปว่าตนเองเป็นหนี้อยู่ 14 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (หัวเราะ)
แถมยังมีทีท่าว่าไอประเทศนี้มันจะผลาญเงินต่อไปเรื่อยๆ ไปกับกองกำลังทหาร การรุกรานต่างๆ เพื่อไปขโมยน้ำมันชาวบ้านไง’



เราก็ไม่ค่อยชอบอเมริกาเหมือนกัน
เวลาคุยกับไทยเมื่อไหร่ มีแต่เรื่องการเมือง
ผิดกับ จีน รัสเซีย คุยกัน มีแต่เรื่องค้าขาย


มีใครเคยดู Buzzfeed บ้างมั๊ยคะ
ในยุทูปน่ะค่ะ เค้าจะชอบวิจาร์ณของพวกต่างประเทศมากๆ
เอาขนม ของกิน อะไรที่แปลกๆ มาวิจารณ์บลาๆ
ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2015-02-15 22:04:41
เด็กเนิร์ด

เด็กเนิร์ด
#13
เด็กเนิร์ด
16-02-2015 - 06:07:50

#13 เด็กเนิร์ด  [ 16-02-2015 - 06:07:50 ]






มีอะไรแนะนำเพิ่มเติมได้นะครับ


มหาศิริมงคล ตัดผม, ตัดเล็บ วันไหนดี

ในตำราไทยโบราณ จะมีตำรา มหาศิริมงคล เกี่ยวกับวันที่ดีต่างๆ ซึ่งคนสมัยก่อน น่าจะพอรู้กันว่า อย่างเรื่องตัดผม วันพุธ จะเป็นวันไม่ดี เมื่อก่อน วันพุธนี่ ร้านตัดผมจะปิดกันหมด มาปัจจุบัน ผมเห็นว่า เปิดกันตามปกติ เลยอยากจะลงแนะนำไว้สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่รู้จะได้ทราบกัน



มหาศิริมงคล ตัดผมใหม่

ตัดผม วันอาทิตย์ เป็นวันดี จะมีอายุยืนยาว
ตัดผม วันจันทร์ เป็นวันดี จะมีแต่โชคลาภ
ตัดผม วันอังคาร เป็นวันไม่ดี ศัตรูจะทำร้าย ให้โทษ
ตัดผม วันพุธ เป็นวันไม่ดี การงาน จะเกิดทะเลาะวิวาท ขัดแย้ง
ตัดผม วันพฤหัสบดี เป็นวันดี เทวดารักษา เป็นศิริสวัสดิ์
ตัดผม วันศุกร์ เป็นวันดี จะมีโชคลาภ
ตัดผม วันเสาร์ เป็นวันดียิ่ง คิดสิ่งใด สมประสงค์


มหาศิริมงคล ตัดเล็บใหม่

ตัดเล็บ วันอาทิตย์ เป็นวันไม่ดี จะมีศัตรูเพิ่ม
ตัดเล็บ วันจันทร์ เป็นวันดี จะมีแต่โชคลาภ
ตัดเล็บ วันอังคาร เป็นวันไม่ดี ทรัพย์สินจะหาย
ตัดเล็บ วันพุธ เป็นวันดี มีแต่ความสุข เย็นใจ
ตัดเล็บ วันพฤหัสบดี เป็นวันไม่ดี จะมีแต่ความทุกข์
ตัดเล็บ วันศุกร์ เป็นวันดี จะมีทรัพย์ สมบัติมาก
ตัดเล็บ วันเสาร์ เป็นวันไม่ดี จะเจ็บไข้ ได้ป่วย

หวังว่า จะมีประโยชน์ กันบ้างนะครับ




แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2015-02-16 19:55:16


เล่นแล้วเด้อ
เด็กเนิร์ด
#14
เด็กเนิร์ด
16-02-2015 - 19:07:09

#14 เด็กเนิร์ด  [ 16-02-2015 - 19:07:09 ]






กลอนความรู้ เสริมกำลังใจ

ต้องฝึกเขียน เรียนไว้ ให้เลิศหรู
เป็นประตู สู่โลก โชคดั่งฝัน
รู้ลึกกว้าง สร้างภูมิ คอยคุ้มกัน
ต้องมุ่งมั่น ขันแข่ง แหล่งวิชา

ความรู้นั้น นั่นหรือ คือประทีป
สู่อาชีพ สิบร้อย คอยตรงหน้า
แสงสว่าง ทางใส ไกลสุดตา
ฝึกค้นคว้า อย่าเที่ยว เสียวเสียคน

ยาเสพติด ผิดหนัก จักต้องห่าง
เป็นตัวสร้าง ทางชั่ว ตัวสับสน
กายและใจ ไปสมอง ต้องอับจน
ทั้งทุกข์ทน หม่นจิต คิดเสียดาย
เพราะเสพยา พาแย่ แก่เร็วนัก
ชะตาหัก จักท้อ รอสลาย
ชีวิตยับ ทรัพย์สิ้น กินร่างกาย
จนอาจตาย พ่ายหมด ชดใช้กรรม

หยุดสังคม ก้มหน้า พาเกินกู่
ต้องฟังครู ดูไว้ ไม่ถลำ
ชอบหลบหลัง นั่งหลับ กลับไม่จำ
การบ้านทำ นำส่ง ตรงเวลา

เร่งเขียนอ่าน การฟัง ทั้งท่องสูตร
ฝึกการพูด ทูตดี มีภาษา
ท่องศัพท์ไว้ ให้ฟิต ติดตรึงตรา
เก่งวาจา พาเจ้า เข้าสังคม

สุข-ดี-เก่ง เร่งใจ ได้เกิดศรี
รู้รักดี มีชัย ไม่โดดร่ม
รู้เหตุผล คนรัก จักชื่นชม
รู้อารมณ์ ข่มใจ ไม่พึ่งยา

เรียนสายวิทย์ฯ คณิต ประสิทธิ์ศาสตร์
ให้ฉลาด ปราดเปรื่อง เรื่องศึกษา
แพทย์ก็ติด วิศวะ จะตามมา
จะก้าวหน้า พาสู่ ประตูทอง

คำนวณมาก ยากไป ไม่อยากสอบ
เรียนสิ่งชอบ ตอบใจ ไม่หม่นหมอง
ตั้งใจเรียน เพียรไว้ ให้ช่ำชอง
น่ายกย่อง ต้องใฝ่ ไปคิดค้น

ถ้าชอบหลาย สายศิลป์ ยินดีนัก
จะรู้จัก หลักคิด ประสิทธิ์ผล
มาประยุกต์ สุขดี ที่ตัวตน
งานมากล้น หนทาง สร้างชีวา

ส่วนสายช่าง สร้างซ่อม พร้อมหลายด้าน
หากเชี่ยวชาญ งานดี มีคุณค่า
อุตสาหกรรม นำรัฐ พัฒนา
ทุกสาขา อาชีพ รีบจับจอง

อย่าเร่งรีบ จีบแฟน แม้นเลิศหรู
ยังเรียนอยู่ รู้ไหม อย่าไปข้อง
ความรู้เรา เข้าฝัก จักเรืองรอง
เป็นขุมทอง กองใหญ่ ให้จดจำ

หากร้อนรน ล้นรัก มักฟุ้งซ่าน
อาจซมซาน อ่านเขียน เจียนตกต่ำ
ชีวิตใส วัยเยาว์ เจ้าจะช้ำ
ล้มคะมำ คว่ำลง คงเลวร้าย

รักสะดุด หลุดล่วง บ่วงตัณหา
ต้องโศกา อาดูลย์ สูญสลาย
จิตกระเจิง เพลิงเผา เศร้ามิคลาย
ทุกข์ถึงกาย ผ่ายผอม เพราะตรอมตรม

แต่ถ้าใจ ใฝ่หลง พะวงหา
ร้อนอุรา อย่าปล่อย ค่อยฝืนข่ม
ยังต้องเรียน เขียนอ่าน อีกนานนม
รู้อารมณ์ บ่งเพาะ เกราะคุ้นกัน
หักห้ามใจ ไม่คิด จิตลุ่มหลง
อย่าปักธง ลงรัก ฝักใฝ่ฝัน
อย่ารักตอบ มอบใจ ไปโดยพลัน
จงมุ่งมั่น ขยันเรียน เพียรวิชา

เป็นนักเรียน เพียรไว้ ให้จงหนัก
ส่วนเรื่องรัก มักยุ่ง อย่ามุ่งหา
เรียนไว้เถิด เกิดผล คนศรัทธา
มีวิชา ค่าล้ำ ค้ำชีวิต

รักไม่ยุ่ง มุ่งเรียน เพียรใจสู้
ตระหนักรู้ สู่ทาง สว่างจิต
รักลุ่มหลง คงยุ่ง มุ่งแต่คิด
รักมีสิทธิ ผิดซ้ำ ทำพลาดพลั้ง

เพราะร่างกาย ชายหญิง มีสิ่งเหม็น
จิตแฝงเร้น เป็นร้าย คลายสิ่งหวัง
สวยเพียงนอก หลอกใจ ไม่จีรัง
อนิจจัง สังขาร นานโรยรา

มีหลายคู่ อยู่ชิด คิดแล้วเบื่อ
กับถุงเนื้อ เจือแป้ง แต่งใบหน้า
เมื่อรักจาง หมางหม่น จนเฉื่อยชา
อนิจจา ว่ารัก หักห้ามใจ"
ประพันธ์โดยนายวัลลภ มากมี โดยปรับป
รุงแก้ไขใหม่ให้เป็นกลอนแปดสุภาพเมื่อวันพุธที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2015-02-16 19:54:12


เล่นแล้วเด้อ
เด็กเนิร์ด
#15
เด็กเนิร์ด
16-02-2015 - 19:22:01

#15 เด็กเนิร์ด  [ 16-02-2015 - 19:22:01 ]






? นานาเรื่องชวนสงสัย ?



สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle @ Atlantic Ocean) และผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์


ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


          สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

          เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุก

รายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้


เหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้


วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการ


          ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง

         ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและแหล่งหินประการัง มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว

          อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว

         ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ การผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat – clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบิน แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป

          การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้

ในที่สุดก็มีบทพิสูจน์และคำอธิบายในเชิงทฤษฎีวิทยาศาสตร์ได้แล้ว

ล่าสุดเมื่อเมื่อ ศาสตราจารย์โจเซฟ โมนาแกน และ เดวิด เมย์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ได้ไขปริศนาดังกล่าวให้กระจ่างชัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการศึกษาพบว่า ความจริงแล้ว บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ไม่ได้เป็นประตูมิติ หรือดินแดนสิ่งมีชีวิตทรงปัญญากว่ามนุษย์แต่อย่างใด แต่พื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่มีก๊าซมีเธนอยู่ใต้ท้องทะเลเป็นจำนวนมาก จนปะทุขึ้นเหนือท้องทะเล  ซึ่งก๊าซมีเธนนี้ เมื่อขยายตัวเป็นวงกว้างแล้ว ไม่ว่าวัตถุใด ๆ เคลื่อนที่ผ่าน มันก็จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้จมลงสู่ห้วงทะเลลึกอย่างรวดเร็ว ดังเช่นปฏิกิริยาของก๊าซมีเธนที่เห็นในตัวอย่างนี้

          ทฤษฎีดังกล่าว จึงกลายเป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุด และอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าได้อย่างชัดเจนที่สุด ดังนั้น จึงไม่แปลกหากที่ผ่านมา เรือหรือเครื่องบินหลายลำจะเสียการควบคุมก่อนถูกดูดกลืนให้จมลงสู่ท้องทะเลลึกอย่างไร้ร่องรอยใด ๆ ให้เห็น เพราะก๊าซมีเธนจำนวนมากนี้จะมีพลังมหาศาลที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจมลงสู่ก้นบึ้งของท้องทะเล ส่วนคำถามที่ว่าแล้ววัตถุที่จมลงสู่ท้องทะเลนั้นหายไปไหน ทำไมไม่มีใครเคยค้นพบเศษซากของเรือและเครื่องบินที่สูญหายเลยซักครั้ง นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีใครกล้าเดินทางเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และนักสำรวจที่เคยเดินทางเข้าไปเพื่อตรวจสอบความจริงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาเพื่อให้ข้อมูลใด ๆ ได้เลย 

Category: ตำนานอื่นๆที่น่าสนใจ

เรื่องชวนสงสัย

ทำไมฟันที่หักแล้วต้องโยนขึ้นหลังคา

เรื่องฟันมีความเชื่อกันแปลกๆ คนรุ่นปู่ย่าตายายสมัยก่อนมักบอกลูกหลายที่ฟันหักว่า ถ้าฟันล่างหักให้ขว้างขึ้นไปบนหลังคา ถ้าฟันบนหักให้ทิ้งใต้ถุน ท่านว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วฟันจะขึ้นเร็ว ความจริงก็เป็นเพียงพูดปลอบใจเท่านั้นเอง ฟันของเด็กถ้าเป็นฟันน้ำนมก็อาจขึ้นใหม่ได้ แต่ถ้าเป็นฟันแท้ก็หมดสิทธิ์
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องแปลกที่ความคิดเกี่ยวกับฟันมีเรื่องคล้ายๆ กัน ชาวเยอรมันโบราณเมื่อเห็นฟันน้ำนมเด็กหักหรือหลุด ก็จะเอาฟันซี่นั้นใส่ลงไปในรูหนู เขาเชื่อว่าถ้าทำเช่นนั้นแล้ว จะป้องกันโรคปวดฟันไม่ให้เกิดกับเด็กคนนั้น ถ้าเป็นผู้ใหญ่ฟันหักก็ให้โยนฟันข้ามหัวไปข้างหลัง แล้วพูดว่า “หนูเอ๋ย เอาฟันเหล็กของเจ้ามาให้ข้า แล้วเอาฟันกระดูกของข้าไป” พวกชาวเกาะแถบแปซิฟิก เมื่อฟันเด็กหักจะพูดว่า “หนูทั้งหลายเอาฟันเก่าไป แล้วให้ฟันใหม่กลับคืนมา” ว่าแล้วก็โยนฟันที่หัดขึ้นไปหลังคาบ้าน เพราะหนูชอบทำรังอยู่บนหลังคา
เรื่องดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นเพียงความเชื่อความหวัง ทำเพื่อปลอบใจเท่านั้น ไม่อาจทำให้เกิดเป็นความจริงได้

สมัยที่ยังไม่มีสบู่ แชมพู ยาสีฟัน ผงซักผอก คนไทยใช้อะไร?

ในสมัยโบราณคนไทยคงมีวิธีทำความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้าด้วยวิธีต่างๆ กัน ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใช้อะไรเป็นการประจำ แต่จากการบอกเล่าและที่เห็นอาจสรุปได้ว่า เมื่อคนไทยอาบน้ำไม่กล่าวถึงสบู่ เพียงแต่ชำระเหงื่อไคลให้หมด แล้วทาขมิ้นดินสอพองหรือแป้งหอม สาวๆ อย่างนางพิมและสายทองก็เพียง “ลงน้ำแล้วก็สีซึ่งเหงื่อไคล” เท่านั้น
ถ้าจะสระผมก็ใช้น้ำมะกรูด เห็นจะใช้เหมือนกันเป็นส่วนมาก เพราะมะกรูดหาง่ายกว่าอย่างอื่น
การทำความสะอาดฟันมีหลายวิธี คนที่กินหมากเป็นประจำ เพียงแต่บ้วนปากเอานิ้วถูฟันก็พอแล้ว อย่างนางสายทองตื่นขึ้นมาก็ “บ้วนปากล้างหน้าแล้วคลาไคล” หมากพลูนั้นว่าช่วยรักษาฟันให้สะอาดปราศจากกลิ่น จึงไม่ต้องทำอะไรมาก พระบางรูปสมัยก่อนชอบเคี้ยวกิ่งข่อยหรือไม้ขี้แรด (คนอินเดียนิยมสีฟันด้วยไม้สะเดา) ใช้สีฟันทำให้ฟันทน ไม่โยกคลอน แต่ที่ใช้เกลือสะตุถูฟันดูเหมือนจะมีมากกว่าอย่างอื่น
ส่วนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอาจใช้น้ำด่างจากขี้เถ้า เคยอ่านพบในนิทานอินเดีย นางพราหมณีใช้น้ำด่างจากขี้เถ้าต้นกล้วยซักผ้าให้สามี หรือบางทีอาจเพียงซักให้หมดเหงื่อไคลแล้วอบกลิ่นหอมก็พอแล้ว ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ต้องตากให้แห้งคือให้ถูกแดดมากๆ

เด็กไทยสมัยก่อนที่เรียนหนังสือกับพระ เรียนวิชาอะไรบ้าง?

การเรียนหนังสือกับพระในสมัยโบราณคงจะเรียนไม่เหมือนกัน คือ เรียนตามความรู้ของพระที่สอน หลักสำคัญก็คือเรียนอ่านหนังสือให้ออก ฉะนั้นจึงเริ่มด้วยหัดอ่าน ก ข จนจำได้แล้ว จึงสอนประสมตัว หัดอ่านหนังสือที่เป็นเรื่อง สอนเลขเบื้องต้น สอนโหราศาสตร์ พระบางรูปก็สอนหนังสือขอมให้ด้วย เพราะตำราโบราณนิยมเขียนเป็นอักษรขอม บางอาจารย์เข้มงวดเรื่องลายมือให้หัดคัดเขียนตัวหนังสือให้สวยงาม เพราะถือว่าลายมือดีเขียนหนังสือถูกก็เป็นเสมียนได้ หรือรับจ้างคัดและจารหนังสือเป็นอาชีพได้
นอกจากเรียนหนังสือแล้ว ยังได้รับการสั่งสอนเรื่องกิริยา มารยาท การพูดจา เพราะเด็กผู้ชายจะอยู่ที่วัดหรือไปกลับก็ตาม จะต้องคอยปรนนิบัติพระ เช่น ประเคนอาหาร ต้มน้ำชงชา ตำหมาก จนถึงบีบนวด เพราะพระที่สอนส่วนมากจะมีอายุมากแล้ว ต้องรู้จักหุงอาหารกินเอง ทำความสะอาดกุฏิที่อยู่ ก่อนนอนก็ต้องสวดมนต์ไหว้พระ
สรุปว่าการเรียนหนังสือกับพระสมัยก่อน ได้ทั้งวิชาหนังสือและความประพฤติที่ดีไปด้วย

สมัยที่ยังไม่มีนาฬิกาใช้ คนไทยนัดหมายกันอย่างไร

การกำหนดเวลาของคนไทยสมัยโบราณ หรือแม้ในสมัยที่มีนาฬิกาใช้แล้ว แต่ในบางท้องถิ่นที่ยังไม่เจริญ นิยมแบ่งเวลาตามธรรมชิต เช่น ตอนไก่ขันเวลาเช้ามือ เวลาแสงเงินแสงทองขึ้น เวลาพระครองผ้า เวลาพระออกบิณฑบาต เวลาเพล (พระฉันอาหาร) เวลาควายเข้าคอก เวลาตะวันตกดิน ฯลฯ ถ้าเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ชอบพูดกันว่า ชั่วเคี้ยวหมากแหลก (เพราะคนส่วนมากกินหมาก) ชั่วหม้อข้าวเดือด ชั่วอึดใจ การนัดหมายในเวลากลางวันค่อนข้างจะชัดเจนกว่ากลางคืน เพราะอาศัยเวลาที่พระปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่น พระตีระฆังเวลาพระครองผ้า ตีคลองบอกเวลาฉันเพล ตอนเที่ยงวันก็กำหนดเอาพระอาทิตย์ตรงศีรษะ ยืนกลางแดดไม่เห็นเงาตัวเอง เวลาพลบค่ำพระก็ตีระฆังตีกลอง ชาวบ้านไม่มีนาฬิกาก็อาศัยพระ
นอกจากนี้การนับเวลา วัน เดือน ปี ก็ถือธรรมชาติเป็นหลัก ธรรมชาติที่กล่าวนี้ก็คือพระจันทร์หรือดวงจันทร์ ที่เราเรียกกันว่า แบบจันทรคติ คับนับจำนวนวันเป็นวันๆ ไป ตั้งแต่พระจันทร์ขึ้นจนถึงประจันทร์อ่อนแสงลงตามลำดับ อย่างที่เรียกกันว่า ขึ้น 1 ค่ำ ขึ้น 2 ค่ำ ฯลฯ ที่เรียกเป็น “ค่ำ” ก็เพราะกำหนดเอาเวลาที่เราเห็นพระจันทร์เวลาค่ำ จึงเอาเวลาค่ำมาเป็นตัวกำหนดนับเป็นค่ำๆ ที่เรียกว่าข้างขึ้น ก็เป็นระยะที่เห็นพระจันทร์แหว่งมาจนถึงเห็นพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งรวมเวลาที่พระจันทร์ขึ้นได้ 15 หน ก็คือ 15 ค่ำ ต่อจากนั้นก็นับเป็นข้างแรม รวมทั้งข้างขึ้นข้างแรมเป็น 30 วันบ้าง 29 วันบ้าง เป็นหนึ่งเดือน 12 เดือนเป็นหนึ่งปี
สรุปว่า การนัดหมายเวลาของคนแต่ก่อน อาจกำหนดจากธรรมชาติที่รู้ที่เข้าใจกัน เช่น คนรู้จักดูดาวก็อาจนัดหมายกันว่า พบกันตอนดาวจระเข้ขึ้น หรือรู้ว่าใกล้จะสว่างแล้ว มีบทสักรวาของคุณพุ่มสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนหนึ่งว่า
สักรวาฟ้าขาวดาวจระเข้ ดารากรร่อนเร่หันเหหาง
นภางค์พื้นชื่นฉ่ำด้วยน้ำค้าง จะสว่างเสียแล้วหนอต้องรอรา
ตั้งแต่อ่านมาทั้งหมดนี้ ทำให้มึนไปเยอะเลย -*- แต่ว่า...มันก็ยังไม่หมดสงสัยอยู่ดีนั้นล่ะ ว่าจะไปนับจันทร์กันยังไง แล้วดูเวลาไหน แล้วถ้ามันไม่เป็นไปตามนั้นล่ะ -*- ปวดหัวเลย แต่...ห้ามถามนะ เพราะว่า...ตอบไม่ได้ อิอิ ก็มันเป็นบทความที่ไปเจอโดยบังเอิญนี้จ๊ะ เอาเป็นว่า คนสมัยก่อน กลางวันอาศัยพระ ก็แล้วกัน ส่วนกลางคืออาศัยพระ เหมือนกัน (พระจันทร์)

อ้างอิง http://www.dek-d.com/board



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2015-02-19 05:59:44


เล่นแล้วเด้อ
Yeollyaonl93
#16
16-02-2015 - 21:44:10

#16 Yeollyaonl93  [ 16-02-2015 - 21:44:10 ]




ติดตามนะ ชอบเรื่องมีสาระ เพราะปกติเราไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่

เด็กเนิร์ด


twt ; owo_wink | เดมคุยได้
เด็กเนิร์ด
#17
เด็กเนิร์ด
17-02-2015 - 06:02:20

#17 เด็กเนิร์ด  [ 17-02-2015 - 06:02:20 ]






ครับๆ



เล่นแล้วเด้อ
Hydrenyere
#18
17-02-2015 - 18:22:12

#18 Hydrenyere  [ 17-02-2015 - 18:22:12 ]







อยากได้เรื่องหลอน. *0* แม่ว่าจะไม่ใช่สาระก็เถอะ

เด็กเนิร์ด

เด็กเนิร์ด
#19
เด็กเนิร์ด
17-02-2015 - 18:48:55

#19 เด็กเนิร์ด  [ 17-02-2015 - 18:48:55 ]






จัดให้ครับ เราว่าจะพิมพ์แบบหลอน แต่กลัวว่าเขาจะว่ากัน

10 ตํานานเมืองขนหัวลุกของญี่ปุ่น


คุณก็รู้ว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่เหมือนชาวบ้าน ตำนานเมืองและภูตผีปีศาจก็เช่นกัน มีหลายตำนานที่เป็นเรื่องแปลกประหลาดไม่เหมือนใครที่ไหน และวันนี้เราจะนำเสนอ 10 เรื่องตำนานเมืองขนหัวลุกของญี่ปุ่น



10.นูเระ อนนะ (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ผู้หญิงเปียก) เป็นสัตว์สะเทือนน้ำสะเทินบก(ปีศาจ) ที่ ตำนานของญี่ปุ่นที่มีหัวเป็นหญิงสาวลำตัว (ร่างกาย) เป็นงูรายละเอียดของรูปร่างหน้าตาของเธอจะแตกต่างเล็กน้อยไปตามเรื่องเล่า โดยตัวเธอยาว 300 เมคร มีผมสวย (บางตำนานก็มีลำตัวเป็นผู้หญิงมีแขนและหน้าอก) มักอาศัยตามชายฝั่งทะเล

ตำนานที่มาของเธอนั้นไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่หลายคนรู้แน่นอนคือมันเป็นสิ่งอันตรายสำหรับมนุษย์ ที่เธอสามารถรัดมนุษย์ด้วยพลังมหาศาลที่สามารถบดขยี้ต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย บางตำนานกล่าวว่าเธอมักพาลูกน้อยมาด้วยเพื่อล่อเหยื่อเข้ามาหา จากนั้นก็ใช้ลิ้นงูพันตัวเหยื่อและดูดเลือดออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตามเธอเป็นปีศาจที่สันโดษ และจะทำร้ายมนุษย์หากรบกวนเธอเท่านั้น

นูเระ อนนะในตำนานเมืองปัจจุบัน มีความเชื่อว่าเกิดจากวิญญาณแค้นของผู้หญิงตามน้ำ และมักอยู่สระว่ายน้ำหรือชายหาดที่เงียบสงบ หากใครที่ลงไปในน้ำจะถูกปีศาจงูลากเหยื่อให้จมน้ำตาย ซึ่งผู้ปกครองมักเตือนบุตรหลานไม่ให้ไปว่ายน้ำคนเดียว



9.ฮิโตบาชิระ หมายถึง เสามนุษย์หรือเสาหลักเมืองในตำนานญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสังเวยหรือบวงสรวงมนุษย์ที่ใช้มนุษย์ทั้งเป็นฝังไว้ใต้หรือใกล้อาคารใหญ่ จำพวกเขื่อน, สะพาน และปราสาท ซึ่งเพื่อเป็นคำอธิษฐานต่อเทพเจ้าเพื่อก่อสร้างเสร็จลุล่วงและไม่ให้อาคารโดนทำลายจากธรรมชาติหรือการโจมตีของศัตรู เชื่อว่าเสามนุษย์เริ่มขึ้นในสมัยระหว่างก่อสร้างสุสานโบราณของชนชั้นสูงและได้กลายเป็นประเพณีที่อยู่ในท้องถิ่นและเมืองหลายแห่งในญี่ปุ่นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีตำนานเสาหลักเมืองพบเห็นในสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่น แต่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่มีหลักฐานยืนยัน



8.โกซูเป็นที่รู้จักในฐานะหัวหน้าวัวซึ่งเป็นตำนานเมืองของญี่ปุ่น โดยตำนานเล่าว่ามีกลุ่มเด็กและอาจารย์แห่งหนึ่งกำลังเบื่อในระหว่างเดินทาง ทำให้คุณครูรู้สึกกังวัลใจกับนักเรียนของเขา จึงตัดสินใจเล่าเรื่องผี ซึ่งสำหรับเด็กแล้วชอบเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว และแล้วคุณรู้ก็ถามนักเรียนพวกเขาว่าในที่นี้มีใครเคยได้ยิน หัววัวบ้างนักเรียนได้ฟังก็ตอบว่าไม่เพราะไม่เคยคุ้นเคยกับเรื่องดังกล่าวเลย จากนั้นครูก็เราเรื่องซึ่งเรื่องน่าสนใจมากจนนักเรียนเหมือนต้องมนต์สะกด จากนั้นเรื่องของครูก็เริ่มน่ากลัวขึ้น น่ากลัวขึ้น จนเด็กนักเรียนหลายคนบอกว่าให้ครูหยุด แต่ปรากฏว่าครูไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ จนกระทั้งต่อมาจู่ๆ รถก็หยุดกลางถนน เด็กเอนลงเบาะและก็พบว่าเด็กและคนขับรถตั้งกล่าวไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือพูดอะไรได้เลย เนื่องจากเขาได้ยินเรื่องสยองขวัญของครูและเกิดอาการหวาดกลัวมากนั้นเอง จนกระทั้งต่อมาเมื่อทั้งหมดเคลื่อนไหวได้ ก็พบเรื่องแปลกคือพวกเขาจำเรื่องสยองขวัญน่ากลัวนั้นไม่ได้ อีกทั้งคุณครูก็ไม่สามารถจำได้เรื่องเล่า ที่เขาเล่าได้เด็กได้เลย ซึ่งเรื่องสยองขวัญน่ากลัวดังกล่าวเขาได้ลืมไปหมดสิ้น

ตำนานเรื่องสยองขวัญของหัววัวนั้นมีรูปแบบแตกต่างไปตามแต่ละท้องที่ บางท้องที่ถึงขั้นเป็นคำสาปว่าหากใครฟังเรื่องสยองขวัญดังกล่าวพวกเขาจะตายไม่นานหลังจากนั้น ทำให้ไม่มีใครที่รู้เนื้อหาว่าเรื่องมันน่ากลัวขนาดไหน


7. Jinmenken (Human Faced Dog)
หรือสุนัขหน้าคน เป็นเรื่องเล่าที่ฮิตมาในญี่ปุ่นช่วงหนึ่ง ในปลายศตวรรษที่ 1980 และ 1990 (แต่ตำนานเก่าแก่ที่สุดพบว่ามันมีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ 1603-1868) โดยเป็นรายงานการพบสุนัขที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ มักปรากฏตัวในกลางคืน บนถนนทางหลวงเขตเมืองของญี่ปุ่น หรือไม่ก็ตามเมืองตอนกลางคืนในขณะคุ้ยถังขยะ ซึ่งมันวิ่งเร็วมากประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้มันยังสามารถพูดคุยเป็นภาษามนุษย์ได้อีกด้วย แต่ส่วนมากมักพูดเป็นประโยคไม่กี่คำส่วนมากเป็นคำหยาบซึ่งส่วนมากพูดว่า อย่ามายุ่งกับฉัน หรือไม่ก็ขอของกิน มีเรื่องเล่าว่ามีเด็กสาวประถมคนหนึ่งนั่งทางไอศกรีมที่สวนสาธารณะบนมานั่ง และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า กินมั้ง กินมั้ง เมื่อเธอหันกลับไปก็พบสุนัขหน้าชายวัยกลางคนน่ากลัวกำลังแลบลิ้นกระดิกหาง ส่งผลทำให้เธอตกใจสุดขีด


6.แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประเทศขึ้นชื่อว่ากลัวผีมากที่สุด แต่กระนั้นญี่ปุ่นกับชื่นชอบเล่น คกคุริซัง(คล้ายกับผีถ้วยแก้วบ้านเรา) อยู่ไม่น้อย โดยเป็นเกมญี่ปุ่นในช่วงยุคเมจิซึ่งคล้ายๆ กับการทำนาย โดยวิธีเล่นจะใช้กระดานที่เรียกว่า Ouija (หรือจะเป็นกระดาษ ซึ่งเขียนรูปประตูตรงกลางหัวกระดาษและพยัญชนะญี่ปุ่น) และใช้เหรียญสิบเยนเรียกวิญญาณเลื่อนไปมาสร้างคำเพื่อตอบคำถาม โดยผุ้เล่นต้องมีสองคนขึ้นไป และให้ทุกคนวางนิ้วบนเหรียญสิบเยนแล้วท่องว่า คกคุริซัง คกคุริซัง ที่นี้คือโลกดาวเคราะห์ดวงที่สามแห่งระบบสุริยะ (ที่อยู่) กรุณามาที่นี่ด้วย ถ้าหากมาแล้วละก็ช่วยกรุณาเคลื่อนไปยังคำว่า ใช่ ที่เถิด หากเหรียญเคลื่อนไปคำว่าใช่ก็สามารถตอบคำถามได้ตามชอบใจ ซึ่งเชื่อว่าวิญญาณดังกล่าวคือสุนัขจิ้งจอก อย่างไรก็ตามถ้าใครถอดนิ้วออกกลางคันจะถูกเข้าสิงและฆ่าคนนั้นตาย ซึ่งตำนานเมืองได้กล่าวว่ามีผู้คิดจะเลิกคกคุริซังกลางคันและถูกวิญาณเข้าสิงจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากมักมีอาการโรคจิต



5.Hanako-San of the Toilet
คุณฮานาโกะแห่งห้องน้ำ ฮานาโกะซัง เป็นชื่อวิญญาณที่เป็นความเชื่อของนักเรียนในประเทศญี่ปุ่นที่ฮิตญี่ปุ่นในปี 1980 ในหมู่เด็กประถมทั่วประเทศ โดยเล่าว่ามีวิญญาณเด็กนักเรียนหญิงที่เสียชีวิตในห้องน้ำ ซึ่งนักเรียนลือกันให้ทั่วว่าฮานาโกะซังจะอยู่ในห้องน้ำห้องสุดท้ายทางขวามือ ถ้าอยากเจอเธอ จะต้องเคาะประตูห้องนั้นสามครั้งแล้วเรียกชื่อเธอตอนกลางคืน มีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลก มีเด็กหญิงคนหนึ่งพลัดหลงจากมือแม่ยามที่เครื่องบินมาทิ้งระเบิด ผู้คนต่างหนีตายกันแบบมั่วไปหมด เธอผู้นั้นกลัวมากเลยเข้าไปหลบในห้องน้ำสาธารณะ แต่แล้วห้องน้ำถูกไฟไหม้ เธอเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่ประตูเกิดเสียเลยเปิดไม่ออก เธอร้องไห้ทรมานอยู่ในนั้น แล้วลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเธอ เธอร้องหาแม่คำสุดท้ายจนไฟก็ลามมาถึง เธอเลยถูกไฟคลอกตายในนั้น ตั้งแต่นั้นมาหลายสมัย วิญญาณของเธอไม่ได้อยู่กับที่ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าจะเลือกสิงห้องน้ำใดห้องน้ำหนึ่ง เธอล่องลอยไปทั่งญี่ปุ่นแล้วเข้าไปในห้องน้ำต่างๆ พอเข้าไปแล้วก็เปิดประตูไม่ออก ร้องให้คนช่วยเป็นอย่างงี้มาเรื่อยๆ ถ้าบังเอิญใครไปเข้าห้องน้ำสาธารณะยามวิกาลคนเดียว ก็จะมีเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้อยู่ห้องข้างๆ เสียงนั้นทรมาน ร้องว่า เปิดไม่ออก เปิดไม่ออก
อย่างไรก็ตามตำนานที่ฮิตที่สุดของฮานาโกะก็คือ ตำนานน้ำหมึกสีแดง เป็นความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่ามีกลุ่มเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เป็นพวกท้าทาย ได้เข้าไปพิสูจน์ความกล้าในโรงเรียนยามวิกาล ที่ห้องน้ำซึ่งเชื่อกันว่ามีฮานาโกะสิงสถิตอยู่ หนึ่งในกลุ่มเด็กหญิงเห็นหมึกสีแดงวางอยู่ในห้องน้ำจึงคิดพิเรนท์เอาหมึกสีแดงมาทาตัวราวกับตัวโชกเลือด และเข้าไปหลอกทุกคน เพื่อนๆตกใจจนสั่งให้เธอคนนี้ลบหมึกสีแดงบนตัวออก วันต่อมา เด็กหญิงที่แกล้งเอาหมึกสีแดงมาทาตัว ได้ถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิต ในสภาพมีเลือดโชกตัวเหมือนที่เธอแกล้งเพื่อนในคืนนั้นเอง


4.กาซาโดคุโระเป็นชื่อของปีศาจโครงกระดูกยักษ์ใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่า มีนิสัยชั่วร้ายอำมหิตโหดร้าย ชอบปรากฏตัวกลางป่าเปลี่ยวหลังเที่ยงคืน วิธีที่ทำให้รู้ว่ามันจะปรากฏตัวคือจะได้ยินเสียงแปลกๆ ในรูหูของเรา เมื่อเจอมนุษย์จะคว้ามนุษย์คนนั้นและพยายามกัดหัวจนตาย ที่มาของโครงกระดูกยักษ์นั้นมีหลากหลาย บ้างก็ว่าเกิดจากการรวบรวมกระดูกของคนตายเพราะความอดอยาก ที่ไม่ได้ถูกเผา และวิญญาณของศพจึงรวมกันเป็นกระดูกยักษ์ นอกจากนี้ยังมีตำนานกล่าวว่า สมัยก่อนปีศาจโครงกระดูกยักษ์เคยเป็นแม่ทัพนำกองทหารบุกฆ่าและผ่านศึกสงครามมามากมาย จนในที่สุดได้จิตใจที่เหี้ยมโหดผิดมนุษย์ เขาได้ฆ่าจักรพรรดิโชกุนของตนเองตายและขึ้นเป็นประมุขแทน ด้วยบาปกรรมนี้เองเมื่อเขาตายไปจึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นคาชาโดคุโระ เฝ้าสุสานอยู่จนกว่าจะหมดกรรม... กาชาโคโระมีพลังพิเศษสามารถเข้าครอบงำจิตใจมนุษย์ได้แต่จิตใจนั้นต้องเป็นจิตที่ชั่วช้า และจิตใจด้านมืดของมนุษย์เมื่อมนุษย์หลงทางผิด มักมุ่นอยู่ในโมหะและกิเลศตัณหา เมื่อถึงเวลานั้นมันก็จะเข้าครอบงำจิตใจและสิงร่างอาศัยไปก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

3.เสื้อคลุมแดงเป็นตำนานเมืองของญี่ปุ่นว่าหากคุณกำลังนั่งชักโครกในห้องน้ำสาธารณะหรือโรงเรียน หากมีเสียงลึกลับถามว่าต้องการกระดาษสีแดงหรือกระดาษสีฟ้า ถ้าคุณตอบว่ากระดาษสีแดงคุณจะถูกหั่นออกจากกันจนเสื้อผ้าของคุณถูกย้อมเป็นสีแดง ถ้าคุณเลือกกระดาษสีฟ้าคุณจะถูกรัดคอจนผิวหนังของคุณเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ดังนั้นหากคุณที่คิดจะรอดล่ะก็ควรตอบไม่เอาทั้งสองอย่าง แต่ส่วนมากหลายคนมักตอบกระดาษสีใดสีหนึ่งเนื่องจากเป็นคำถามกระทันหันทำให้หลายคนตอบอย่างไม่รู้ตัว ตัวที่มาของเสียงนั้นกล่าวกันว่าเป็นมนุษย์ที่อยู่ในเสื้อคลุมสีแดง ซึ่งไม่ทราบเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเพราะสวมหน้ากากมิดชิด แต่ตำนานที่เชื่อกันคือเป็นผู้หญิงสาวสวยที่กลายเป็นวิญญาณหลอกหลอน
เสื้อคลุมสีแดงก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่มีหลายเวอร์ชั่นบางเรื่องก็เปลี่ยนจากกระดาษสีแดงเป็นเสื้อกั๊กสีแดง โดยเล่ากันว่ามีตำรวจหญิงคนหนึ่งถูกเรียกตัวไปที่โรงเรียนหลังจากได้รับรายงานว่าได้ยินเสียงผู้ชายในห้องน้ำหญิง เมื่อตำรวจหญิงเข้าไป (โดยให้คู่หูที่มีตำรวจชายอยู่ข้างนอก) และจู่ๆ ก็มีเสียงถามกะทันหันวา เธอจะใส่เสือสีแดงได้หรือไม่ เมื่อเธอได้ยินก็เผลอตอบว่าใช่ และแล้วเสียงกรีดร้องของตำรวจหญิงก็ดังขึ้น เมื่อตำรวจชายด้านนอกได้ยินจึงรีบเข้าไปข้างในและเปิดประตูห้องน้ำก็พบศพตำรวจหญิงไร้หัว เลือดของเธอได้เลอะเสื้อของเธอจนเสื้อเปลี่ยนเป็นสีแดง


2. Teke-Teke
เทเค-เทเค เป็นตำนานเมืองญี่ปุ่นซึ่งเป็นเรื่องของหญิงสาวหรือนักเรียนหญิงที่เกิดอุบัติเหตุหล่นลงไปทางรถไฟและร่างกายของเธอก็ถูกตัดครึ่งโดยรถไฟที่แล่นมาทับ และเธอก็กลายเป็นวิญญาณพยาบาล ถือเคียวหรือเลื่อยและเดินทางโดยใช้ข้อศอกเคลื่อนตัวไปคลานไปมาโดยขณะที่เธอลากตัวเธอจะเกิดเสียง ทัคเค-ทัคเค อันเป็นที่มาของชื่อดังกล่าว แม้ว่าจะคลานแต่มีความเร็วมาก หากใครพบเห็นเธอและหนีเธอไม่พ้นจะถูกเชือด และตัดครึ่งตัวของเหยื่อเพื่อเป็นเทเคตัวใหม่ต่อไป อย่างไรก็ตามตำนานดังกล่าวมีหลายเวอร์ชั่น แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือตำนานเกี่ยวกับผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายจากการโดดรางรถไฟ จนร่างกายขาดเป็นสองท่อน แต่เธอไม่ตายทันที โดยเธอใช้ข้อศอกคลานพร้อมร้องเรียกว่าโดยเสียงโหยหวนว่า ขาของฉันอยู่ไหน


1. Kuchisake
ผีสาวปากฉีกเป็นตำนานที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น ซึ่งมีลักษณะปากฉีกถึงใบหู โดยผีปากฉีกเป็นตำนานผีพยาบาลที่อยู่ในสมัยเฮฮัน หากแต่ปัจจุบันผีสาวปากฉีดได้กลายเป็นตำนานเมืองที่มีพฤติกรรมน่ากลัว ที่เล่าลือในกลุ่มเด็กที่เล่าว่า มันมักจะยืนอยู่ตรงริมถนนในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยไหม ถ้าตอบกลับไปว่าสวย แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวาน ชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี
ผีสาวปากฉีกเป็นตำนานที่ได้รับความนิยมและตื่นตระหนกในประเทศญี่ปุ่นในระหว่างปี 1980 ซึ่งในเวลานั้นทางการถึงขั้นประกาศให้โรงเรียนระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย





แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2015-02-17 18:49:38


เล่นแล้วเด้อ
Hydrenyere
#20
17-02-2015 - 20:50:40

#20 Hydrenyere  [ 17-02-2015 - 20:50:40 ]







มาอันแรกก็ไม่อ่านแล้วจ้าา

เด็กเนิร์ด

  • 1
  • 2

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 28th March 2024 00:27

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ