ยาวหน่อยนะคะเหอๆ
วิถีทางเพศ กับคำถามและคำตอบเกี่ยวกับการรักเพศเดียวกัน
วิถีทางเพศ (Sexual Orientation) คืออะไร ?
วิถีทางเพศ คือ ความรู้สึกทางอารมณ์ ความดึงดูดสนใจทางเพศ รู้สึกเสน่หา รักใคร่ หรือรู้สึกติดเนื้อต้องใจต่อบุคคล หนึ่ง ที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง วิถีทางเพศสามารถแยกออกจากองค์ประกอบอื่นของระบบความหมายความเชื่อเรื่อง เพศ (Sexuality) ได้ไม่ยาก
โดยองค์ประกอบของระบบความหมายความเชื่อเรื่องเพศอื่น ๆ ได้แก่ เพศสรีระ (Biological Sex) หรือเพศที่ถูก กำหนด โดยปัจจัยทางชีววิทยา ,ความรู้สึกนึกคิดในการเป็นหญิงหรือชาย (Gender Identity) และส่วนสุดท้าย คือบทบาทความเป็นผู้หญิงผู้ชายทางสังคม(Social Sex Role) รวมไปถึงบรรทัดฐาน ทางวัฒนธรรมการแสดง ออก ถึงความเป็นหญิงเป็นชาย
วิถีทางเพศที่รู้จักกันโดยทั่วไปแบ่งเป็นสามประเภทคือ
1. รักเพศเดียวกัน (Homosexual) คือ ความรู้สึกดึงดูดสนใจคนเพศเดียวกัน
2. รักต่างเพศ (Heterosexual) คือ ความรู้สึกดึงดูดสนใจคนเพศตรงข้าม
3. และ รักสองเพศ (Bisexual) คือ ความรู้สึกดึงดูดสนใจคนที่มีเพศเดียวกันกับตน และคนที่ต่างเพศกับตน
ทำไมคนเราถึงมีวิถีทางเพศที่แตกต่างกัน?
มีทฤษฏีหลายทฤษฏีเกี่ยวกับสาเหตุที่มาของการเกิดวิถีทางเพศ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เชื่อว่าวิถีทาง เพศนั้นน่าจะเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อม กระบวนการเรียนรู้ และปัจจัยทางด้านชีวภาพ
วิถีทางเพศของคนส่วนใหญ่มักจะก่อตัวขึ้นตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเร็วๆ นี้มีหลักฐานจำนวนมากที่เสนอว่า ปัจจัยทาง ชีววิทยา รวมทั้งพันธุกรรม หรือปัจจัยทางฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญมากต่อเรื่องเพศของคน โดยสรุปแล้วสิ่ง ที่ควร พิจารณาเป็นอย่างยิ่งก็คือ มีเหตุผลหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิถีทางเพศของคน ซึ่งเหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านั้น อาจแตกต่างไปสำหรับคนแต่ละคนด้วย
การบำบัดรักษาสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีทางเพศได้หรือไม่
ไม่ได้ แม้ว่าคนรักเพศเดียวกันจำนวนมากจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ และมีความสุข แต่บางคน(รวมทั้งบุคคลรักสองเพศบางคนด้วย) ก็ยังคงแสวงหาหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีทางเพศของตนด้วยการบำบัดรักษา บางครั้งความกดดันที่พวกเขาได้รับ ก็มาจากมาอิทธิพลของสมาชิกในครอบครัว หรือกลุ่มทางศาสนาที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงพวกเขา ความเป็นจริงก็คือการรักเพศเดียวกันไม่ใช่ความเจ็บป่วย จึงไม่ได้ต้องการการรักษา และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไรก็ตาม
วิถีทางเพศเป็นสิ่งที่เลือกเองได้หรือไม่?
ไม่ได้ คนส่วนใหญ่จะรู้สึกสนใจชอบพอคนอื่นเมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่น โดยไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ทางเพศใด ๆ มาก่อน และ
จากข้อมูลที่รวบรวมมา หลายคนก็ใช้เวลานานหลายปีเพื่อที่จะพยายามเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นคนรักเพศเดียวกันให้เป็นคน
รักต่างเพศ ซี่งยังไม่พบว่า มีใครทำสำเร็จ ด้วยเหตุนี้เอง สำหรับคนส่วนใหญ่ แล้ว บรรดานักจิตวิทยาจึงไม่เห็นว่า วิถีทางเพศนั้น
เป็นทางเลือกที่คนเราจะสามารถใช้ความรู้สึกนึกคิด เพื่อเลือกหรือเพื่อเปลี่ยนแปลงกันได้
การรักเพศเดียวกันเป็นอาการป่วยทางจิตหรือเป็นปัญหาทางอารมณ์ ใช่หรือไม่?
นักจิตวิทยา นักจิตเวช และผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิต เห็นตรงกันว่า การรักเพศเดียวกัน ไม่ใช่อาการป่วย วิปลาส หรือเป็น
ปัญหาทางอารมณ์ แต่อย่างใด งานวิจัยเชิงวัตถุประสงค์ (Objective scientific research) หลายชิ้น ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมาชี้
ให้เห็นว่า วิถีทางเพศนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทางอารมณ์ หรือปัญหาทางสังคม
แต่เดิมการรักเพศเดียวกัน (Homosexuality) ถูกเข้าใจที่ผิด ๆ ว่าเป็นอาการป่วยทางจิต เพราะบรรดานักจิตบำบัดและหน่วย
งานที่ทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยทางจิตทั้งหลายได้ข้อมูลที่บิดเบือน มีอคติ ทั้งนี้เป็นเพราะการค้นคว้าวิจัยส่วนใหญ่ในตอนนั้นใช้เกย์
และเลสเบี้ยนที่อยู่ระหว่างบำบัดทางจิต เป็นกลุ่มตัวอย่าง ในขณะที่นักวิจัยอีกกลุ่มที่ได้มีโอกาสศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับเกย์และ
เลสเบี้ยนที่ไม่ได้เข้าบำบัด จิตใจพบว่า คนที่รักเพศเดียวกันที่เคยถูกมองว่า เป็นการป่วยทางจิตนั้น เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ในปี 1973 สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (American Psychiatric Association) ได้ออกมายืนยันผล การวิจัยใหม่ ๆ และสนับ
สนุนให้ถอดถอนคำว่า 'homosexuality' ออกจากตำราการรักษาอาการป่วยทางจิต อย่างเป็นทางการ และในปี 1975 สมาคม
จิตวิทยาอเมริกัน (the American Psychological Association) ได้ลงมติสนับสนุนด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งสองสมาคมนี้เป็น
แรงผลักดันให้กลุ่มที่เป็นผู้ชำนาญ ทางด้านโรคจิตทั้งหลาย หันมาช่วยกันทำหน้าที่ให้ความรู้ที่ถูกต้อง แก่ประชาชนทั่วไป ที่ยัง
ตราหน้า ประณาม หรือมีความเข้าใจที่ผิด ๆ ว่า วิถีทางเพศเป็นเรื่องของอาการป่วยทางจิต นับจากปีที่มีการเปลี่ยนแปลง
ความเข้าใจเรื่องวิถีทางเพศที่ผ่านมาแล้ว ทั้งสองสมาคมก็มีผลงานวิจัยอีกหลายชิ้นออกมายืนยันสนับสนุนว่า วิถีทางเพศไม่ใช่
อาการป่วย
เกย์และเลสเบี้ยน จะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้หรือไม่ ?
เป็นได้ ผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้นทดลองเปรียบเทียบกลุ่มเด็กที่มีผู้ปกครองที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน กับกล่มเด็กที่มีผู้ปกครอง
เป็นคนรักต่างเพศ พบว่า พัฒนาการของเด็ก สติปัญญา การปรับตัวทางอารมณ์ และสังคม การปรับตัวในเรื่องเพศ รวมถึงการ
เป็นที่ยอมรับของเพื่อน ของทั้งสองกลุ่มไม่ได้แตกต่างกัน ความเชื่อแบบผิด ๆ อีกประการที่ว่า ระหว่างชายทั่วไปกับชายเกย์ เกย์
มีแนวโน้มที่จะล่วงเกิน เด็กทางเพศมากกว่า จริง ๆ แล้ว ยังไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่า คนรักเพศเดียวกันจะทำร้ายเด็ก
มากกว่าคนรักต่างเพศ
ทำไมเกย์และเลสเบี้ยบางคนถึงต้องมาบอกคนอื่นว่า ตนรักชอบเพศใด ?
เพราะการบอกกล่าวเรื่องราวของตนให้ผู้อื่นรับรู้ส่งผลดีสำหรับสุขภาพจิตของเกย์และเลสเบี้ยน จริง ๆ แล้ว กระบวนการในการยอม
รับตัวตนที่แท้จริงของคนที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยน ซึ่งมักจะเรียกว่า การเปิดเผยตัว(coming out) นั้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วย
ให้พวกเขาปรับปรุงสภาพจิตใจได้ ยิ่งพวกเขามองตัวเองในแง่ดีมากเท่าไหร่ สุขภาพจิตของพวกเขา และความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง
(self-esteem) จะดีมากขึ้นเท่านั้น
ทำไมขั้นตอนการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากลำบาก ?
เพราะความเชื่อผิด ๆ และอคติที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นต่อพวกเขาเหล่านั้น ขั้นตอนการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง จึงเป็นกระบวนการ
ที่ค่อนข้างท้าทาย ซึ่งอาจเป็นก่อให้เกิดผลกระทบทางจิตใจได้ เกย์และเลสเบี้ยน มักจะรู้สึกถึงความแปลกแยกแตกต่างและรู้สึกโดด
เดี่ยวเมื่อรู้ตัวว่า ตัวเองรักชอบคนเพศเดียวกัน พวกเขากลัวครอบครัว เพื่อน ผู้ร่วมงาน สถาบันทางศาสนา ไม่ยอมรับหากเขาเปิด
เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา นอกจากนี้ คนรักเพศเดียวกันมักตกเป็นเป้าหมายของ การถูกกีดกันและความรุนแรง ความกลัวที่จะประสบกับความรุนแรงและการกีดกันนี้เป็นอุปสรรคสำหรับเกย์และเลสเบี้ยนที่จะพัฒนาตัวเอง ในปี 1989 ผลการ
สำรวจทั่วประเทศ พบว่า 5% ของเกย์ และ 10 % ของเลสเบี้ยนบอกว่า พวกตนถูกทำร้ายร่างกายในช่วง 12 เดือนก่อนที่มีการตอบ
ผลสำรวจนี้ 47 % บอกว่าในชีวิตของพวกเขา เคยโดนกีดกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมาแล้ว ส่วนการวิจัยอื่น ๆ ก็แสดงผลออกมา
ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน
แล้วจะช่วยพวกเขาเหล่านั้น ให้สามารถเอาชนะอคติและการถูกกีดกันได้อย่างไร ?
คนที่มีทัศนะคติที่ดีต่อเกย์และเลสเบี้ยน คือ คนที่พูดว่า พวกเขารู้จักคนที่เป็นเกย์หรือเลสเบี้ยนอย่างน้อยหนึ่งคนหรือมากกว่านั้น
เป็นอย่างดีด้วยเหตุผลนี้เอง นักจิตวิทยาเชื่อว่า คนที่มีทัศนะคติไม่ดีหลาย ๆ อย่างกับเกย์โดยมองพวกเขาเป็นคนจำพวกหนึ่งจะ
เกิดรู้สึกเช่นนั้นได้โดยจำเป็นต้องรู้จักหรือมีประสบการณ์ อะไรมาก่อน แต่ที่รู้สึกไม่ดีก็เพราะความเชื่อผิด ๆ และความมีอตินั่นเอง
นอกจากนี้ เกย์และเลสเบี้ยนควรได้รับการปกป้องไม่ให้ต้องเผชิญกับความรุนแรงและการกีดกันแบ่งแยก ดังเช่นที่ ชนกล่มน้อย
ทั่วไปได้รับ ในบางรัฐถือว่า การใช้ความรุนแรงต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพราะบุคคลนั้นมีวิถีทางเพศที่แตกต่างถือเป็นอาชญากรรม
ที่ทำเพราะความเกลียดชัง (hate crime) มลรัฐแปดแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมายป้องกันไม่ให้เกิดการกีดกัน
เพราะคน ๆ นั้นมีวิถีทางเพศที่แตกต่าง
สามารถบำบัดรักษาเพื่อเปลี่ยน วิถีทางเพศ ได้หรือไม่
ไม่ได้ แม้ว่าวิถีทางเพศจะไม่ได้เป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตใจ และไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ที่จะสนับสนุนให้ต้องเปลี่ยนคนที่เป็นเกย์หรือเลสเบี้ยนให้เป็นคนรักต่างเพศคนบางคนอาจจะพยายามหาหนทางที่จะเปลี่ยนวิถีทาง
เพศของตน หรือของผู้อื่น (ดังเช่นกรณีของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่พยายามหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงลูก) นักบำบัดบางคนที่รับดำเนิน
การเรื่องนี้ อาจจะบอกว่า พวกเขาได้เปลี่ยนวิถีทางเพศของคนไข้ของเขามาแล้ว (จากการเป็นคนรักเพศเดียวกัน มาเป็นคนรัก
ต่างเพศ) ด้วยการบำบัด แต่หากพิจารณาในรายละเอียดแล้ว จะพบว่า ยังมีปัจจัยอะไรอีกหลายอย่างที่ยังต้องตั้งคำถามซึงพบว่า
พวกที่อ้างว่าทำได้จริงนั้นล้วนเป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่มีมุมมองของเรื่อง วิถีทางเพศในแบบอุดมคติ มากกว่าจะมาจากพวก
ที่เป็นนักวิจัยทางด้านสุขภาพจิต การรักษาและผลของการรักษาของเขาล้วนขาดความน่าเชื่อถือในแง่ของการบันทึกข้อมูลและระยะ
เวลาติดตามผลผู้รับการรักษาของเขาก็สั้นเกินไป
ในปี 1990 สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ระบุว่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นใดที่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนวิถีทางเพศนั้นประสบ
ความสำเร็จ หากแต่จะส่งผลร้ายมากว่าผลดี การเปลี่ยนแปลงวิถีทางเพศของบุคคลหนึ่งไม่ได้หมายความว่า จะเป็นการพยายาม
เปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของคน ๆ นั้น เท่านั้น แต่ต้องอาศัยการ ปรับอารมณ์ ความรู้สึกรักใคร่เสน่หา ความรู้สึกทางเพศ และยัง
ต้องปรับโครงสร้างทางความคิดว่าตัวเองเป็นใคร (self-concept) รวมทั้งความเป็นตัวตนของตัวเองในสังคมอีกด้วยแม้จะมีผู้
เชียวชาญในสาขานี้ได้เคยพยายามที่จะเปลี่ยนวิถีทางเพศของคนอื่นมาแล้ว ก็ยังต้องตั้งคำถามว่า การที่จะเปลี่ยนบุคคลใด บุคคล
หนึ่งด้วยการบำบัดรักษา
ในส่วนที่ไม่ได้เป็นความผิดปกติ แต่เป็นส่วนที่สำคัญยิ่งต่อ ความเป็นตัวตนของคน ๆ นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องในแง่ จริยธรรมหรือไม่
ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยนจะต้องการบำบัดรักษาเพื่อเปลี่ยน วิถีทางเพศของตนเกย์และเลสเบี้ยนก็เหมือนคนทั่วไปที่อาจ
จะต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ พวกเขาอาจจะต้องการให้ช่วยเหลือทางด้านจิตใจเพื่อให้พวกเขายอมรับตัวเองได้
และรู้จักจัดการกับอคติ การกีดกัน และความรุนแรงที่มีต่อพวกเขา
ทำไมสังคมจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการรักเพศเดียวกันให้มากกว่านี้ ?
การให้การศึกษาและความรู้แก่ทุกคนมีส่วนที่จะช่วยลดอคติในการต่อต้านรังเกียจคนรักเพศเดียวกันได้ ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนรุ่นเยาว์ที่กำลังต่อสู้กับตัวตนทางเพศของตัวเอง ความกลัวที่ว่า
เมื่อได้รับข้อมูลเหล่านั้นจะมีผลต่อวิถีทางเพศของตน เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล