เรื่องของเรื่อง หนูก็ไม่ค่อยเข้าใจนักนะคะป้า ว่ามันเริ่มมาจากอะไร แต่ที่แน่ๆ มันเริ่มจากงาน slimming นี่แหล่ะค่ะ
และหนูก็จะขอเล่าตั้งแต่แรก จนถึงวันนี้
ใจจริงแล้ว หนูไม่ได้เป็นพวกชอบประกวดประชัน แข่งขัน อะไรทั้งนั้นค่ะ แต่ด้วยความที่พี่ที่ทำงานเค้ากลัวว่าจะมีคนมาสมัครประกวดน้อย
เลยรบเร้าให้หนูลงประกวดค่ะ (รบเร้าอยู่เป็นเดือนเลยแหละ) ในที่สุดหนูก็ใจอ่อนยอมช่วยเค้าค่ะ + อยากค้นหาคุณค่าของตัวเองว่าจะไปได้ซักกี่น้ำ
แรกเริ่ม ทุกอย่างก็ไปด้วยดีค่ะ หนูสามารถผ่านเข้ารอบ 40 คนมาได้โดยที่พี่เค้ายืนยันว่าไม่ได้เส้น หลังจากนั้นหนูก็เริ่มกดดันค่ะ
รอบความสามารถพิเศษสร้างความยุ่งยากใจให้กับหนูไม่น้อย หนูต้องลงทุนมากมายก่ายกอง โดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ผลักดันหนู
ซึ่งเรื่องเงินก็ไม่สำคัญนักหรอกค่ะ แล้วหนูก็เข้าใจดีว่าทุกคนมีภาระหน้าที่ เพียงแต่ว่าในบางที หนูรู้สึกว่าหนูไม่สมควรจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้
แล้วหนูก็ตกรอบไปในที่สุดคะ ซึ่งได้รับเงินตอบแทนมาจำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับการลงทุนอันแสนลำบากของหนู
เมื่อตกรอบแล้วจะทำอะไรต่อ แน่นอนค่ะ คำตอบคือ กลับมาทำงานต่อ ซึ่งแน่นอนว่าผู้เข้ารอบทั้ง 20 คน จะต้องรู้ว่าหนูเป็นคนใน
ถึงตรงนี้ หนูเลยขออนุญาติหัวหน้า เพื่อลงไปทำงานกับกองสลิมมิ่ง (ส่วนตัวหนูอยู่ฝ่ายโฆษณา) ซึ่งพี่ๆในแผนกเองก็ได้ท้วงติงว่า อย่าไป
แต่ด้วยความที่หนูคิดว่า ถ้าหนูไม่ขอลงไปช่วย หนูคงจะไม่มีพอร์ททำรายงานเป็นแน่ หนูจึงขออนุญาติหัวหน้าเพื่อลงไปช่วยกอง
ซึ่งตรงนี้แหละเป็นสิ่งที่หนูคิดผิดอย่างมหันต์ ตรงนี้หนูยอมรับว่าอาจจะเป็นความดื้อรั้นของหนูเองส่วนหนึ่ง แต่หลังจากบทสนทนานี้
มันทำให้หนูตัดสินใจว่า ยังไงหนูก็ควรจะลงไปเก็บพอร์ทจากการช่วยงานกอง
"พี่...หนูจะขออนุญาติลงไปช่วยกองทำงานซัก1วันจะได้มั้ยคะ หนูจะขอลงไปเก็บพอร์ททำรายงาน เพราะว่าหนูเสนอหัวข้อรายงานกับอาจารย์ไว้แล้วว่าจะทำอีเว้นนี้"
"แล้วลี่คิดว่าที่ผ่านมางานที่ลี่ทำมันตรงกับที่เรียนมารึเปล่า"
"ก็มีบ้างค่ะ แต่งานนี้หนูแค่จะขอไปเก็บพอร์ทเฉยๆ แล้วก็จะมาช่วยงานพี่...ตามเดิม"
"โอเค งั้นลี่ก็ไปเก็บพอร์ทของลี่ให้เสร็จเลยแล้วกัน ไม่ต้องมาช่วยพี่แล้วก็ได้ เพราะถ้ามาช่วยทางพี่ พี่ก็ให้ลี่ไปอย่บู๊ทสมาชิกอยู่ดี"
หนูเรียนนิเทศโฆษณานะคะท่าน - - เมื่อเค้าว่างั้น หนูก็เลยตัดสินใจว่าจะลงไปช่วยงานกอง แล้วหลังจากนั้นก็จะมาช่วยงานตามเดิม
ทุกอย่างผ่านไปจนสิ้นสุดงาน ใครใช้ให้หนูทำอะไรหนูก็ทำ ไม่เกี่ยงทั้งนั้น แล้วหลังจากงานถึงวันเข้าออฟฟิสตามปกติ หนูก็ถูกย้ายที่นั่งค่ะ
เดิมหนูจะนั่งตรงคอม คอยรับโทรศัพท์และทำงานในแผนกสมาชิกซึ่ง พนักงานคนเก่าได้ลาคลอดและลาออกในขณะเดียวกัน
แต่เค้าไม่แจ้งว่าลาออกค่ะเพราะกลัวไม่ได้ตัง ซึ่งจุดนี้นี้หนูคิดว่ามันเป็นการเอาเปรียบคนในแผนกที่ต้องมานั่งทำงานแทนเค้างกๆ
หนูถูกย้ายมานั่งที่โต๊ะว่างๆ ซึ่งหนูได้นั่งมันในวันแรกๆตอนเริ่มฝึกงาน ตั้งแต่ที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
และแน่นอนในความรู้สึกของหนูมันคือการเริ่มนับ1ใหม่ เพราะหนูได้รับคำสั่งว่า ไม่ต้องไปทำงานในส่วนที่หนูเคยรับผิดชอบแล้ว
แล้วหนูจะทำอะไร....
วันนั้นหนูนั่งเฉยๆทั้งวัน ปกติพี่เค้าจะใช้ให้หนูทำนู่นทำนี่ เค้าก็ไปใช้คนอื่นแทน แล้วจะให้หนูคิดว่ายังไง...
ตรงจุดนี้หนูคิดว่า มันอาจจะเกิดจาก 1.หนูข้ามไปช่วยกองทำงาน 2.หนูบอกเค้าว่างานที่หนูฝึกมันไม่ค่อยตรงกับที่เรียนมา
แต่หนูก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรเค้ามากมายเลยนะคะ

ทำไมถึงต้งทำแบบนี้กับหนูด้วย
เมื่อสบโอกาสหนูเลยเข้าไปถามพี่คนนึง(ขอสมมุติว่าคือพี่**)ว่า มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูถึงถูกย้ายมานั่งตรงนี้
พี่**เค้าก็ไม่ค่อยรู้ แต่เค้ามีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับหนูมาเล่าให้ฟัง
เค้าถามว่า หนูแน่ใจหรอว่าที่หนูไปช่วยงานกองแล้วกองจะชอบใจ หนูเลยตอบไปว่าไม่เห็นเค้าว่าอะไรนี่ เค้าก็โอเคนี่นา
เค้าบอกว่าเหมือนกองจะไม่พอใจที่หนูเข้าไปวุ่นวาย ตรงนี้หนูไม่ค่อยเข้าใจเลย ถ้าไม่ชอบใจก็ปฎิเสธก็จบ ไม่ต้องจำใจให้หนูไปช่วยก็ได้
แถมมีคนที่กองมาฟ้องอีกว่า หนูดีดนิ้วใช้งานพี่ที่มาจากออแกไนซ์ พี่**บอกว่าที่เค้าไม่ได้เข้าไปว่าหนูก็เพราะเค้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง
ซึ่งตรงนี้ขอยืนยันว่าไม่ได้ทำ พี่**เค้าก็ย้อนกลับมาว่า "แต่มีคนบอกว่าเค้าเห็นว่าหนูทำ"
คำๆนี้ ทำให้หนูคิดว่าหนูไม่อาจพูดเรืองนี้กับใครได้อีก เพราะคงไม่มีใครเชื่อหนู
พูดไปก็เหมือนแก้ตัวเปล่าๆ หนูเสียใจมากๆค่ะ หนูตัดสินใจว่าจะไม่ขอปรึกษาหรือซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เพราะรู้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้
แถมรังแต่จะเซ้าซี้ให้เค้ารำคาญ และหนูก็อยากจะเสียใจแค่วันนั้นวันเดียว แล้วหนูก็ไม่อยากจะร้องไห้อีก
แต่มันก็ยังไม่จบ จนมาถึงวันนี้...
ตอนนี้ปัญหาของหนูกับหัวหน้าคือพี่... ถูกมองข้ามไป เราต่างไม่ยุ่งกัน ก็อยู่อย่างสบายดี
แต่พี่**ซึ่งจริงๆควรจะลาออกไปแล้ว(แต่ก็ไม่เห็นไปซักที) เค้าให้หนูช่วยงานประสานกับกองหนังสือต่างๆในบริษัท
จนมาถึงกองของสลิมมิ่งมิ่ง หน้าที่ของหนูคือแค่บอกให้เค้าโยนไฟล์ผ่านแลนไปให้เลขาหน้าห้องคนนึงซึ่งเลขาจะต้องได้ไฟล์นี้ภายในวันศุกร์
หนูออกตัวแค่ว่าหนูเป็นคนจากฝ่ายโฆษณา แต่กองก็ซักไซร้จนต้องบอกว่าหนูเป็นคนโทรมา และระหว่างที่เค้ากำลังวางสาย
คำๆนึงที่หนูได้ยิงลอดเข้ามาในโทรศัพท์คือ "พูดไม่ดีเลย" แน่นอนว่ามันเป็นคำต่อว่าหนู ซึ่งเป็นการพูดลับหลัง
หนูพูดคะทุกคำ ไม่มีไม่สุภาพ แม้ว่าน้ำเสียงหนูอาจจะดูกระด้างไปบ้างเพราะหนูเป็นหวัด + ไม่ใช่คนเสียงอ่อนเสียงหวาน
หนูเสียใจมาก และรู้สึกได้ว่าเค้าอคติกับหนู จองเวรกับหนูไม่เลิกรา ส่วนพี่** ก็ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของหนูเลย
หนูกลับไปรายงานพี่**ว่าโอเคคุยเรียบร้อยแล้ว แต่กับกองสลิ่มมิ่งหนูไม่รู้ แล้วด้วยความโกรธปนเสียใจหนูเลยรีบเดิหนีไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ
แน่นอนมีเสียงไล่หลังจากพี่**มาว่า "ลี่บอกพี่ว่าไม่รู้เหรอ" นำเสียงไม่พอใจอย่างแรง
เมื่อหนูคิดได้หนูก็รู้สึกผิดแล้วก็ยอมขอโทษพี่**แต่โดยดี และบอกไปว่าทุกอย่างคงเรียบร้อยภายในวันศุกร์ แล้วหนูก็หนีกลับบ้านไป - -
หนูไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไร แต่ทุกอย่างจะจบลงในวันที่29เดือนนี้ หนูอยากจะอดทน และต้องทนให้ได้ ไม่อยากมานั่งร้องไห้เหมือนที่ผ่านๆมา
หนูอาจจะยังเข้มแข็งไม่พอสำหรับโลกของการทำงาน อาจเพราะหนูเป็นเด็กฝึกคนเดียวในแผนก (ตอนนี้มีเพิ่มอีก1แล้ว

)
แต่หนูก็หวังว่า หลังจากนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก หนูกล้าพูดว่าหนูไม่ได้ไปหาเรื่องกับใครเค้า แต่ขอร้องว่าอย่ามาทำร้ายกันแบบนี้
เพราะหนูอยู่ในสถานะที่เลือกไม่ได้ ต้องทนเพื่อให้เรียนจบ ไม่สามารถลาออก หรือตอบโต้ได้เหมือนพนักงาน
และที่สำคัญคือ สถานะของหนูต่ำกว่าพนักงาน ต้องให้ความเคารพทุกคน แม้ว่าเค้าจะไม่ได้สนใจเราเลยก็ตาม
ความทุกข์ของหนูจบลงแค่นี้แหละค่ะ ในบางอย่างหนูก็รู้ว่ามันอาจเป็นความผิดพลาด และเลินเล่อของหนู
แต่ผู้ใหญ่ต้องจ้องจะจับผิดกันขนาดนี้เลยหรือ...