ปล.สรุปมาจากวิกิพีเดีย(เจ้าเก่า)อีกทีนึงนะคะซีอุย มีชื่อจริงว่า หลีอุย แซ่อึ้ง แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็น ซีอุยค่ะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2470 ที่เมืองซัวเถา เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 12 คน ของนายฮุนฮ้อ กับ นางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง (นี่ถ้าแซ่อึ๊งนี่นามสกุลก๋งของเจ๊แล้วอ่ะ

)ในครอบครัวยากจนจึงมีอาชีพทำการเกษตร เมื่อยังเป็นเด็กและเป็นวัยรุ่น ซีอุยมีส่วนสูง 150 เซนติเมตรเท่านั้น จึงมักถูกรังแกอยู่เสมอ จนกระทั่งมีนักบวชรูปหนึ่งได้แนะนำเขาว่า ถ้าอยากจะมีร่างกายแข็งแรงต้องกินเนื้อหรืออวัยวะมนุษย์ ซึ่งคำสอนนี้ได้ฝังอยู่ในใจซีอุยมาเสมอ

(สมัยนั้นพ่อของเจ๊ยังเด็กท่านบอกว่าเวลาก๋งบอกว่าซีอุยมาจะรีบวิ่งเข้าบ้านเพราะคนสมัยนั้นกลัวมาก แต่ตอนนั้นซีอุยตายได้ 3-4ปีแล้วค่ะ

)
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2488 ซีอุยอายุครบ 18 ปีเขาถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ซีอุยประจำอยู่หน่วยรบทหารราบที่ 8 ในขณะที่จีนและญี่ปุ่นทำ สงครามกันอยู่ เขาถูกส่งไปรบในสมรภูมิพม่าแนวสนามรบตามรอยต่อตะเข็บแดนของจีน เป็นเวลาถึงหนึ่งปีเต็มที่ซีอุยต้องเผชิญกับความลำบากและเสี่ยงเป็นเสี่ยง ตายตลอด อาหารก็ขาดแคลน ขณะที่เพื่อนทหารก็ทะยอยตายไป เรื่อย ๆ จากการสู้รบ ซีอุยจึงได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรกจากที่นี่

เมื่อสงครามสงบ ซีอุยถูกปลดจากการเป็นทหาร ด้วยความแร้นแค้น ซีอุยถูกเพื่อน ๆ ชักชวนให้เข้ามาหางานทำในเมืองไทย โดยหลบหนีเข้าเมืองมาด้วยการเป็นกรรมกรรับจ้างในเรือขนส่งสินค้าชื่อ "โคคิด" เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ด้วยการหลบซ่อนมาเป็นเวลา 3 สัปดาห์เต็ม โดยขึ้นฝั่งที่ท่าเรือคลองเตย และหลบซ่อนตัวในโรงแรมห้องแถวเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาได้เดินทางไปยังอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปหาญาติ ที่นั่น ซีอุยทำงานด้วยการรับจ้างทำสวนผักและรับจ้างทั่วไปเป็นเวลานานถึง 8 ปีเต็ม ก่อนที่ซีอุยจะก่ออาชญากรรม โดยที่ซีอุยมีนิสัยชอบเกาหัวและหาวอยู่เสมอ ๆ มีบุคลิกชอบเก็บตัว
ซีอุยได้จับเด็กมาผ่าเอาตับมากินโดยเชื่อว่าเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยได้ทำการฆ่าเด็ก 3 รายแรก ที่ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก่อนที่จะหลบหนีไปโดยรถไฟและก่อเหตุอีกที่งานฉลองตรุษจีนที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เมื่อปี พ.ศ. 2500 สุดท้ายถูกจับได้หลังจากคดีฆาตกรรมในจังหวัดระยอง เมื่อปี พ.ศ. 2501 ซึ่งมีเพียงเหยื่อรายแรกและเป็นรายเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบในขณะนั้น (พ.ศ. 2497) ซึ่งสุดท้ายเขาถูกจับขังคุกและประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เพราะในระหว่างดำเนินคดี 9 วัน ซีอุยยอมรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือ 7 คดี และจิตแพทย์ลงความเห็นว่า ซีอุยไม่ได้เป็นบ้า ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2502
ภายหลังมีการสืบค้นคดีย้อนหลังมีหลักฐานพยานและรูปคดีที่บ่งชี้ว่า ซีอุย ไม่ได้ฆ่าเด็กทุกคน(อ้าว

) มีเพียงเด็กคนสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นหลักฐานมัดตัว ขณะตำรวจได้เข้าจับกุมหลังจากซีอุยลงมือฆ่า และอวัยวะในร่างกายของเหยื่อทุกรายก็ไม่ได้สูญหาย จึงเป็นที่สงสัยว่าเหตุใด ซีอุย จึงรับสารภาพว่าเป็นผู้ฆ่าเหยื่อทุกราย และนำอวัยวะมากิน ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นของรูปคดีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดในปัจจุบัน บ้างก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของไทยได้ให้สัญญากับซีอุยว่าให้ซีอุยรับสารภาพ แล้วจะจัดการให้ได้กลับเมืองจีน

ด้วยความที่ไม่จัดเจนในภาษาทำให้ซีอุยรับสารภาพ และถูกประหารชีวิตในที่สุด ซึ่งชาวบ้านร่วมสมัยที่ยังอาศัยในพื้นที่บางคนที่ยังมีชีวิตอยู่เชื่อว่าซีอุยไม่ได้เป็นฆาตกรตัวจริง
ปัจจุบัน ศพของซีอุยถูกเก็บเพื่อนำมาตรวจสอบ โดยเก็บรักษาไว้ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยยังคงถูกเรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "พิพิธภัณฑ์ซีอุย"