วันที่ 20 สิงหาคม 2554 เว็บไซต์ข่าว เอเชียนคอร์เรสพอนเดนต์ รายงานว่า สถานีโทรทัศน์เอ็มบีซี ประเทศเกาหลีใต้ แพร่ภาพกลุ่มแสงบนท้องฟ้าเหนือใจกลางเมืองแทจอน ซึ่งมีประชาชนคนหนึ่งบันทึกเอาไว้ได้เมื่อคืนวันที่ 11 สิงหาคม 2554 โดยกลุ่มแสงดังกล่าวมีลักษณะเป็นดวงไฟกลมๆ เปล่งแสงให้เห็นอยู่ราวๆ 30 นาที ก่อนหายวับไป ชาวบ้านบางส่วนเชื่อว่าเป็น UFO หรือ จานบินมนุษย์ต่างดาว ขณะที่ศาสตราจารย์ท้องถิ่นคนหนึ่ง ระบุว่า ภาพวิดีโอชิ้นนี้เป็นหลักฐานประเภทภาพวิดีโอชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นว่าอาจมียูเอฟโอบินผ่านเข้าไปยังเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เมืองแทจอนยืนยันว่า ช่วงเกิดกลุ่มแสงไฟปริศนานั้น เรดาห์ตรวจไม่พบว่ามีวัตถุใดๆ บินอยู่เหนือน่านฟ้าแทจอน
ซึ่งอ้างสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ วันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา ว่า พบ UFO ปรากฎกลางรายงานโทรทัศน์อังกฤษ Channel 4 ขณะที่ "ทอม วัตสัน" นักการเมืองคนดังของอังกฤษกำลังให้สัมภาษณ์ออกอากาศ

รายงานข่าวระบุว่า นักการเมืองคนดังจากพรรคแรงงาน วัย 44 ปี ซึ่งมีชื่อจริงว่า โธมัส แอนโธนี วัตสัน รายนี้ กำลังให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษเกี่ยวกับบทบาทของรัฐสภาเมืองผู้ดีต่อกรณีแฮ็กข้อมูลโทรศัพท์สุดอื้อฉาวของหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ “นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ “ แต่ในระหว่างนั้น ได้มีวัตถุประหลาดปรากฏตัวขึ้นเหนือท้องฟ้าที่เป็นฉากด้านหลังและบินผ่านศีรษะของวัตสันไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นไม่นาน ทางสถานีได้รับการติดต่อจากผู้ชมทางบ้านจำนวนหนึ่งที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติดังกล่าวที่มีการเคลื่อนตัวจากด้านบนลงสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว โดยผู้ชมหลายคนปักใจเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเห็น คือ จานบินของผู้มาเยือนจากนอกโลกอย่างแน่นอน แม้จะมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่บินผ่านศีรษะของนักการเมืองคนดังจากเวสต์ บรอมวิช อีสต์รายนี้อาจเป็นนกหรือเครื่องบิน

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีรายงานว่า พบจานบิน บริเวณสนามบินนานาชาติเจียงเป่ย ในเมืองฉงชิ่ง หรือ "จุงกิง" ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน
เหตุการณ์ดัีงกล่าวเกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันพุธที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศของทางการจีนต้องสั่งปิดสนามบินดังกล่าวและประกาศให้เครื่องบินโดยสารหลายเที่ยวไปลงจอดที่สนามบินแห่งอื่นที่อยู่ใกล้เคียงแทน เนื่องจากยูเอฟโอลำที่มาปรากฏตัวนั้นบินวนอยู่เหนือรันเวย์นานกว่า 50 นาที ถือเป็นเหตุการณ์ยูเอฟโอบุกสนามบินจีนเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้ว เคยเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันที่สนามบินเมืองหังโจวทางภาคตะวันออกของประเทศมาแล้วเช่นกัน
การปรากฏตัวของยูเอฟโอทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ ชอว์น โดมากัล-โกลด์แมน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือองค์การนาซา พร้อมทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตท ของสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่า มนุษยชาติอาจพบกับหายนะครั้งใหญ่จากการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก
โดยเดอะการ์เดียน หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เตือน ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้นอาจเป็นการส่งสัญญาณให้มนุษย์ต่างดาวรู้สึกว่ามนุษย์โลกเป็นภัยคุกคามที่กำลังแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว จึงควรต้องรีบลดปริมาณปล่อยก๊าซดังกล่าวลง เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าเอเลี่ยนบุกโจมตีโลก
นักวิทยาศาสตร์แห่งองค์การนาซา และมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนียอธิบายว่า สิ่งมีชีวิตจากดาวอันไกลพ้นสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศของโลก อันเป็นสัญญาณว่าความเจริญโตขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ และพวกเขาจะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อไม่ให้พวกเราชาวโลกกลายเป็นภัยที่ร้ายแรงขึ้น
ชอว์น โดมากัล-โกลด์แมน จากหน่วยวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ของนาซา และเพื่อนร่วมทีม ได้รวบรวมสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะตามมาหลังมีการพบปะกันอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยมนุษยชาติเตรียมพร้อมสำหรับการติดต่อสัมพันธ์ที่แท้จริง
ในรายงานที่ชื่อ Would Contact with Extraterrestrials Benefit or Harm Humanity? A Scenario Analysis ทีมนักวิจัยได้แบ่งการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวออกเป็น 3 รูปแบบ คือ มาอย่างเป็นคุณ กลางๆ และให้โทษ
สำหรับการมาอย่างเป็นคุณนั้น ชาวโลกอาจจะได้รับประโยชน์ตั้งแต่การให้ข้อมูลข่าวกรองนอกโลก การตั้งองค์กรเพื่อช่วยเราพัฒนาความรู้ ความสามารถ และช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความหิวโหย ความอดอยาก และโรคร้าย ตลอดจนการช่วยโลกต่อสู้กับผู้บุกรุกจากดาวเคราะห์อื่นๆ ด้วย
ขณะที่ การติดต่อโดยกมนุษย์ต่างดาวบางครั้งอาจไม่ทำให้สังคมโลกรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง พวกเขาอาจแตกต่างกับมนุษย์โลกจนไม่สามารถจะสื่อสารกันอย่างเป็นประโยชน์ได้ แต่พวกเขาอาจชักชวนให้ชาวโลกเข้าร่วมสมาคมต่างดาว "แกแลคติก คลับ" เพียงเพื่อจะขอเดินทางมายังโลก และอาจกลายเป็นสิ่งที่ก่อความวุ่นวายให้กับโลกได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกก็อาจมาอย่างให้โทษต่อมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นภัยโดยไม่ตั้งใจ อย่างการแพร่โรคระบาด หรือแม้แต่การกินมนุษย์ เอามนุษย์ไปเป็นทาส และโจมตีทำลายล้างได้เช่นกัน
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของมนุษย์ นักวิจัยเหล่านี้จึงเรียกร้องให้ระวังการส่งสัญญาณขึ้นไปในอวกาศ โดยเฉพาะเตือนไม่ให้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางชีววิทยา ซึ่งอาจถูกใช้เป็นอาวุธล้างบางพวกเราชาวโลก ขณะที่การติดต่อกับเหล่าอีทีก็ควรเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าจะรู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เกี่ยวข้องด้วยนั้นดีขึ้น
นอกจากนี้ คณะผู้เขียนรายงานฉบับดังกล่าวยังเสริมว่า เอเลี่ยนทั้งหลายอาจวิตกกังวลกับอารยธรรมที่แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความเจริญเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายชนิดสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปแล้ว
ทีมนักวิจัยระบุว่า ขณะนี้ ความเจริญของมนุษยชาติอาจเข้าสู่ช่วงที่ขยายตัวอย่างมากจนองค์กรข่าวกรองนอกโลกตรวจจับได้ เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของชั้นบรรยากาศของโลก ผ่านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั่นเอง
"กรีนเอเลี่ยนอาจคัดค้านการทำลายสิ่งแวดล้อมบนโลกที่มนุษย์เป็นตัวการ และกวาดล้างพวกเราเพื่อรักษาดาวดวงนี้ไว้ สิ่งสมมติเหล่านั้เป็เหตุผลให้เราต้องจำกัดการเติบโต และลดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของโลก นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากองค์ประกอบในชั้นบรรยากาศอาจถูกสังเกตเห็นได้จากดาวดวงอื่น" รายงานดังกล่าวสำทับ

ภาพแสงประหลาดปรากฎทางตอนเหนือของนอร์เวย์ เชื่อว่าเป็นแสงจากผู้มาเยือน เมื่อปี 2009
และภายหลังจากบ่ายเบี่ยงมานานเกือบ 50 ปี สำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ต.ค. 2550 ว่าจะค้นหาเอกสารสำคัญที่บันทึกเรื่องราวการพบเห็นยานบินลึกลับ (ยูเอฟโอ) ในเมืองเค็กส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อปี 2508 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นาซาพยายามต่อสู้ในชั้นศาลของรัฐบาลกลาง ดึงดันไม่ยอมเปิดแฟ้มเปิดเผยเรื่องราวที่วัตถุลึกลับลอยข้ามท้องฟ้าและตกลงในป่าใกล้เมืองแห่งนั้นมาตลอด
โดยบันทึกความจำของกองทัพอากาศฉบับหนึ่งเขียนว่า "ไม่พบสิ่งใด" ตลอดการค้นหาเมื่อคืนวันที่ 9 ธันวาคม 2508 ท่ามกลางรายงานข่าวว่า มีเจ้าหน้าที่นาซาหลายคนเข้าไปยังจุดตกของวัตถุลึกลับ ก่อนจะมีรถบรรทุกเคลื่อนย้ายวัตถุขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายลูกโอ๊คและมีขนาดเท่ารถตู้ออกไปจากที่เกิดเหตุ
รายงานข่าวเผยว่า หลังจากที่ยูเอฟโอลำนั้นตกลงในป่า บรรดาผู้กระหายใคร่รู้ได้ขับรถเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ แต่ถูกทหารกั้นไม่ให้เข้าไป ขณะที่กองทัพอากาศได้ออกมาอธิบายเพียงว่า วัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นดาวตก หรือ อุกกาบาต แม้ว่าเหตุการณ์ลึกลับจะผ่านพ้นไปเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ผู้สนใจยูเอฟโอต่างไม่ยอมให้ข้อมูลเหล่านี้หายไปกับกาลเวลา นางเลสลีย์ คีน นักข่าวจากนิวยอร์ก ยื่นฟ้องนาซาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพื่อขอให้นาซา เปิดเผยข้อมูลของเหตุการณ์นี้ โดยนางคีน ให้เหตุผลว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มยูเอฟโอจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ พร้อมเปิดเผยว่า สาเหตุที่ฟ้องนาซาแทนที่จะเป็นกองทัพนั้น เนื่องจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นาซาได้เปิดเผยเอกสารที่มีข้อมูลซึ่งเกี่ยวพันกับเหตุที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนมีนาคม 2550 ฝรั่งเศส เป็นประเทศแรกที่เปิดแฟ้มลับของตัวเองเกี่ยวกับยูเอฟโอ โดยองค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (CNES : Centre National d’Etudes Spatiales) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้ากว่า 1,600 กรณี ตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา รายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้า และยังอัพเดตกรณีใหม่ๆ เข้ามาด้วย โดยได้จัดทำรายการกรณีที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด

ภาพนี้เคยมีข่าวดัง, จานบินลึกลับนี้บินขึ้นมาจากรอยแยกของน้ำแข็งที่ขั่วโลกเหนือ
ทหารของรัสเซีย ได้นำเครื่องบินติดตามไปจนไปถึงแหลมเบอร์มิวด้าและหายไป
เครื่องบินไป 3 กลับมาแค่ 2
ต่อเรป #2 #4 #6 #7