โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
"8 คำสาปล่ำลือ" ที่แสนน่ากลัวของโลก…
kannikaza
#1
21-08-2011 - 22:14:39

#1 kannikaza  [ 21-08-2011 - 22:14:39 ]




"8 คำสาปล่ำลือ" ที่แสนน่ากลัวของโลก…

โลกของเรานั้นมีเรื่องประหลาดมากมาย บางเรื่องก็น่ากลัว บางเรื่องก็พิศวง บางเรื่องก็แปลกและวันนี้เราได้นำ 10 อันดับ คำสาป ความเชื่อ ที่สุดแสนจะน่ากลัวมาให้ทุกคนได้ดู

8. Chainedoak
โอ๊คถูกล่ามโซ่ เป็นตำนานเก่าแก่ของอัลตั้น, สแตฟฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษ ที่กล่าวถึงการที่ตาย พราะคำสาปโดยต้นไม้โอ๊ค โดยคำสาปนี้เริ่มต้นขึ้นในคืนฤดูใบไม้ร่วงในปี 1821 เมื่อเอิร์ลแห่งชรูว์สบิวรี่ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนาง เก่าแก่ไก้กลับมายังบ้านของเขาในอัลตั้น และระหว่างทางมีหญิงชราคนหนึ่งปรากฏตัวบนถนน หญิง ชราขอเงินจากเอิร์ล แต่เอิร์ลไม่ให้แถมยังด่าเธอแถมท้าเธอให้สาปแช่งเขา และแล้วหญิงชราจึงได้ เปล่งคำสาปแช่งว่า"เมื่อกิ่งก้านสาขาต้นไม้โอ๊คที่เก่าแก่ที่แห่งนี้ตกบนพื้นเบื้องล่างเมื่อใดเมื่อนั้นสมาชิกตระกูลเอิรล์ของท่านจะต้องตาย" เอิรล์ไม่สนคำสาปแช่งของหญิงชรานัก และในคืนนั้นเองได้เกิดพายุกระหน่ำและทำให้กิ่งก้านของ ต้นโอ๊คที่มีอายุเก่าแก่หักล้มลง และคืนนั้นเองสมาชิกของครอบครัวเอิร์ลก็ได้ตายอย่างลึกลับ ซึ่งทำ ให้เอิร์ลเริ่มกลัวคำสาปนี้มาก เขาเลยสั่งให้ข้ารับใช้ของเขาเอาโซ่ไปล่ามกิ่งก้านสาขาต้นโอ๊คใน บริเวณที่เจอหญิงชรา เพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งหักล้ม แต่กระนั้นคำสาปก็ยังตามหลอกหลอนเอิร์ธ เมื่อมีกิ่งต้นโอ๊คตกลงมาอีกครั้ง ส่งผลทำให้สมาชิกตระกูล เอิร์ธตายในเวลาต่อโดยสาเหตุจากการปาหิน ต่อมารุ่นที่สองซึ่งเป็นบุตรชายของเอิร์ลได้ขี่ม้าผ่านต้นโอ๊คที่ครั้งหนึ่งเป็นที่หญิงชราคนนั้นปรากฏตัวเพื่อขอเงินจากเอิร์ธ และทันใดนั้นเองกิ่งต้นโอ๊คนั้นเกิด หักมาลงบนพื้นตัดหน้าม้า ส่งผลทำให้ม้าตกใจและทำให้เขาตกลงจากม้าตาย โดยเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกอุบัติเหตุที่ระบุเวลาไว้ด้วย และคำสาปนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2007 เมื่อมีกิ่งต้นโอ๊คตกลงมาบนพื้น แต่ปรากฏว่าไม่มีสมาชิกในตระกูลเอิร์ธใดได้รับอุบัติเหตุหรือ เสียชีวิตเลย ปัจจุบันเราสามารถพบต้นไม้โอ๊คถูกล่ามโซ่เหล่านี้ได้ในป่าใกล้อัลตั้นใกล้กับทางเข้าของ สวนอัลตั้น ทาวเวอร์



7. August curse
คำสาปสิงหาคม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในรัสเซีย โดยในเดือนสิงหาคมของทุกปีของรัสเซียมัก จะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติด้านลบเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยนักข่าวและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากได้ตั้งข้อสังเกต ว่าตั้งแต่ปี 1991 ในเดือนสิงหาคมมักเกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุร้ายแรง การก่อการร้าย หรือสงคราม เช่น 19-21 สิงหาคม 1991 เกิดรัฐประหารในโซเวียต, 17 สิงหาคม 1998 เกิดวิกฤตการเงินรัสเซีย, 2 สิงหาคม 1999 จุดเริ่มต้นของสงครามเชเชนครั้งที่ 2, 12 สิงหาคม 2000 เรือดำน้ำเคิร์สด์จมส่ง ผลทำให้มีผุ้เสียชีวิต 118 ตาย, 24 สิงหาคม 2004 เครื่องบินรัสเซียถูกวางระเบิดส่งผลทำให้มีผู้ เสียชีวิต 89 ราย, 17 สิงหาคม 2009 ระเบิดก่อการร้ายในนาซรัน, 29 กรกฎาคม 2010 คลื่นความ ร้อนของรัสเซีย ฯลฯ หลายฝ่ายพยายามวิเคราะห์ถึงสาเหตุปรากฏการณ์นี้ เชื่อว่าเดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวของรัสเซียทำให้ผู้ก่อการร้ายใช้ประโยชน์อันนี้ก่อการร้าย หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่ดวงประเทศมี ตำแหน่งสัมพันธ์ของดาวเสาร์และดาวยูเรนัสทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย และเดือนสิงหาคมสภาพอากาศ ที่มักจะร้อนก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว



6. Bell Witch
คำสาปแม่มดเบลล์ เป็นคำสาปที่เกิดขึ้นกับตระกูลเบลล์ ในเมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกา ซึ่งเป็นเศรษฐีในเมืองแห่งนี้ โดยเชื่อกันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของตระกูลเบลล์ ซึ่งเธอโกรธแค้นมากเมื่อตระกูลเบลล์โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตายเธอได้สาปแช่งว่า ถ้าเธอตายจะเป็นผีเ้ยนให้ดู (นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเป็นวิญญาณของสัตว์ที่เจ้าบ้านตระกูลเบลล์เป็นคนฆ่า เพราะมีรายงานการพบสุนัขและหัวกระต่ายปรากฏมา หลอกหลอนด้วย) และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากปรากฏการณ์ ผีโพลเตอร์ไกส์ ที่ชอบแกล้งหรือทำลายข้าวของในบ้าน ทำให้ข้าวของแตกกระจาย เสียงเคาะและ เสียงกัดบนผนังข้างนอก เสียงข่วน ภาพลวงตาของสุนัขดำ และเสียงแปลกประหลาดอื่นๆ ตามมาด้วย การกระทำที่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ผู้ปูที่นอนที่ถูกดึงออก เข็มทิ่มตามร่างกาย ดึงผ้าคลุมจากเตียง การ ทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยองแกล้งแบบสะใจ แม้กระทั่งตอนสมาชิกในครอบครัวตาย ผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ หัวเราะร้องเพลงอย่าง เริงร่าและดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายออกจากงานฝัง ทำให้เจ้าบ้านจอห์น เบลล์ ต้องพบ กับความทุกข์ระทมจวบจนวาระสุดท้ายนับตั้งแต่ปี 1817 แม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัว อยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ ภายในถ้ำแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็น สมบัติของเบลล์ และเรื่องราวเหล่านี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง An American Haunting (2006) และThe Bell Witch Haunting (2004) ในเวลาต่อมา



5. Pele's Curse
เปเล่นั้นเป็นชื่อเทพเจ้าของฮาวายนะครับ ไม่ใช่ชื่อนักฟุตบอลบราซิล โดยชาวฮาวายเชื่อว่าเปเล เป็นผู้สร้างเกาะน้อยใหญ่ทุกเกาะของฮาวาย เล่ากันว่าเทพองค์นี้มีนิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจ อารมณ์แปรปรวน เวลาโกรธจะน่ากลัวมากถึงขั้นทำให้โลกสั่นสะเทือนเลยทีเดียว ในตำนานเล่าว่าเทพองค์นี้ไม่พอใจมาก หากนักท่องเที่ยวท่านใดที่หยิบหิน ทราย หรือหินภูเขาไฟ ออกจากเกาะฮาวายโดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านเลยสาปแช่งใครก็ตามที่เอาหินออกจากเกาะจะมีแต่โชคร้าย ทิโมที เมอร์เรย์ วัย 32 กรอกทรายสีดำใส่ขวดนำกลับบ้านที่ฟลอริดา ในปี 1992 แล้วก็พบว่าธุรกิจของเขาล้มละลายไปในพริบตา คู่หมั้นเลิกลา ทุกอย่างเลวร้าย จนกระทั่งวันที่เขาส่งลาวาคืนสู่เกาะ เดนเวอร์ แลรี่ เบลล์ นักธุรกิจ ต้องเข้าผ่าตัดหัวใจกะทันหัน ชีวิตสมรสเกือบพังทลาย พร้อมกับที่ลูก สาวล้มป่วยลงด้วยโรคประหลาด และธุรกิจล้มไม่เป็นท่า ทั้งนี้มันเริ่มขึ้นหลังจากที่เขาตักทรายสีดำ เพื่อเป็นที่ระลึกจากการท่องเที่ยวหมู่เกาะฮาวาย แต่ที่น่าแปลกก็คือ มีความเชื่อว่าหากส่งหินกลับไปยังที่ของมันทางพัสดุไปรษณีย์ พวกเขาจะโชคดี ตอบกลับมา ดังนั้นทุกวันนี้ยังมีผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ส่งพัสดุไปรษณีย์บรรจุก้อนลาวา เปลือกหอย หรือแม้แต่ทรายเม็ดเดียว กลับคืนสู่เกาะเป็นจำนวนมาก ซึ่งความจริงแล้วการทำแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่อง ผิดกฎหมายว่าด้วยการเอาแร่ธาตุออกจากสวนแห่งชาติอเมริกา



4. The Crying Boy
The Crying Boy หรือภาพชุดเด็กชายร้องไห้ เป็นตำนานของประเทศอังกฤษ ที่เชื่อว่าหากบ้าน ใดที่มีรูปชุดเด็กชายที่วาดโดย จี บราโกลิน จิตรกรชาวสเปน อยู่ที่บ้านละก็ บ้านนั้นจะมีแต่ความโชค ร้าย แม้ภาพเหล่านั้นจะเป็นของก็อป...ก็ตาม หลายคนเชื่อกันว่าที่มาของคำสาปนี้มาจากผู้วาดคือ จี บราโกลินที่ได้วาดรูปนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1969 โดยต้นแบบคือ เด็กชายที่วิ่งเล่นอยู่บนท้องถนนในกรุงมาดริด ซึ่งเซวิลล์พบเข้าโดยบังเอิญขณะ กำลังเดินเล่น ตอนนั้นเด็กไม่ยอมพูดและมีดวงตาที่เศร้ามาก เนื่องจากอดีตเด็กชายคนนี้ได้เห็นพ่อ และแม่ของตัวเองเสียชีวิตในกองเพลิงต่อหน้าต่อตา แต่ตัวเองหนีรอดมาได้ หลายคนได้เตือนให้ นักวาดคนนี้อย่าไปยุ่งเด็กคนนี้ เพราะที่ที่เด็กคนนี้อยู่มักจะมีเหตุการณ์ไฟไหม้ที่แปลกประหลาดเกิด ขึ้นเสมอเซวิลล์ไม่เชื่อคำเตือนและรับเด็กชายมาเลี้ยงดู นับแต่นั้นเขาก็ขายภาพวาดได้มากขึ้นและภาพชุด เด็กชายร้องไห้ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม กระทั่งวันหนึ่งก็เกิดไฟไหม้ขึ้นจริงๆ เซวิลล์โกรธ มากจนออกปากไล่เด็กชายออกจากบ้าน และไม่มีใครเคยพบเห็นเด็กชายคนนี้อีกเลย คำสาปนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 4 กันยายน 1985 เมื่อหนังสือพิมพ์เดะซันได้รายงานจากนักดับเพลิงโดย พวกเขาได้รายงานเรื่องประหลาดในระหว่างที่พวกเขาไปดับเพลิงในบ้านของประชาชนว่า พวกเขาได้เห็นภาพเด็กชายร้องไห้ในบ้านที่ถูกไฟไหม้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอเพลิงสงบลง ภาพเหล่านั้นได้หงายหน้าขึ้นและไม่โดนไฟเผาแม้แต่นิดเดียว! ส่งผลทำให้พวกเขาและเจ้าของบ้านหวาดกลัวภาพนี้ มากและเชื่อว่าภาพเหล่านี้คือสาเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว หลังจากที่นำเสนอข่าวนี้ไปไม่นาน ผู้อ่านจากทุกสารทิศส่งจดหมายเล่าเรื่องราวร้ายๆ ที่พวกเขาคิด ว่าเกิดเพราะคำสาปจากรูปภาพชุดนี้มายัง เดอะซัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ ความเจ็บป่วย การ เสียชีวิตของคนในครอบครัวอย่างกะทันหัน ฯลฯ บางฉบับเล่าว่า ภาพสามารถขยับได้เอง หรือรูปภาพ ทำให้ลูกหลานในบ้านหวาดกลัว เจ้าของจดหมายฉบับหนึ่งเล่าว่า เขาพยายามเผาภาพเด็กชายร้องไห้ ที่เขามี แต่ปรากฏว่าภาพไม่ไหม้ไฟ จนเขาไม่กล้าจะทำลายมันอีกเป็นครั้งที่สอง



3. Bhangarh
ที่รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ที่นั่นเป็นที่ตั้งสถานที่ปรักหักฟังที่มีชื่อเสียงคือ"Bhangarh" ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ผีสิงต้องสาปที่น่ากลัว จนรัฐบาลได้ปักป้ายไว้ว่า "สถานที่แห่งนี้ควรมาในช่วงอาทิตย์ขึ้น หากหลังจากพระอาทิตย์ตกดินจงรีบออกจากสถานที่แห่งนี้ อย่างเคร่งครัด และห้ามเข้า ไม่งั้นคุณจะไม่มีชีวิตรอดกลับไป" ป้ายดังกล่าวตีความได้สองความหมายคือ สถานที่ดังกล่าวอาจเต็มไปด้วยสัตว์ป่า ประกอบด้วยไม่มี แสงไฟจึงทำให้มันเปนอันตราย หรืออีกความหมายคือสถานที่แห่งนี้มีผีดุและคำสาปที่จะฆ่าทุกคน ที่เดินก้าวมา ว่ากันว่าครั้งที่สถานที่แห่งนี้เคยเป็นเมือง และที่เมืองแห่งนี้มีเจ้าหญิงคนหนึ่งชื่อ "Ratnavati" เมื่อ พระองค์อายุสิบแปดจะต้องหาคู่ครอง แต่พระองค์ไม่สามารถหาใครเป็นคู่ครองได้เลย จนกระทั้งมี ชายคนหนึ่งเป็นจอมขมังเวทย์ชื่อ "Singhia" ที่หลงรักองค์หญิง และพยายามที่จะใช้มนต์ดำในการ เข้าถึงตัวพระองค์ จนกระทั้งวันหนึ่งเขาได้สังเกตเห็น คนรับใช้ของเจ้าหญิงกำลังซื้อน้ำหอมให้ พระองค์ เมื่อสบโอกาส เขาจึงได้ร่ายมนต์สะกดไปที่น้ำหอมดังกล่าว เพื่อหวังว่าเวลาที่เจ้าหญิงใช้มันจะทำ ให้เธอหลงรักเขา หากแต่แผนดังกล่าวล้มเหลว เพราะมีคนรู้เข้าเสียก่อนจึงได้ทำการปาขวดกระแทก กับหิน ก่อนที่หินดังกล่าวจะล้มไปทับร่างของจอมขมังเวทย์คนนั้น (หินต้องสะกดแทน) ก่อนจะตาย จอมเวทย์ได้สาปแช่งให้กับคนที่อยู่ในพระราชวังต้องตาย และวิญญาณจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกหลายร้อยปีโดยไม่มีการกลับชาติมาเกิดใหม่ และจากนั้นเป็นต้นมาก็เกิดเหตุประหลาดขึ้นคือ หลังคาบ้านทุกหลังในเมืองแห่งนี้พังทลายโดยไม่ ทราบสาเหตุ และเมื่อสร้างใหม่หลังคาก็กลับมาพังอีก จนทำให้หลายบ้านตัดสินใจไม่สร้างหลังคา และในเวลาต่อมาเกิดการต่อสู้ระหว่าง Bhangarh และ Ajabgarh ทำให้ทุกคนที่อยู่อาศัยใน Bhangard ตายหมด นั่นรวมไปถึงเจ้าหญิงด้วย และจากนั้นเป็นต้นมาสถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่รวมภูต ผีและคำสาปในที่สุด


2. The Cursed Iceman
Ötzi the Iceman เป็นมัมมี่ที่มีสภาพสมบูรณ์ของชายอายุ 5300 ปีมาแล้ว โดยพบในเดือนกันยายน ปี 1991 ในเทือกเขาแอลป์ Ötzi พรมแดนระหว่างออสเตรียกับอิตาลี โดยร่างของเขาถูกคนพบใน น้ำแข็งครึ่งร่าง ถือว่าเป็นมัมมี่สมบูรณ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์โบราณคดี ในโบลซาโน ภาคเหนือของอิตาลี มัมมี่ดังกล่าวเต็มไปด้วยเรื่องประหลาดและน่าพิศวง ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิต ว่าเขาตาย เพราะอุบัติหตุหรือถูกฆาตกรรม แต่ที่น่าพิศวงกว่านั้นคือ มีคำสาปเหมือนคำสาปฟาโรต์ด้วย โดยเชื่อ ว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมัมมี่ตนนี้ไม่ว่าจะเป็นคนค้นพบ และคนตรวจสอบจะตายอย่างลึกลับ โดยมี เหยื่อตายเพราะคำสาปทั้งสิ้นเจ็ดราย ปี 1992 เมื่อ Rainer Henn อายุ 64 นักพยาธิวิทยานิติเวชที่วางร่างกายไอซ์แมนในถุงห่อศพด้วย มือเปล่า เขาก็ได้รับอุบัติเหตุจากรถจนตายในขณะไปร่วมประชุมหาลือเรื่องไอซ์แมนในที่ประชุมโลก ถัดไป เคิร์ต ฟริตซ์ อายุ 64 ปี นักพยาธิวิทยาที่เปิดใบหน้าไอซ์แลนด์ออกจากน้ำแข็งก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาก็ได้ถูกหิมะถล่มทับใส่ตาย ต่อมา Rainer Hölz อายุ 47 ปีตายเพราะเนื้องอกในสมองในเวลาต่อมา แต่ที่น่าพิศวงก็คงเป็นเรื่องของ เฮลมุท ไซม่อน ที่เขาเป็นคนพบไอซ์แมน และต่อมาในปี 2004 เขา ก็ได้หายไป ก่อนที่จะมีการพบร่างของเขาในวันที่ 23 ตุลาคมในภูเขาออสเตรีย ลักษณะวางคว่ำหน้า เหมือนร่างไอซ์แลนด์ตอนพบครั้งแรกไม่มีผิด สันนิษฐานว่าเขาตกจากเขาเพราะอุบัติเหตุจากการขึ้น ภูเขาและต่อมา Dieter Warnecke หัวหน้าทีมกู้ภัยที่พบศพของ เฮลมุท ก็หัวใจวายตายหลังจากร่วมงาน ศพของ เฮลมุท ต่อมาก็ คอนราด อายุ 66 ปีซึ่งเป็นทีมงานวิทยาศาสตร์ที่ตรวจสอบไอซ์แมนในปี 1991 ก็เสียชีวิต จากเส้นโลหิตตีบตันและทอม ลอย อายุ 63 ปี นักโบราณคดีที่ตรวจสอบอาวุธและเครื่องแต่งกายของไอซ์แมน และเขา ก็ตายในเวลาต่อมาด้วยโรคเลือดทางพันธุกรรม อย่างไรก็ตามมีคนหลายร้อยคนที่มีส่วนร่วมตรวจ สอบมัมมี่ดังกล่าวและยังคงสุขสบายดีจนถึงปัจจุบัน (และสังเกตว่าคนที่ตายอายุมากเกือบยกกลุ่ม)



1. RMS Titanic
หลังจากไทนานิก เรือเดินสมุทรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้นได้จมลง ได้มีข่าวลื่อแปลกๆ ว่ามีคำสาปอยู่บนเรือ โดยเฉพาะเรื่องของมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-รา ผู้ที่อาศัยอยู่เมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล และเมื่อเธอได้เสียชีวิตลง ศพของเธอก็ได้ถูกบรรจุลงบนโลงศพไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม และฝัง ในสุสานลัคซอจนกระทั้งในปี 1890 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปเที่ยวลัคซอว์ และถูกชักชวนให้ซื้อ บมัมมี่บหนึ่ง นั้นคือเจ้าญิงอาเมน-ราซึ่งมีความสวยงามมาก โดยคนอังกฤษคนหนึ่งในกลุ่มได้ซื้อ ในราคาหลายพันปอนด์ แล้วนำโลงศพเอาไว้ในโรงแรม ไม่กี่ชั่วโมงต่อมามีคนเห็นเขาเดินมุ่งหน้าไป ทะเลทรายและไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย ต่อมาชายคนที่ 2 ถูกคนรับใช้ชาวอียิปต์ยิงบาดเจ็บสาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่าธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้ เกิดล้มละลาย ในขณะที่ชายคนที่4 คนเกิดเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขาย ไม้ขีดไฟตามท้องถนน อย่างไรก็ตามโลงศพก็ได้ถึงอังกฤษ โดยนักธุรกิจลอนดอนเป็นผู้ซื้อ แต่แล้วก็พบกับเรื่องร้ายเมื่อ สมาชิกครอบครัวของเขาบาดเจ็บสาหัส จากอุบัติเหตุทางถนน และบ้านก็ถูกไฟไหม้ เขาเลยบริจาค โลงมัมมี่ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ขณะลำเลียงโลงศพรถเข้ารถบรรทุก รถบรรทุกมัมมี่เกิดถอยหลัง ไปทับคนงาน และคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น คนงาน 2 คนที่ยกโลงขึ้นบันได้เกิดตกลงมาขาหัก อีก คน 2 วันต่อมาก็เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อโลงมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราได้ไว้ในห้องโชว์แล้ว เหตุประหลาดก็ตามมาอีก เมื่อกลางคืนได้จะ ได้ยินเสียง ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจากโลงศพ แถมยังได้ยินเสียง อึกทึกครึกโครมออกมาจากห้องนั้น ยามคนหนึ่งก็ตายในหน้าที่อีก ทำให้ทุกๆคนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ อีกเลย และเหตุการณ์ร้ายๆ ก็มีมาไม่จบไม่สิ้น เมื่อมีคนรอบตัวพบกับอุบัติเหตุแปลกประหลาดมากมาย จนในที่สุด ก็มีนักโบราณคดีชาวอเมริกันได้ตัดสินใจจ่ายเงิน เพื่อซื้อมัมมี่และเตรียมขนย้ายไปนิวยอร์ค ในเดือนเมษายน 1911 และเรือขนย้ายก็คือ "เรือไททานิค" นั่นเอง อย่างไรก็ตามในบัญชีสิ่งของที่ต้องส่งทางเรือไททานิก ไม่ปรากฏว่ามีมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราอยู่บนเรือ แต่อย่างใด ทำให้คำสาปนี้เป็นเพียงตำนานเมืองที่เล่าขานจากปากสู่ปากเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องหลอกลวง



เครดิต//www.dek-d.com/board/view.php?id=2248095



ERASE
Sinsia
#2
21-08-2011 - 22:17:07

#2 Sinsia  [ 21-08-2011 - 22:17:07 ]




น่ากลัวนะคะ


SolSica
#3
21-08-2011 - 22:17:52

#3 SolSica  [ 21-08-2011 - 22:17:52 ]





อืม . . ก็น่ากลัวบ้าง


Ghostpimmy nn
#4
22-08-2011 - 15:09:38

#4 Ghostpimmy nn  [ 22-08-2011 - 15:09:38 ]





น่ากลัวอ่ะ



we never go out of style
aumlovethesim3
#5
22-08-2011 - 16:26:01

#5 aumlovethesim3  [ 22-08-2011 - 16:26:01 ]






1. RMS Titanic
หลังจากไทนานิก เรือเดินสมุทรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้นได้จมลง ได้มีข่าวลื่อแปลกๆ ว่ามีคำสาปอยู่บนเรือ โดยเฉพาะเรื่องของมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-รา ผู้ที่อาศัยอยู่เมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล และเมื่อเธอได้เสียชีวิตลง ศพของเธอก็ได้ถูกบรรจุลงบนโลงศพไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม และฝัง ในสุสานลัคซอจนกระทั้งในปี 1890 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปเที่ยวลัคซอว์ และถูกชักชวนให้ซื้อ บมัมมี่บหนึ่ง นั้นคือเจ้าญิงอาเมน-ราซึ่งมีความสวยงามมาก โดยคนอังกฤษคนหนึ่งในกลุ่มได้ซื้อ ในราคาหลายพันปอนด์ แล้วนำโลงศพเอาไว้ในโรงแรม ไม่กี่ชั่วโมงต่อมามีคนเห็นเขาเดินมุ่งหน้าไป ทะเลทรายและไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย ต่อมาชายคนที่ 2 ถูกคนรับใช้ชาวอียิปต์ยิงบาดเจ็บสาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่าธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้ เกิดล้มละลาย ในขณะที่ชายคนที่4 คนเกิดเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขาย ไม้ขีดไฟตามท้องถนน อย่างไรก็ตามโลงศพก็ได้ถึงอังกฤษ โดยนักธุรกิจลอนดอนเป็นผู้ซื้อ แต่แล้วก็พบกับเรื่องร้ายเมื่อ สมาชิกครอบครัวของเขาบาดเจ็บสาหัส จากอุบัติเหตุทางถนน และบ้านก็ถูกไฟไหม้ เขาเลยบริจาค โลงมัมมี่ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ขณะลำเลียงโลงศพรถเข้ารถบรรทุก รถบรรทุกมัมมี่เกิดถอยหลัง ไปทับคนงาน และคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น คนงาน 2 คนที่ยกโลงขึ้นบันได้เกิดตกลงมาขาหัก อีก คน 2 วันต่อมาก็เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อโลงมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราได้ไว้ในห้องโชว์แล้ว เหตุประหลาดก็ตามมาอีก เมื่อกลางคืนได้จะ ได้ยินเสียง ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจากโลงศพ แถมยังได้ยินเสียง อึกทึกครึกโครมออกมาจากห้องนั้น ยามคนหนึ่งก็ตายในหน้าที่อีก ทำให้ทุกๆคนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ อีกเลย และเหตุการณ์ร้ายๆ ก็มีมาไม่จบไม่สิ้น เมื่อมีคนรอบตัวพบกับอุบัติเหตุแปลกประหลาดมากมาย จนในที่สุด ก็มีนักโบราณคดีชาวอเมริกันได้ตัดสินใจจ่ายเงิน เพื่อซื้อมัมมี่และเตรียมขนย้ายไปนิวยอร์ค ในเดือนเมษายน 1911 และเรือขนย้ายก็คือ "เรือไททานิค" นั่นเอง อย่างไรก็ตามในบัญชีสิ่งของที่ต้องส่งทางเรือไททานิก ไม่ปรากฏว่ามีมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราอยู่บนเรือ แต่อย่างใด ทำให้คำสาปนี้เป็นเพียงตำนานเมืองที่เล่าขานจากปากสู่ปากเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องหลอกลวง

แอบน่ากลัวนะ


mmjjSense
#6
22-08-2011 - 18:34:16

#6 mmjjSense  [ 22-08-2011 - 18:34:16 ]





. The Crying Boy
The Crying Boy หรือภาพชุดเด็กชายร้องไห้ เป็นตำนานของประเทศอังกฤษ ที่เชื่อว่าหากบ้าน ใดที่มีรูปชุดเด็กชายที่วาดโดย จี บราโกลิน จิตรกรชาวสเปน อยู่ที่บ้านละก็ บ้านนั้นจะมีแต่ความโชค ร้าย แม้ภาพเหล่านั้นจะเป็นของก็อป...ก็ตาม หลายคนเชื่อกันว่าที่มาของคำสาปนี้มาจากผู้วาดคือ จี บราโกลินที่ได้วาดรูปนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1969 โดยต้นแบบคือ เด็กชายที่วิ่งเล่นอยู่บนท้องถนนในกรุงมาดริด ซึ่งเซวิลล์พบเข้าโดยบังเอิญขณะ กำลังเดินเล่น ตอนนั้นเด็กไม่ยอมพูดและมีดวงตาที่เศร้ามาก เนื่องจากอดีตเด็กชายคนนี้ได้เห็นพ่อ และแม่ของตัวเองเสียชีวิตในกองเพลิงต่อหน้าต่อตา แต่ตัวเองหนีรอดมาได้ หลายคนได้เตือนให้ นักวาดคนนี้อย่าไปยุ่งเด็กคนนี้ เพราะที่ที่เด็กคนนี้อยู่มักจะมีเหตุการณ์ไฟไหม้ที่แปลกประหลาดเกิด ขึ้นเสมอเซวิลล์ไม่เชื่อคำเตือนและรับเด็กชายมาเลี้ยงดู นับแต่นั้นเขาก็ขายภาพวาดได้มากขึ้นและภาพชุด เด็กชายร้องไห้ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม กระทั่งวันหนึ่งก็เกิดไฟไหม้ขึ้นจริงๆ เซวิลล์โกรธ มากจนออกปากไล่เด็กชายออกจากบ้าน และไม่มีใครเคยพบเห็นเด็กชายคนนี้อีกเลย คำสาปนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 4 กันยายน 1985 เมื่อหนังสือพิมพ์เดะซันได้รายงานจากนักดับเพลิงโดย พวกเขาได้รายงานเรื่องประหลาดในระหว่างที่พวกเขาไปดับเพลิงในบ้านของประชาชนว่า พวกเขาได้เห็นภาพเด็กชายร้องไห้ในบ้านที่ถูกไฟไหม้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอเพลิงสงบลง ภาพเหล่านั้นได้หงายหน้าขึ้นและไม่โดนไฟเผาแม้แต่นิดเดียว! ส่งผลทำให้พวกเขาและเจ้าของบ้านหวาดกลัวภาพนี้ มากและเชื่อว่าภาพเหล่านี้คือสาเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว หลังจากที่นำเสนอข่าวนี้ไปไม่นาน ผู้อ่านจากทุกสารทิศส่งจดหมายเล่าเรื่องราวร้ายๆ ที่พวกเขาคิด ว่าเกิดเพราะคำสาปจากรูปภาพชุดนี้มายัง เดอะซัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ ความเจ็บป่วย การ เสียชีวิตของคนในครอบครัวอย่างกะทันหัน ฯลฯ บางฉบับเล่าว่า ภาพสามารถขยับได้เอง หรือรูปภาพ ทำให้ลูกหลานในบ้านหวาดกลัว เจ้าของจดหมายฉบับหนึ่งเล่าว่า เขาพยายามเผาภาพเด็กชายร้องไห้ ที่เขามี แต่ปรากฏว่าภาพไม่ไหม้ไฟ จนเขาไม่กล้าจะทำลายมันอีกเป็นครั้งที่สอง


น่าจะเป็นอันดับ 1 นะน่ากลัวมาก



:3
  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ