โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ข่าวพบ UFO!!
142954455
#1
23-09-2011 - 17:39:23

#1 142954455  [ 23-09-2011 - 17:39:23 ]






เครดิต : http://www.oknation.net/

วันที่ 20 สิงหาคม 2554 เว็บไซต์ข่าว เอเชียนคอร์เรสพอนเดนต์ รายงานว่า สถานีโทรทัศน์เอ็มบีซี ประเทศเกาหลีใต้ แพร่ภาพกลุ่มแสงบนท้องฟ้าเหนือใจกลางเมืองแทจอน ซึ่งมีประชาชนคนหนึ่งบันทึกเอาไว้ได้เมื่อคืนวันที่ 11 สิงหาคม 2554 โดยกลุ่มแสงดังกล่าวมีลักษณะเป็นดวงไฟกลมๆ เปล่งแสงให้เห็นอยู่ราวๆ 30 นาที ก่อนหายวับไป ชาวบ้านบางส่วนเชื่อว่าเป็น UFO หรือ จานบินมนุษย์ต่างดาว ขณะที่ศาสตราจารย์ท้องถิ่นคนหนึ่ง ระบุว่า ภาพวิดีโอชิ้นนี้เป็นหลักฐานประเภทภาพวิดีโอชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นว่าอาจมียูเอฟโอบินผ่านเข้าไปยังเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เมืองแทจอนยืนยันว่า ช่วงเกิดกลุ่มแสงไฟปริศนานั้น เรดาห์ตรวจไม่พบว่ามีวัตถุใดๆ บินอยู่เหนือน่านฟ้าแทจอน


ซึ่งอ้างสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ วันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา ว่า พบ UFO ปรากฎกลางรายงานโทรทัศน์อังกฤษ Channel 4 ขณะที่ "ทอม วัตสัน" นักการเมืองคนดังของอังกฤษกำลังให้สัมภาษณ์ออกอากาศ

รายงานข่าวระบุว่า นักการเมืองคนดังจากพรรคแรงงาน วัย 44 ปี ซึ่งมีชื่อจริงว่า โธมัส แอนโธนี วัตสัน รายนี้ กำลังให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษเกี่ยวกับบทบาทของรัฐสภาเมืองผู้ดีต่อกรณีแฮ็กข้อมูลโทรศัพท์สุดอื้อฉาวของหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ “นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ “ แต่ในระหว่างนั้น ได้มีวัตถุประหลาดปรากฏตัวขึ้นเหนือท้องฟ้าที่เป็นฉากด้านหลังและบินผ่านศีรษะของวัตสันไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นไม่นาน ทางสถานีได้รับการติดต่อจากผู้ชมทางบ้านจำนวนหนึ่งที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติดังกล่าวที่มีการเคลื่อนตัวจากด้านบนลงสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว โดยผู้ชมหลายคนปักใจเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเห็น คือ จานบินของผู้มาเยือนจากนอกโลกอย่างแน่นอน แม้จะมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่บินผ่านศีรษะของนักการเมืองคนดังจากเวสต์ บรอมวิช อีสต์รายนี้อาจเป็นนกหรือเครื่องบิน

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีรายงานว่า พบจานบิน บริเวณสนามบินนานาชาติเจียงเป่ย ในเมืองฉงชิ่ง หรือ "จุงกิง" ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน

เหตุการณ์ดัีงกล่าวเกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันพุธที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศของทางการจีนต้องสั่งปิดสนามบินดังกล่าวและประกาศให้เครื่องบินโดยสารหลายเที่ยวไปลงจอดที่สนามบินแห่งอื่นที่อยู่ใกล้เคียงแทน เนื่องจากยูเอฟโอลำที่มาปรากฏตัวนั้นบินวนอยู่เหนือรันเวย์นานกว่า 50 นาที ถือเป็นเหตุการณ์ยูเอฟโอบุกสนามบินจีนเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้ว เคยเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันที่สนามบินเมืองหังโจวทางภาคตะวันออกของประเทศมาแล้วเช่นกัน

การปรากฏตัวของยูเอฟโอทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ ชอว์น โดมากัล-โกลด์แมน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือองค์การนาซา พร้อมทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตท ของสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่า มนุษยชาติอาจพบกับหายนะครั้งใหญ่จากการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก

โดยเดอะการ์เดียน หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เตือน ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้นอาจเป็นการส่งสัญญาณให้มนุษย์ต่างดาวรู้สึกว่ามนุษย์โลกเป็นภัยคุกคามที่กำลังแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว จึงควรต้องรีบลดปริมาณปล่อยก๊าซดังกล่าวลง เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าเอเลี่ยนบุกโจมตีโลก

นักวิทยาศาสตร์แห่งองค์การนาซา และมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนียอธิบายว่า สิ่งมีชีวิตจากดาวอันไกลพ้นสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศของโลก อันเป็นสัญญาณว่าความเจริญโตขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ และพวกเขาจะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อไม่ให้พวกเราชาวโลกกลายเป็นภัยที่ร้ายแรงขึ้น

ชอว์น โดมากัล-โกลด์แมน จากหน่วยวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ของนาซา และเพื่อนร่วมทีม ได้รวบรวมสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะตามมาหลังมีการพบปะกันอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยมนุษยชาติเตรียมพร้อมสำหรับการติดต่อสัมพันธ์ที่แท้จริง

ในรายงานที่ชื่อ Would Contact with Extraterrestrials Benefit or Harm Humanity? A Scenario Analysis ทีมนักวิจัยได้แบ่งการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวออกเป็น 3 รูปแบบ คือ มาอย่างเป็นคุณ กลางๆ และให้โทษ

สำหรับการมาอย่างเป็นคุณนั้น ชาวโลกอาจจะได้รับประโยชน์ตั้งแต่การให้ข้อมูลข่าวกรองนอกโลก การตั้งองค์กรเพื่อช่วยเราพัฒนาความรู้ ความสามารถ และช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความหิวโหย ความอดอยาก และโรคร้าย ตลอดจนการช่วยโลกต่อสู้กับผู้บุกรุกจากดาวเคราะห์อื่นๆ ด้วย

ขณะที่ การติดต่อโดยกมนุษย์ต่างดาวบางครั้งอาจไม่ทำให้สังคมโลกรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง พวกเขาอาจแตกต่างกับมนุษย์โลกจนไม่สามารถจะสื่อสารกันอย่างเป็นประโยชน์ได้ แต่พวกเขาอาจชักชวนให้ชาวโลกเข้าร่วมสมาคมต่างดาว "แกแลคติก คลับ" เพียงเพื่อจะขอเดินทางมายังโลก และอาจกลายเป็นสิ่งที่ก่อความวุ่นวายให้กับโลกได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกก็อาจมาอย่างให้โทษต่อมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นภัยโดยไม่ตั้งใจ อย่างการแพร่โรคระบาด หรือแม้แต่การกินมนุษย์ เอามนุษย์ไปเป็นทาส และโจมตีทำลายล้างได้เช่นกัน

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของมนุษย์ นักวิจัยเหล่านี้จึงเรียกร้องให้ระวังการส่งสัญญาณขึ้นไปในอวกาศ โดยเฉพาะเตือนไม่ให้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางชีววิทยา ซึ่งอาจถูกใช้เป็นอาวุธล้างบางพวกเราชาวโลก ขณะที่การติดต่อกับเหล่าอีทีก็ควรเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าจะรู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เกี่ยวข้องด้วยนั้นดีขึ้น

นอกจากนี้ คณะผู้เขียนรายงานฉบับดังกล่าวยังเสริมว่า เอเลี่ยนทั้งหลายอาจวิตกกังวลกับอารยธรรมที่แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความเจริญเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายชนิดสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปแล้ว

ทีมนักวิจัยระบุว่า ขณะนี้ ความเจริญของมนุษยชาติอาจเข้าสู่ช่วงที่ขยายตัวอย่างมากจนองค์กรข่าวกรองนอกโลกตรวจจับได้ เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของชั้นบรรยากาศของโลก ผ่านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั่นเอง

"กรีนเอเลี่ยนอาจคัดค้านการทำลายสิ่งแวดล้อมบนโลกที่มนุษย์เป็นตัวการ และกวาดล้างพวกเราเพื่อรักษาดาวดวงนี้ไว้ สิ่งสมมติเหล่านั้เป็เหตุผลให้เราต้องจำกัดการเติบโต และลดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของโลก นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากองค์ประกอบในชั้นบรรยากาศอาจถูกสังเกตเห็นได้จากดาวดวงอื่น" รายงานดังกล่าวสำทับ


ภาพแสงประหลาดปรากฎทางตอนเหนือของนอร์เวย์ เชื่อว่าเป็นแสงจากผู้มาเยือน เมื่อปี 2009

และภายหลังจากบ่ายเบี่ยงมานานเกือบ 50 ปี สำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ต.ค. 2550 ว่าจะค้นหาเอกสารสำคัญที่บันทึกเรื่องราวการพบเห็นยานบินลึกลับ (ยูเอฟโอ) ในเมืองเค็กส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อปี 2508 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นาซาพยายามต่อสู้ในชั้นศาลของรัฐบาลกลาง ดึงดันไม่ยอมเปิดแฟ้มเปิดเผยเรื่องราวที่วัตถุลึกลับลอยข้ามท้องฟ้าและตกลงในป่าใกล้เมืองแห่งนั้นมาตลอด

โดยบันทึกความจำของกองทัพอากาศฉบับหนึ่งเขียนว่า "ไม่พบสิ่งใด" ตลอดการค้นหาเมื่อคืนวันที่ 9 ธันวาคม 2508 ท่ามกลางรายงานข่าวว่า มีเจ้าหน้าที่นาซาหลายคนเข้าไปยังจุดตกของวัตถุลึกลับ ก่อนจะมีรถบรรทุกเคลื่อนย้ายวัตถุขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายลูกโอ๊คและมีขนาดเท่ารถตู้ออกไปจากที่เกิดเหตุ

รายงานข่าวเผยว่า หลังจากที่ยูเอฟโอลำนั้นตกลงในป่า บรรดาผู้กระหายใคร่รู้ได้ขับรถเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ แต่ถูกทหารกั้นไม่ให้เข้าไป ขณะที่กองทัพอากาศได้ออกมาอธิบายเพียงว่า วัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นดาวตก หรือ อุกกาบาต แม้ว่าเหตุการณ์ลึกลับจะผ่านพ้นไปเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ผู้สนใจยูเอฟโอต่างไม่ยอมให้ข้อมูลเหล่านี้หายไปกับกาลเวลา นางเลสลีย์ คีน นักข่าวจากนิวยอร์ก ยื่นฟ้องนาซาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพื่อขอให้นาซา เปิดเผยข้อมูลของเหตุการณ์นี้ โดยนางคีน ให้เหตุผลว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มยูเอฟโอจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ พร้อมเปิดเผยว่า สาเหตุที่ฟ้องนาซาแทนที่จะเป็นกองทัพนั้น เนื่องจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นาซาได้เปิดเผยเอกสารที่มีข้อมูลซึ่งเกี่ยวพันกับเหตุที่เกิดขึ้น


ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนมีนาคม 2550 ฝรั่งเศส เป็นประเทศแรกที่เปิดแฟ้มลับของตัวเองเกี่ยวกับยูเอฟโอ โดยองค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (CNES : Centre National d’Etudes Spatiales) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้ากว่า 1,600 กรณี ตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา รายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้า และยังอัพเดตกรณีใหม่ๆ เข้ามาด้วย โดยได้จัดทำรายการกรณีที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด


ภาพนี้เคยมีข่าวดัง, จานบินลึกลับนี้บินขึ้นมาจากรอยแยกของน้ำแข็งที่ขั่วโลกเหนือ
ทหารของรัสเซีย ได้นำเครื่องบินติดตามไปจนไปถึงแหลมเบอร์มิวด้าและหายไป
เครื่องบินไป 3 กลับมาแค่ 2

ต่อเรป #2 #4 #6 #7


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-09-23 17:57:56


Iмagination is more important †han kиowledge :D
142954455
#2
23-09-2011 - 17:41:18

#2 142954455  [ 23-09-2011 - 17:41:18 ]







คำว่ามนุษย์ต่างดาว เป็นคำเรียกที่เข้าใจกันโดยปริยาย ไม่ว่าอะไรก็ถือกำเนิดบนโลกอื่น โดยใช้คำว่า เอเลี่ยน (Alien) ซึ่งอาจจะไปสัตว์ เป็นพืช หรือมนุษย์ประหลาดรูปร่างพิลึก เป็นต้น ทั้งนี้มิได้เจาะจงในเรื่อง ระบบชีวิต ระดับความคิดและรูปแบบที่ชัดเจน เป็นการเรียกรวม เช่น การพบซาก สิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์เซลล์เดียวในอดีต (จากอุกกาบาต Allan Hills 84001 ของดาวอังคาร) เรียกว่า Alien ได้
ส่วน UFO (Unidentified flying object) หมายถึง วัตถุบินได้ ที่ไม่ปรากฎหลักฐาเห็นในแนววิถีของท้องฟ้า มีกลไกการเคลื่อนที่และเปล่งแสงออกมาได้ แต่ไม่ สามารถอธิบายตามหลักการและเหตุผลปกติได้ ซึ่งคำว่า Alien และ UFO มักจะเป็นสิ่งที่ถูกเล่ากล่าวถึงควบคู่กันไปเสมอ

ต่างจากคำว่า Extraterrestrial Intelligence* (สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) เจาะจงเป็นสิ่งใดก็ตาม ต้องมีเชาว์ปัญญาไหวพริบ ไม่น้อยไปกว่าระดับ ของมนุษย์โลกเช่นเรา

ด้วยความมีปัญญาของ ETI วันหนึ่งข้างหน้าถ้าทราบว่ามนุษย์โลก เรียกพวกเขาว่า Alien คงอาจจะไม่พอใจนักก็เป็นได้ ในทางกลับกัน ETI คงไม่เรียกพวกเราว่า มนุษย์ แต่น่าจะเรียกพวกเราว่า โซล่า (Solar) มากกว่า เป็นการเรียกตามระบบที่อยู่อาศัย ที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพราะเป็นระบบที่ต้องดำรงชีพ ด้วยพลังงานจากดวงอาทิตย์ เป็นหลักเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ระบบสุริยะอื่น ที่มนุษย์รู้จัก เป็นสิ่งที่มนุษย์กล่าวเรียกเอง ETI อาจไม่ได้มีความคิดและเข้าใจแบบแผน ระบบสุริยะเช่นมนุษย์ ก็เป็นได้ เพราะบางระบบมีดวงอาทิตย์ มากกว่า 1 ดวง บางระบบไม่มีก็าซออกซิเจน มีแต่โซเดียม หรือ คาร์บอนเท่านั้น แต่ ETI บางกลุ่ม สามารถดำรงชีพได้ เป็นต้น

จำนวนที่น่าตกใจของกาแล็คซี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล (Scale of the Universe) เชื่อว่ามีไม่น้อยกว่า 200 พันล้านกาแล็คซี คำถามคือ กาแล็คซี่ทั้งหมดนั้นมาจากไหน แน่นอนว่าคำตอบคือ มิติเวลาจักรวาล (Cosmic timeline) หรือ Timeline of the Universe แสดงช่วงเวลาวิวัฒน์ ด้วยความสืบเนื่องติดต่อกันหลังจากเกิด ระเบิดครั้งใหญ่ (Big bang) ตั้งแต่ยุคก่อตัวของ ดาวดวงแรก (First star- forming systems) จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เป็นการวิวัฒน์อย่างสืบเนื่อง ของจักรวาลถึงวันนี้ (A Process of cosmic evolution)

เรื่องมนุษย์ต่างดาว เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ด้วยเหตุผลว่า ในจักรวาลของเรา มนุษย์มีความสามารถรับรู้ได้ 4 มิติ (กว้าง x ยาว x สูง = 3 มิติ + เวลา = 4 มิติ) ทางทฤษฎี ได้พบว่า กาล-อวกาศ อาจมีมากกว่า คือ เวลา 1 มิติและอวกาศอีก 10 มิติ รวมเท่ากับ 11 มิติ โดย 6 มิติ (ที่มากกว่า) เรียกว่า Extra-dimension (มิติพิเศษ)
รวมความแล้ว เป็นรากฐานการเกิดขึ้น เป็นทฤษฎี เครือข่าย (หลาย) จักรวาล (Multiverse) ซึ่งอาจฟังดูยุ่งยากและซับซ้อน ทั้งนี้โดยมีสมมุติฐานมาจากด้านจักรวาลวิทยา ด้านฟิสิกส์ ร่วมทั้งด้านดาราศาสตร์ ด้านปรัชญา หรือแม้กระทั่ง ความคิดจาก นวนิยายทางวิทยาศาสตร์ที่เพ้อฝัน เพื่ออธิบายถึง จักรวาลคู่ขนาน(Parallel universes) จักรวาลควอมตัม (Quantum universes) หรือทะลุมิติ (Interpenetrating dimensions) เป็นต้น

เรารู้ว่าอย่างน้อยผู้คนกว่าครึ่งโลกเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นมีจริง ด้วยเพียงเหตุผลทางสามัญสำนึกแบบตรรกวิทยา การที่มี ดาวเป็นจำนวนมากในจักรวาล ทำให้มีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่ามนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาลเพียงลำพังหรือ ? ความสงสัยเหล่านั้นจึงเกิด แนวคิดความเชื่อและความเข้าใจเรื่องจักรวาล ในรูปแบบต่างๆ

แม้นักวิทยาศาสตร์ บางส่วนตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพียงแต่ใช้คำบอกอธิบายแบบเชื่อว่า....แต่ในใจลึกๆ แล้วย่อมยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เป็นจริงได้ แต่ไม่สามารถใช้คำอธิบายในหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ เนื่องจากขาดหลักฐานที่ประจักษ์แจ้ง

ในทำนองเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก กลับออกมาประกาศว่า ไม่ควรที่จะไปยุ่งกับสิ่งเหล่านั้นอาจนำพาหายนะมาสู่โลกได้ สำหรับเหตุผลที่จะสนับสนุนความเชื่อในเรื่องนี้และองค์การ NASA เอง ก็พยายามส่งยานสำรวจ Voyager ไปยังขอบนอกระบบสุริยะ ซึ่งมีความหวังว่า อาจมีอารยะธรรม ต่างดาวที่ไหนสักแห่งพบเข้า เป็นภารกิจที่นำแผ่นเสียงทองคำ (Golden Record) ขนาด 12 นิ้ว ติดไปกับยานด้วย บอกเล่าถึงความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ บรรจุภาพ เสียงธรรมชาติบนโลก 115 รายการ เช่น เสียงลม เสียงนก เสียงดนตรี แต่ละวัฒนธรรมแต่ละยุค และบันทึกภาษาพูดของมนุษย์ 55 ภาษา พร้อมข้อความจากประธานาธิบดีอเมริกา พร้อมมีข้อมูลด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง ข้อมูลด้านเครื่องจักรกลรูปแบบ งานด้านสถาปัตยกรรม ฯลฯ



เท่านั้นยังไม่พอ สถาบัน SETI ถือว่าเป็นองค์กร ไม่มุ่งหวังประโยชน์ด้านการค้า โดยตลอดเวลาเริ่มต้นร่วม 50 ปี และเป็นที่ยอมรับจาก สถาบันทางวิทยาศาสตร์มากมายร่วมองค์การ NASA ด้วย เป็นเจ้าของโครงการชื่อ New Search for Extraterrestrial Intelligence (การสืบค้นสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) ด้วยคลื่นวิทยุระยะไกล โดยการส่งสัญญานสื่อสารออกไปยัง ส่วนนอกของกาแล็คซี่ทางช้างเผือกนับเป็นการใช้หลักเกณฑ์วิทยาศาสตร์ ใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม มากกว่า 50 รูปแบบ ยึดความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเกื้อหนุ เป็นสาระสำคัญ ใช้หลักเกณฑ์ Drake Equation เป็นที่มาของการตามล่าหาอารยะธรรมต่างดาว (Searching for an ETI Civilization)


สำหรับข้อกังขา จากการกล่าวอ้างส่วนใหญ่ ในลักษณะที่มนุษย์ต่างดาว มีความต้องการ มาช่วยโลกให้พ้นภัยพิบัติ หรือ ต้องการมาทำลายล้างโลก ทั้ง 2 กรณี Peter Sudtanakit แห่ง NEWS Horizon และ www.sunflowercosmos.org ให้ความรู้ว่า ยังไม่น่ารับฟังได้ เพราะถ้ามนุษย์ต่างดาว ที่มีความสามารถเดินทางข้ามมิติได้ ควรเป็นสิ่งทรงปัญญาที่มีภูมิปัญญาสูง ควรมีสามัญสำนึกไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์

กรณีที่ 1 การมาช่วยโลกให้พ้นภัยพิบัติ
หากต้องการมาช่วยมนุษย์โลกด้วยความเต็มใจแล้ว เหตุใดจึงไม่เปิดเผยตัวตนให้ชัดเจน เพื่อความเป็นมิตรภาพ อันเป็นอารยะธรรมตามหลักมนุษย์โลก (ซึ่งต่างดาวที่มีภูมิปัญญาควรจะเข้าใจได้) และเหตุใดไม่ติดต่อ กับผู้นำประเทศหรือองค์การระดับนานาชาติ เช่น องค์การสหประชาชาติ อันเป็น องค์การที่ยอมรับในด้านมนุษยธรรม (หรือต่างดาวไม่รู้จักองค์กรเหล่านี้) แต่กลับไปติดต่อกลุ่มต่างๆ สารพัดกลุ่ม ที่ประชากรโลกไม่คุ้นเคย

กรณีที่ 2 ต้องการมาทำลายล้างโลก
ไม่มีโอกาสความเป็นไปได้เลย เพราะโลกไม่น่าจะมีสิ่งใด ที่จะเป็นประโยชน์ต่อ อารยะธรรมที่มีความทรงปัญญาใดๆ และโลกเมื่อเทียบสัดส่วน ในจักรวาลแล้ว (Scale of the Universe) แทบไม่มีความน่าสนใจ โลกเป็นเพียงก้อนกรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งในเท่านั้น ยังมีสิ่งอื่นๆในจักรวาล ที่มีค่ากว่าโลก หรือดาวเคราะห์อื่นๆ ที่ยังมีแร่ธาตุ ทรัพยากรธรรมชาติ รอการเก็บเกี่ยว เป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน
โดยมิต้องเสียเวลามาทำลายล้างกัน

คำตอบในขณะนี้
การกล่าวอ้าง มนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก ด้วยผ่านมิติพิเศษ เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจ แต่ห่างไกลความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากในขณะนี้ ทางวิทยาศาสตร์เพียงคงแสดงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ ในเชิงทฤษฎี และยังคงไม่ทราบได้ว่าการเดินทางผ่านมิติพิเศษ มีข้อจำกัดอย่างไร ไปได้ทุกหนแห่งหรือไม่

ทั้งนี้มิได้แสดงความเห็นด้วย ต่อแต่ละกรณีที่อธิบาย ของการมาเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาว ตามที่มีการกล่าวอ้างในหลายครั้ง เพราะยังไม่มีความสมบูรณ์ในเงื่อนไขต่างๆอย่างประจักษ์แจ้ง ดังนั้นจึงยังไม่มีคำตอบสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้ี้



Iмagination is more important †han kиowledge :D
marrlody191
#3
23-09-2011 - 17:42:42

#3 marrlody191  [ 23-09-2011 - 17:42:42 ]





น่ากลัว ว ว


142954455
#4
23-09-2011 - 17:44:10

#4 142954455  [ 23-09-2011 - 17:44:10 ]







ภาพ UFO ถูกบันทึกได้เมื่อปี 1952 ในรัฐ นิวเจอซี่


ภาพที่อ้างว่าเป็น UFO ถูกถ่ายเมื่อปี 2008 ในอังกฤษ

เรารู้ว่าอย่างน้อยผู้คนกว่าครึ่งโลกเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นมีจริง ด้วยเพียงเหตุผลทางสามัญสำนึกแบบตรรกวิทยา การที่มี ดาวเป็นจำนวนมากในจักรวาล ทำให้มีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่ามนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาลเพียงลำพังหรือ ? ความสงสัยเหล่านั้นจึงเกิด แนวคิดความเชื่อและความเข้าใจเรื่องจักรวาล ในรูปแบบต่างๆ

แม้นักวิทยาศาสตร์ บางส่วนตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพียงแต่ใช้คำบอกอธิบายแบบเชื่อว่า....แต่ในใจลึกๆแล้วย่อมยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เป็นจริงได้ แต่ไม่สามารถใช้คำอธิบายในหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ เนื่องจากขาดหลักฐานที่ประจักษ์แจ้ง
ในทำนองเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก กับออกมาประกาศว่า ไม่ควรที่จะไปยุ่งกับสิ่งเหล่านั้นอาจนำพาหายนะมาสู่โลกได้ สำหรับเหตุผลที่จะสนับสนุนความเชื่อในเรื่องนี้และองค์การ NASA เอง ก็พยายามส่งยานสำรวจ Voyager ไปยังขอบนอกระบบสุริยะ ซึ่งมีความหวังว่า อาจมีอารยะธรรม ต่างดาวที่ไหนสักแห่งพบเข้า เป็นภารกิจที่นำแผ่นเสียงทองคำ (Golden Record) ขนาด 12 นิ้ว ติดไปกับยานด้วย บอกเล่าถึงความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์ บรรจุภาพ เสียงธรรมชาติบนโลก 115 รายการ เช่น เสียงลม เสียงนก เสียงดนตรี แต่ละวัฒนธรรมแต่ละยุค และบันทึกภาษาพูดของมนุษย์ 55 ภาษา พร้อมข้อความจากประธานาธิบดีอเมริกา พร้อมมีข้อมูลด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง ข้อมูลด้านเครื่องจักรกลรูปแบบ งานด้านสถาปัตยกรรม ฯลฯ
เท่านั้นยังไม่พอ สถาบัน SETI ถือว่าเป็นองค์กร ไม่มุ่งหวังประโยชน์ด้านการค้า โดยตลอดเวลาเริ่มต้นร่วม 50 ปี และเป็นที่ยอมรับจาก สถาบันทางวิทยาศาสตร์มากมายร่วมองค์การ NASA ด้วย เป็นเจ้าของโครงการชื่อ New Search for Extraterrestrial Intelligence (การสืบค้นสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) ด้วยคลื่นวิทยุระยะไกล โดยการส่งสัญญานสื่อสารออกไปยัง ส่วนนอกของกาแล็คซี่ทางช้างเผือก นับเป็นการใช้หลักเกณฑ์วิทยาศาสตร์ ใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม มากกว่า 50 รูปแบบ ยึดความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเกื้อหนุ เป็นสาระสำคัญ ใช้หลักเกณฑ์ Drake Equation เป็นที่มาของการตามล่าหาอารยะธรรมต่างดาว (Searching for an ETI Civilization)
เป็นเช่นนี้แล้วหมายความว่าอย่างไร ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ แขนงต่างๆได้ลงมือค้นหา ด้วยการใช้ทรัพยากร และเงินทุนมหาศาล อย่างไม่ลดละ คงพอจะกล่าวได้ว่า ควรมีสิ่งที่ลงทุน และลงแรงค้นหาหรือไม่ ?

อะไรคือ มนุษย์ต่างดาว
คำว่ามนุษย์ต่างดาว เป็นคำเรียกที่เข้าใจกันโดยปริยาย ไม่ว่าอะไรก็ถือกำเนิดบนโลกอื่น โดยใช้คำว่า เอเลี่ยน (Alien) ซึ่งอาจจะไปสัตว์ เป็นพืช หรือมนุษย์ประหลาดรูปร่างพิลึก เป็นต้น ทั้งนี้มิได้เจาะจงในเรื่อง ระบบชีวิต ระดับความคิดและรูปแบบที่ชัดเจน เป็นการเรียกรวม เช่น การพบซาก สิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์เซลล์เดียวในอดีต (จากอุกกาบาต Allan Hills 84001 ของดาวอังคาร) เรียกว่า Alien ได้

ส่วน UFO (Unidentified flying object) หมายถึง วัตถุบินได้ ที่ไม่ปรากฎหลักฐาเห็นในแนววิถีของท้องฟ้า มีกลไกการเคลื่อนที่และเปล่งแสงออกมาได้ แต่ไม่ สามารถอธิบายตามหลักการและเหตุผลปกติได้ ซึ่งคำว่า Alien และ UFO มักจะเป็นสิ่งที่ถูกเล่ากล่าวถึงควบคู่กันไปเสมอ
ต่างจากคำว่า Extraterrestrial Intelligence* (สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) เจาะจงเป็นสิ่งใดก็ตาม ต้องมีเชาว์ปัญญาไหวพริบ ไม่น้อยไปกว่าระดับ ของมนุษย์โลกเช่นเรา
*{ซึ่งต่อไปในทุกคำอธิบายจะใช้คำว่า

ETI แทนคำหมาย Extraterrestrial Intelligence (สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล)}

ด้วยความมีปัญญาของ ETI วันหนึ่งข้างหน้าถ้าทราบว่ามนุษย์โลก เรียกพวกเขาว่า Alien คงอาจจะไม่พอใจนักก็เป็นได้ ในทางกลับกัน ETI คงไม่เรียกพวกเราว่า มนุษย์ แต่น่าจะเรียกพวกเราว่า โซล่า (Solar) มากกว่า เป็นการเรียกตามระบบที่อยู่อาศัย ที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพราะเป็นระบบที่ต้องดำรงชีพ ด้วยพลังงานจากดวงอาทิตย์ เป็นหลักเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ระบบสุริยะอื่น ที่มนุษย์รู้จัก เป็นสิ่งที่มนุษย์กล่าวเรียกเอง ETI อาจไม่ได้มีความคิดและเข้าใจแบบแผน ระบบสุริยะเช่นมนุษย์ ก็เป็นได้ เพราะบางระบบมีดวงอาทิตย์ มากกว่า 1 ดวง บางระบบไม่มีก็าซออกซิเจน มีแต่โซเดียม หรือ คาร์บอนเท่านั้น แต่ ETI บางกลุ่ม สามารถดำรงชีพได้ เป็นต้น

สำหรับประเด็นที่มักจะกล่าวถึง เรื่องมนุษย์ต่างดาว ถูกเก็บกักตัวไว้และพาดพิงไปถึงเรื่องการสร้างเทคโนโลยีเลียนแบบ เชื่อว่าเป็นจริงยาก เพราะหากเป็น ETI มีภูมิปัญญาขั้นนั้น คงมีความเฉลียวฉลาดพอ ที่จะหลบหลีกกรณีแบบนั้นได้ หรือในประเด็นที่มักกล่าวถึงยานขัดข้องตกลงบนโลก คงเป็นเหตุผลที่รับฟังยาก เพราะหาก ETI มีเทคโนโลยีระดับสูงส่งเดินทางข้ามจักรวาลนับพันนับร้อยปีแสงมาได้ แต่ช่างบังเอิญเสมอที่ต้องมาขัดข้องบนโลกทำไมไม่ลงจอดบนดวงจันทร์ หรือดาวอังคารบ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะพบปะกับมนุษย์ซึ่งไม่ไกลเกินความสามารถที่จะย้อนกลับไป

สิ่งที่ต้องอธิบาย ขยายความต่ออกไปอีก คือ ระบบชีวิตในจักรวาลนั้น มีความหลากหลาย สุดลูกหูลูกตา และจะไม่เข้าใจเลยว่ามีเหตุผลทางโครงสร้างอย่างไรบ้าง ตัวอย่างเช่น อาจดำรงชีพโดยไม่มีเลือด และเนื้อเหยื่อเช่นมนุษย์ อาจไม่จำเป็นต้องมีออกซิเจน อาจไม่ต้องบริโภคสารอาหาร แต่บริโภคอะตอมไฟฟ้าแทน อาจอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่มีรังสีอันตรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ อาจอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นอย่างไม่สะทกสะท้าน อาจมีอารยะธรรมโบราณดึกดำบรรพ์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยแต่จิตใจสูงส่ง อาจมีอารยะธรรมที่ทันสมัยสุดขั้ว แต่ไม่แย่แส่ต้องสังคม อาจมีอายุยืนยาวนับแสนปี ซึ่งเป็นปกติสามัญใน
ระบบนั้น อาจมีที่อยู่อาศัยเล็กกว่าโลกหลายร้อยเท่า อาจมีทะเลที่เป็นปรอท เป็นต้น

ดังนั้นภาพรวมในประเด็นนี้ คือ ETI เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ กำลังค้นหา ซึ่งจะสื่อสารกันรู้เรื่อง เข้าใจกัน มีอารยะธรรม สติปัญญา ไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์ รู้ผิดรู้ชอบตามสามัญสำนึกและมีสภาพแวดล้อมเช่นมิติโลกเท่านั้น ในขณะนี้ ไม่ได้ค้นหาสัตว์ประหลาด ที่พิศดารตามแนวคิดในภาพยนต์ แบบน่ากลัว น่าตกใจ

ความสามารถของมนุษย์ในการค้นหา ETI
ต้องย่อมรับว่า เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวนั้น สร้างความตื่นเต้นมานับร้อยปี ตั้งแต่เรื่องมนุษย์ดาวอังคาร ที่สร้างเป็นละครวิทยุ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จวบจนจากสาเหตุยุคใหม่เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1947 โดยนักธุรกิจชื่อ Kenneth Arnold บินด้วยเครื่องบินส่วนตัว

ขณะอยู่บนท้องฟ้าสังเกตเห็นวัตถุบินได้ ส่องแสงเปล่งปลั่ง ผ่านหน้าด้วยความเร็ว ราว 2,000 กม./ชม. ข่าวดังกล่าวถูกรายงานบนหน้าหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ United Press กล่าวว่าสิ่งที่ Kenneth Arnold เห็นคือ Flying saucers (จานบิน) หลังจากไม่กี่สัปดาห์ในเรื่องนี้ ชาวไร่พบซากปรักหักพังบางอย่าง กองตกอยู่ในทุ่งหญ้าใกล้เมือง Roswall ซึ่งเป็นที่มาของทั้ง Alien และ UFO

ต่อมาจากสัญญลักษณ์แสดงของ UFO (จำนวนมากปรากฎจากภาพถ่าย วีดีโอ เกิดจากฝีมือมนุษย์ด้วยเทคนิคต่างๆ) โดยเป็นการอุปโลกน์ที่ดีและเหมือนจริง 90% ของหลักฐาน ส่งผลให้คนทั่วไปเชื่อถือ ส่วนอีก 10 % ที่เหลือคำอธิบายไม่ชัดเจนคลุมเครือและไม่มีคำอธิบายเรื่องยานมนุษย์ต่างดาวอย่างเป็นรูปธรรม จึงทำให้การวิเคราะห์เป็นสิ่งที่ยืนยันยากทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนหลักฐานที่มีอยู่ ทุกครั้งที่สนทนา ก็จะมีผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทั้งตามความเชื่อ ปะปนกับพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของตน และต้องยอมรับต่อไปอีกว่า แสดงเหตุผลการมาเยือนโลกทั้งหมด โดยที่เรายังไม่เคยออกไปค้นหาสิ่งนี้นอกโลกเลย

ประเด็นที่ต้องเข้าใจอย่างยิ่งคือ ความสามารถของมนุษย์ ขณะนี้มีเพียงบรรทัดแรกของการค้นหา ETI ด้วยวิธีพิสูจน์ทางกายภาพ บนกฎเกณฑ์ในมิติเดียวกับโลก เพื่อให้ได้มาซึ่งความประจักษ์แจ้งและต้องสามารถอธิบายต่อทุกคนที่รับฟัง แล้วเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงมิใช่เชื่อแบบครึ่งๆกลางๆสงสัยคาใจ และอย่างน้อยผู้ได้ยินหาเหตุผลมาหักล้างได้ยาก

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คือ คือการออกไปค้นหา ETI ที่อาจมีอยู่ข้่างนอก ไม่ว่าจะหลบซ่อนอยู่มุมใดของจักรวาล เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันเปรียบเสมือนตามหาถึงบ้านของ ETI แต่วิธีส่งยานสำรวจออกไปยังกระทำได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด คงเหลือเพียงวิธีเดียว คือการส่งสัญญานเพื่อการโต้ตอบกัน สามารถทำได้ตลอดเวลา และประหยัดงบประมาณกว่า

แม้ว่าครั้นหนึ่ง มนุษย์เคยได้รับสัญญานโต้ตอบจาก ETI กลับมาแล้วก็ตาม ครั้นนั้นเรียกว่า สัญญาน Wow ถึงกระนั้นยังต้องแก้ปัญหาด้านเทคโนโลยีอย่างมากมาย เพื่อไม่ต้องการเหตุผลที่อาจเข้าใจผิดได้

มีกรณีตัวอย่างมากมาย ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ปรารถนาเปิดเผย ความลับและข้อสงสัยก่อนเวลาสมควร เช่น ภาพบางภาพที่ถ่ายบนดาวอังคาร หรือดวงจันทร์ อาจมีลักษณะเฉพาะของแสงเงา เห็นเป็นภาพแปลกๆ อันนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ภาพเหล่านั้นถูกเก็บไว้นับปี เพื่อตรวจสอบ จนมีเหตุผลแล้วว่าแท้จริงคืออะไร และสามารถอธิบายได้โดยกระจ่าง จึงนำออกเผยแพร่ต่อสาธารณะชน แต่ทัายที่สุดก็ยังมีการตั้งข้อสงสัยเช่นกัน

ในกรณีการค้นหา ETI ด้วยสัญญานวิทยุระยะไกล ด้วยการกวาดหาสัญญานโต้ตอบนั้นเชื่อว่ายังมีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย และคงได้รับสัญญานอะไรบางอย่างเพิ่มไม่มากก็น้อย แต่ความหมายอาจไม่สามารถแปลความได้ เหมือนกับคนจีนคุยกับคนฝรั่งเศส ฉันท์ใดฉันท์นั้นเป็นคนละภาษา คงเข้าใจยาก ดังนั้นจำเป็นต้องคุยด้วยภาษากลางที่ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจตรงกัน แล้วถ้าในจักรวาล จะใช้ภาษาอะไรสื่อสารกันล่ะ ?

จำต้องกลับมาคิด เรื่องภาษาระหว่างจักรวาลโดยมนุษย์ ที่จะส่งข้อความออกไป เพื่อเป็นสัญญานแห่งมิตรภาพ และความมีอารยะธรรม โดยสามารถตรวจสอบกันได้ด้วยการแปลความหมายดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ คงต้องใช้ภาษาทางคณิตศาสตร์มารวมกับ รากฐานภาษาดั้งเดิมของโลกนับร้อยภาษา เพื่อกลั่นกรองการประดิษฐ์ภาษาขึ้นใหม่ สำหรับใช้สื่อสารกับ ETI โดยเฉพาะให้ได้

นั้นเพียงเป็นเหตุผลประเด็นเดียว ในปัญหานับร้อยรายการ ที่ต้องติดต่อกับ ETI และประเด็นนี้ก็ต้องใช้เวลานับทศวรรษ ยังไม่ต้องกล่าวถึง การใช้เวลาการเดินทางของสัญญานไป-กลับ และความกว้างไกลไพศาลในอวกาศ เทียบว่ามนุษย์คือ มด กำลังเดินหาเพื่อนสักคนในทะเลทรายซาฮ่ารา

ทั้งหมดจึงไม่สามารถทำได้รวดเร็วอย่างที่คิด จึงดูเหมือนขบวนการทางวิทยาศาสตร์เชื่องช้าและไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อมีข่าวคราวเรื่อง Alien และ UFO ขึ้นมาบนสังคมออนไลน์ มักจะได้รับความสนใจมากกว่า และถ้าเป็น ETI มาเยือนโลกจริง นักวิทยาศาสตร์ คงไม่รอช้าที่จะรีบไปเจราจาพาทีเป็นแน่ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาใดๆในการค้นหาในอวกาศให้ป่วยการ

สิ่งที่เป็นเรื่องสับสนเสมอ ในกรณีนี้คือ ความสามารถทางกายภาพบนโลก สำหรับทุกคนมีการรับรู้ได้เท่าเทียมกัน การค้นหา ETI ด้วยวิธีอื่นนั้น อาจมีอยู่จริง แต่อธิบายโดยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เลย ด้วยเป็นวิธีต่างมิติที่ยังอยู่ในสมการ นับเป็นความสามารถเฉพาะของผู้นั้น แต่ปัญหาคือ นัยของการกล่าวอ้าง จะไม่มีผู้ใดทราบว่าจริงหรือเท็จ เพราะเป็นการเล่าอธิบาย และมักจะเกินเลยไปเสมอ หรือถือโอกาศต่อเติมตามจิตนาการ ให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิธีต่างมิตินั้น ผู้ที่เข้าใจวิธีต่างมิติด้วยกันจะตรวจสอบ และรู้ได้ว่าเรื่องนั้นเป็นจริงหรือเท็จได้ไม่ยาก ซึ่งมีได้เป็นปฎิหารย์ใดๆเลย และมิได้เป็นอะไรที่เกี่ยวกับทางจิต ทางศาสนาแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากในขณะนี้



Iмagination is more important †han kиowledge :D
sobored11
#5
23-09-2011 - 17:48:17

#5 sobored11  [ 23-09-2011 - 17:48:17 ]





อั๊ยย๊าาา !
มันจะบุกโลกเราแล้วว


142954455
#6
23-09-2011 - 17:48:20

#6 142954455  [ 23-09-2011 - 17:48:20 ]








หลังจากบ่ายเบี่ยงมานานเกือบ 50 ปี สำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ต.ค. 2550 ว่าจะค้นหาเอกสารสำคัญที่บันทึกเรื่องราวการพบเห็นยานบินลึกลับ (ยูเอฟโอ) ในเมืองเค็กส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อปี 2508 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นาซาพยายามต่อสู้ในชั้นศาลของรัฐบาลกลาง ดึงดันไม่ยอมเปิดแฟ้มเปิดเผยเรื่องราวที่วัตถุลึกลับลอยข้ามท้องฟ้าและตกลงในป่าใกล้เมืองแห่งนั้นมาตลอด

โดยบันทึกความจำของกองทัพอากาศฉบับหนึ่งเขียนว่า "ไม่พบสิ่งใด" ตลอดการค้นหาเมื่อคืนวันที่ 9ธันวาคม 2508 ท่ามกลางรายงานข่าวว่า มีเจ้าหน้าที่นาซาหลายคนเข้าไปยังจุดตกของวัตถุลึกลับ ก่อนจะมีรถบรรทุกเคลื่อนย้ายวัตถุขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายลูกโอ๊คและมีขนาดเท่ารถตู้ออกไปจากที่เกิดเหตุ

รายงานข่าวเผยว่า หลังจากที่ยูเอฟโอลำนั้นตกลงในป่า บรรดาผู้กระหายใคร่รู้ได้ขับรถเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ แต่ถูกทหารกั้นไม่ให้เข้าไป ขณะที่กองทัพอากาศได้ออกมาอธิบายเพียงว่า วัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นดาวตก หรือ อุกกาบาต แม้ว่าเหตุการณ์ลึกลับจะผ่านพ้นไปเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ผู้สนใจยูเอฟโอต่างไม่ยอมให้ข้อมูลเหล่านี้หายไปกับกาลเวลา นางเลสลีย์ คีน นักข่าวจากนิวยอร์ก ยื่นฟ้องนาซาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพื่อขอให้นาซา เปิดเผยข้อมูลของเหตุการณ์นี้ โดยนางคีน ให้เหตุผลว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มยูเอฟโอจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ พร้อมเปิดเผยว่า สาเหตุที่ฟ้องนาซาแทนที่จะเป็นกองทัพนั้น เนื่องจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นาซาได้เปิดเผยเอกสารที่มีข้อมูลซึ่งเกี่ยวพันกับเหตุที่เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนมีนาคม 2550 ฝรั่งเศส เป็นประเทศแรกที่เปิดแฟ้มลับของตัวเองเกี่ยวกับยูเอฟโอ โดยองค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (CNES : Centre National d’Etudes Spatiales) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้ากว่า 1,600 กรณี ตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา รายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้า และยังอัพเดตกรณีใหม่ๆ เข้ามาด้วย โดยได้จัดทำรายการกรณีที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด



Iмagination is more important †han kиowledge :D
142954455
#7
23-09-2011 - 17:57:29

#7 142954455  [ 23-09-2011 - 17:57:29 ]






เครดิต http://www.gotoknow.org



ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ อธิบายไว้ว่า…เมฆจานบินแบบนี้เกิดเหนือยอดเขาสูงๆ โดยลมที่พัดพาเอาความชื้นมาจากบริเวณที่ราบโดยรอบ จะถูกแนวสันเขาบังคับให้ไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทีนี้พอความชื้นขึ้นไปเจออากาศหนาวๆ แถวยอดเขา ก็จะแปลงกายกลายเป็นหยดน้ำเกาะกลุ่มปกคลุมอยู่เหนือยอดเขา บางคนก็มองเป็นดอกเห็ดขนาดยักษ์ แต่ฝรั่งเขาว่าเหมือนภูเขาสวมหมวก ก็เลยเรียกเมฆจานบินแบบพิเศษนี้ว่า เมฆ (ซึ่งมีรูปร่างเหมือน) หมวก หรือ cap cloud...


มีเมฆรูปร่างประหลาดแบบหนึ่งที่เคยทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า มนุษย์ต่างดาวบุกโลกเข้าให้แล้ว เมฆแบบนี้มีรูปร่างคล้ายๆ ขนมครก ฝาเดียวบ้าง สองฝาประกบกันบูดๆ เบี้ยวๆ บ้าง
ฝรั่งชาวบ้านเรียกเมฆแบบนี้ว่า เมฆรูปเลนส์ (lenticular cloud) แต่บ่อยครั้งก็เรียกแบบง่ายๆ ว่า เมฆสิ่งบินลึกลับ (UFO cloud) เพราะคำว่า UFO มาจาก Unidentifed Flying Object แต่ผมขอเรียกแบบพี่ไทยว่า เมฆจานบิน ก็แล้วกัน


เมฆจานบินอาจจะเกิดปรากฏการณ์สีรุ้งได้ด้วย
แล้วเมฆจานบินเกิดขึ้นได้ยังไง? ทำไมไม่ค่อยได้เห็น?
เมฆจานบินนี้เกิดจากการที่กระแสอากาศในแนวระดับเคลื่อนที่ปะทะเนินหรือภูเขา ทำให้อากาศถูกบังคับให้ยกตัวสูงขึ้น แต่เมื่อผ่านเนิน (หรือภูเขา) นั้นไปแล้ว อากาศก็จะลดต่ำลง มองจากด้านข้างคล้ายๆ เป็นคลื่นกระเพื่อมวิ่งไป


แผนภาพการเกิดเมฆจานบิน แต่ละเส้นแทนการไหลของกระแสอากาศ
โปรดสังเกตว่าเมฆชนิดนี้เกิดบริเวณยอดคลื่น
อย่างไรก็ดี ในสภาพจริงนั้น กระแสอากาศจะแบ่งเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอยู่ ดังนั้น หากมองในภาพรวม ก็จะพบว่า กระแสอากาศในชั้นล่างๆ กระเพื่อมมากหน่อย ส่วนชั้นบนกระเพื่อมน้อยกว่า
อากาศในแต่ละชั้นเมื่อถูกยกให้ลอยสูงขึ้น ก็จะขยายตัวออก ส่งผลให้มีอุณหภูมิลดลง ผลก็คือ ไอน้ำ (แต่เดิม) เมื่อลอยสูงขึ้น ก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆ เต็มไปหมด ซึ่งมองโดยภาพรวมก็คือ เมฆ นั่นเอง แต่เมฆที่เกิดขึ้นนี้ถูกกักอยู่ในชั้นอากาศที่ว่ามาแล้ว จึงมีรูปร่างออกจะแบนๆ ในแนวดิ่ง และยืดยาวออกทางด้านข้างโดยรอบ กลายเป็น ‘จานบิน’ นั่นเอง

เห็นเมฆจานบินที่ไหน แสดงว่าตรงนั้นเป็นยอดคลื่น หรือบริเวณที่คลื่นอากาศกระเพื่อมขึ้นสูงสุด ทำให้อากาศเย็นสุดจนไอน้ำกลั่นตัวเป็นหยด
เนื่องจากหยดน้ำในเมฆจานบินนี้มักจะมีขนาดเล็กมากๆ และมีขนาดพอๆ กัน ดังนั้น จึงสามารถทำให้แสงสีขาวจากดวงอาทิตย์เกิดการเลี้ยวเบน แตกออกเป็นสีรุ้งได้โดยง่ายด้วย
เมฆจานบินบางก้อนอาจมีลักษณะเป็นชั้นๆ หลายชั้นซ้อนกัน เป็นเพราะความชื้นในอากาศมีค่ามากน้อยสลับกันเป็นชั้นๆ ชั้นไหนมีความชื้นมาก ก็จะมีโอกาสเกิดหยดน้ำได้มากนั่นเอง

http://gotoknow.org/file/chiew-buncha/Lenticularis-Stacked-New_Hampshire.jpg
เมฆจานบินแบบหลายชั้น


เมฆรูปหมวกเหนือยอดเขา
เมฆจานบินแบบนี้เกิดเหนือยอดเขาสูงๆ โดยลมที่พัดพาเอาความชื้นมาจากบริเวณที่ราบโดยรอบ จะถูกแนวสันเขาบังคับให้ไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทีนี้พอความชื้นขึ้นไปเจออากาศหนาวๆ แถวยอดเขา ก็จะแปลงกายกลายเป็นหยดน้ำเกาะกลุ่มปกคลุมอยู่เหนือยอดเขา บางคนก็มองเป็นดอกเห็ดขนาดยักษ์ แต่ฝรั่งเขาว่าเหมือนภูเขาสวมหมวก ก็เลยเรียกเมฆจานบินแบบพิเศษนี้ว่า เมฆ (ซึ่งมีรูปร่างเหมือน) หมวก หรือ cap cloud

quote :
คราวหน้า หากคุณคิดว่าเห็นจานบินอยู่บนท้องฟ้า ก็ลองจ้องให้ชัดๆ อีกที เพราะสิ่งที่เห็นนั้น อาจจะไม่ใช่ยานพาหนะของมะนาวต่างนุด แต่เป็นเมฆสุดพิเศษพวกนี้นั่นเอง
แต่หากมีตัวประหลาดย่นๆ หยุ่นๆ หล่นแหมะลงมาด้วย ก็จงตั้งสติให้ดีว่าจะเผ่นหนี หรือ ขอเลขเด็ด… ;-P


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-09-23 17:58:24


Iмagination is more important †han kиowledge :D
freedevill
#8
23-09-2011 - 18:01:35

#8 freedevill  [ 23-09-2011 - 18:01:35 ]




เรา เชื่อ ว่า มี จริง

เพราะ ดาว อื่น ต้องมีสิ่งมีชีวิตเหมือนอย่างกับโลกเรา


pai951
#9
23-09-2011 - 18:18:20

#9 pai951  [ 23-09-2011 - 18:18:20 ]




จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุดเพราะนั่นไม่มีเพียงแต่พวกเราอบ่างเดียว เขาอาจจะมาดีหรืออาจจะมาร้ายก็ได้


  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ