โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
แช่แฟ้บแซ่ปเกริ์ล เรื่องป่วยๆของคนโรงแรม(หยาบหน่อย)
Mackyขอรับ
#1
Mackyขอรับ
27-04-2011 - 13:39:40

#1 Mackyขอรับ  [ 27-04-2011 - 13:39:40 ]




คือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โรงแรมที่แม่ผมทำงานอยู่ครับ (อ่านไปเรื่อยๆรับรองขำขี้แตก)

ผมเป็นคนที่ไม่อ่าน fwd mail ครับ นอกจากจะไม่อ่านแล้วยังรู้สึกเรื้อนกับไอ้พวกเมลพวกนี้ชิบหายด้วยครับ ถ้า cyber space มีขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ อี fwd mail ก็ต้องเป็นขยะเหล่านั้น
เพราะตั้งแต่เรียนการโรงแรมจนบัดเดี๋ยวนี้ผมก็ยังได้อีพวกเมลขอบริจาคเลือดให้เด็กคนเดิมอยู่เลยครับ มึงจะเอาเลือดเยอะแยะไปถมทะเลเหรอครับ?

ล่าสุดก็จะเป็น fwd mail เรื่องประมาณว่าคนนู่นคนนี้หมิ่นเบื้องสูง...
ขอร้องอย่างเป็นทางการ กรุณาอย่าส่งต่อเมลเหล่านี้ครับ เพราะการส่งต่อเมลเหล่านี้ มันไม่ใช่เป็นการประนามนะครับ แต่มันคือการช่วยประชาสัมพันธ์ คุณกำลังช่วยส่งเสริมไอ้คนที่หมิ่นอยู่นะครับ และที่สำคัญที่สุดคือมันผิดกฎหมายด้วยนะ
เพราะฉนั้นได้หากมีคนส่งเมลจำพวกนี้มา...ลบให้สิ้นซากศูนย์ครับ

อ้อ มีอีกเรื่องคือ...ผมเป็นคนไทยที่ใจแคบมากที่สุดในปริมณฑลครับ
เพราะฉนั้นผมจะไม่ fwd mail อะไรต่อ ถึงมันจะเขียนว่าใครไม่ส่งต่อไม่ใช่คนไทย

เออ...กูไม่ส่งและมันก็เรื่องของกู

เมื่อวันก่อนได้ fwd mail อันนึงมาที่เมลที่ทำงาน แต่เห็นว่ามันเกี่ยวกับอะไรเกี่ยวกับโรงแรมก็เลยเปิดอ่านดู ไม่รู้มีคนเคยได้กันรึเปล่าที่มันประมาณว่า หากว่าใครไปพักโรงแรมที่ใช้คีย์การ์ดในการเปิดประตูห้อง ต้องไม่ลืมที่จะเอาคีย์การ์ดกลับบ้านด้วย เพราะว่าโรงแรมจะบันทึกข้อมูลต่างๆ ของแขกที่เข้าพักเข้าไปในคีย์การ์ด ข้อมูลส่วนก็จำพวก บ้านเลขที่ เบอร์เครดิตการ์ด เลขที่พาสปอร์ต คัพยกทรง เบอร์รองเท้า
แล้วเนี่ยแก ถ้าแกไม่เอาบัตรคืนนี้ อีพวกพนักงานโรงแรมเนี่ยแก มันแร๊งงงง มันจะเอาข้อมูลไปใช้ ไปรูดซื้อบีบี เครื่องเพลย์ เครื่องวี ไอโฟน เลี้ยงเด็ก ซุกกุ๊ก

ครับมึง...อย่ามาตุ๊ดครับ

เอางี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ บัตรประชาชนแบบแข็งรุ่นเก่าที่ยังไม่เป็นชิปการ์ดอะครับ คุณคิดว่าไอ้การ์ดที่ว่ามันจะเก็บข้อมูลอะไรได้มั้งครับ
เผลอๆ ไอ้แทบแม่เหล็กที่ว่ามันยังจะหยุดออกได้อย่างกับเปลือกส้ม!
ผมไม่รู้ว่าคีย์การ์ดโรงแรมมันมีต้นทุนตกแผ่นละกี่บาท แต่เวลาสั่งกันทีสั่งกันเป็นห้าร้อยแผ่น พันแผ่น แล้วคิดว่ามันจะเก็บข้อมูลอะไรได้เยอะแยะมั้ยครับ อย่างมากที่สุดมันก็เก็บข้อมูลที่ว่า ตัวมันเองจะต้องไปเปิดประตูห้องไหน และเปิดได้ถึงวันไหน
หรือถ้าไฮเทคกว่านั้น ผมว่ามันจำเต็มที่แค่ชื่อแขกเจ้าของห้องเท่านั้นแหละครับ

ประตูห้องพักแขกส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบบล็อคอัติโนมัติ คือทุกครั้งที่ประตูปิดประตูจะล็อคทันที
ระบบล็อคประตูโรงแรมห้าดาวส่วนใหญ่จะมีอยู่ประมาณสามสเต็ป
1. ล็อคแบบธรรมดา
ก็คือประตูปิดปั๊ปมันล็อคปุ๊บ เวลาเราเข้าห้อง เราก็ไม่ต้องไปล๊อคประตูอะไร คนข้างนอกจะเข้าก็ต้องเคาะประตูเรียก หรือไม่ก็ต้องเปิดประตูด้วยกุญแจสำรองของแขก

2. ดับเบิ้ลล็อค
ชื่อก็บอกแบบโง่ๆ อยู่แล้วว่า ดับเบิ้ลล็อค นั่นก็คือล็อคแล้วล็อคอีก หรือแขกเข้าพักแล้วล็อคจากข้างในอีกชั้น ซึ่งถ้าหากล็อคแบบนี้แล้วคีย์การ์ดด้วยกันเองก็เปิดไม่ได้ นอกจากจะใช้กำลังโคแนนฉีกเสื้อคำรามชกอกแล้วถีบพังประตูเข้าไป แต่ถ้าเสียดายเสื้อและไม่กล้าคำรามชกอกเพราะเป็นหญิงสาววัยขบเผาะ ก็ลองโทรหาเพื่อนที่อยู่ในห้องออกแรงสักสามแคโรลียกตูดเดินมาเปิดประตู เพราะดับเบิ้ลล็อคจะต้องเปิดล็อคจากข้างในห้องเท่านั้นครับ

3. คล้องโซ่
อันนี้ธรรมดาๆ เบสิคๆ อย่างที่เห็นๆ กันอยู่แล้วครับ คือปิดประตูแล้วจะมีโซ่หนึ่งเส้นโยงจากกรอบประตูเพื่อมาคล้องกับบานประตู
แบบนี้คงไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เพราะต้องให้คนข้างในเป็นคนปลดโซ่แน่นอนอยู่แล้ว หรือไม่ก็...เอ่อ...เอาคีมตัดเหล็กมาตัดโซ่ซะ

คีย์การ์ดสำหรับแขกนั้นจะเปิดได้เฉพาะห้องที่พนักงานโปรแกรมเบอร์ห้องเข้าไปครับ คือเปิดได้ทีละห้อง หรือเต็มที่สองห้อง ในกรณีที่ห้องที่ว่าเป็นห้องสวีท
แต่พวกพนักงานบางส่วนเช่นพวกแม่บ้าน หรือรูมเซอร์วิส หรือดิวตี้เมเนเจอร์จะมีมาสเตอร์คีย์ที่สามารถเปิดได้ทุกห้อง เพื่อใช้สำหรับเข้าไปบริการแขก เพราะมันคงจะไม่เท่เวลาที่ต้องมีคีย์การ์ดสิบอันยี่สิบอันคล้องอยู่ที่เอวใช่มะ

มาสเตอร์คีย์ คือกุญแจที่จะเปิดได้ทุกประตู โดยมีเงิ่อนไขว่า มันจะเปิดได้เฉพาะห้องที่ล็อคแบบธรรมดาเท่านั้นนะครับ ถ้าห้องไหนล็อคแบบดับเบิ้ลล็อคมาสเตอร์คีย์ของพนักงานก็จะเปิดไม่ได้เช่นกัน เพราะระบบกุญแจที่ตั้งไว้จะถือว่า การที่ประตูจะล็อคดับเบิ้ลล็อคได้นั้นจะต้องมีแขกอยู่ข้างในเท่านั้น
แต่ถ้าแขกข้างในล็อคดับเบิ้ลล๊อคแล้วฉีดยาเข้าเส้นพร้อมกับกลืนเข็มฉีดยาลงคอแล้วไปเข้าเฝ้าท่านยมบาลล่ะ ใครจะเปิดห้องได้อีกละเนี่ย ไม่ต้องอัญเชิญวิญญาณแขกท่านทรงเกียรติให้ลุกขึ้นมาปลดล๊อคก่อนเรอะ?

ตรงนี้จะมีกุญแจอีกดอกที่สามารถเปิดประตูได้ทุกบาน นั่นก็คือ emergency key หรือกุญแจฉุกเฉิน ซึ่งจะมีอยู่แค่หนึ่งดอกในโรงแรมเท่านั้น โดยที่กุญแจดอกนี้จะเก็บไว้ในเซฟของดิวตี้เมเนเจอร์ ทุกครั้งที่มีการใช้กุญแจฉุกเฉินจะต้องมีการลงบันทึกเป็นเรื่องเป็นราวด้วยแหละ

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือแม่สายยังมีพม่า เหนือพม่ายังมีจีน
emergency key ที่ว่าเปิดได้ทุกประตูในโรงแรมแล้วนั้น ก็ยังมีประตูที่ยังเปิดไม่ได้เช่นกัน
นั่นก็คือ ประตูเสีย...
เนื่องจากไอ้ประตูที่ใช้คีย์การ์ดเนี่ย มันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้ถ่าน รังถ่านจะอยู่ด้านหลังประตู (คือต้องเปิดประตูห้องไว้ถึงจะเห็นน่ะ) แล้วถ้าถ่านหมดละ? ประตูจะมีไฟกระพริบเตือนว่าถ่านใกล้หมดนะ เปลี่ยนถ่านได้แล้วนะเฟ้ย แต่วันดีคืนดี ประตูจะลืมตัวครับ คืออาจจะคิดไปเองว่าตัวมันเองเป็นนกนางนวล เป็นกันดั้ม เป็นฟีโน่ เป็นบีบีไปแล้ว
ประตูก็จะเปิดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะใช้กุญแจอะไรก็ตาม ถ้ามีแขกอยู่ข้างในก็โชคดีไปเพราะยังเปิดจากข้างในได้
แต่ถ้าไม่มีก็...งานเข้าอย่างแรงครับ



มีอยู่คืนนึง
มีแขกคนนึงเดินมาติดต่อว่ากุญแจเปิดไม่ได้ และมันก็เป็นเรื่องปกติเพราะว่าคีย์การ์ดเป็นแถบแม่เหล็ก และถ้ามันวางไว้ใกล้พวกเหล็กหรือมือถือนานๆ บางครั้งคีย์การ์ดมันจะใช้งานไม่ได้
วิชัยก็จัดการทำกุญแจให้ใหม่ แขกเดินกลับไปที่ห้อง พักใหญ่ต่อมาแขกคนเดิมบอกว่าประตูยังเปิดไม่ได้


แขก: คีย์ โน
วิชัย: ....there should be a light from the door, could you tell me what is the color of the light?
แขก: ห๊า!?~




อ่ะถูกต้องครับ...ชีอิสอะโคเรียนแซ๊บส์เกิร์ลครับ
ปกติแขกไม่น่าจะใช้คีย์การ์ดไม่เป็น แต่ถ้าเป็นชนชาตินี้แล้ว
จงอย่าได้ประเมินความมึนต่ำทีเดียวเชียว


วิชัยก็ขึ้นไปห้องแขกด้วยครับ ถึงห้องแขกก็ค้นพบว่าโคเรียนแซ๊บส์เกิร์ลอีกนางนั้นนั่งยองๆ กับพื้นหน้าตาสิ้นหวังประหนึ่งรถกำลังรอรถเมล์กรุงเทพ - โคราชเที่ยวสุดท้าย


อีน้องครับ ลุกหน่อยได้มั้ย ไม่เกรงใจหน้าตาเสื้อผ้าตัวเองก็เกรงพี่มั้งเถอะนะ
วิชัยเอากุญแจแขกเสียบเข้าไปในช่อง ประตูไม่เปิดครับ ประตูไม่เปิดไม่เท่าไหร่





ที่มันน่าสะพรึงกลัวกว่านั้นคือ มันไม่มีไฟอะไรโชว์เลยครับ
เปรียบไปก็ประหนึ่งแฟนสาวเกิดอาการเออเร้อเอ๊กเฟกต์งอนอย่างไม่สาเหตุและไม่แจ้งล่วงหน้า ถามอะไรก็ไม่หือไม่อือ
ประตูก็เช่นกัน เสียบบัตรเข้าไปแล้วไม่มีการตอบโต้ เหมือนกับเราเอาบัตรไปเสียบรูอะไรเปล่าๆ
วิชัยรีบลงมาข้างล่างอีกรอบเพื่อเบิกกุญแจฉุกเฉินท่าไม้ตายลับ แอบหวังในใจว่าขอให้เปิดได้นะ

เปิดไม่ได้ครับ ตอนนี้ประตูด้านหน้าผม มันไม่ได้เป็นประตูแล้วครับ มันกลายร่างเป็นไม้ปิดฝาโลงไปแล้วครับ
ส่วนโคเรียนแซ็บเกิร์ลสองต่อนเจ้าของห้อง ยืนคอตกทำหน้าทำตาเป็นเป็ดสำลักน้ำอยู่ข้างๆ เมื่อผมหันไปบอกว่าประตูเปิดไม่ได้นะ

วิชัย: ยูว์ต้องรอหนึ่งแป๊ปนึงนะ ยูว์ไปนั่งเล่นอยู่อีกห้องก่อนก็ได้
แขก: แล้วทำไมเปิดไม่ได้
วิชัย: แบบว่ามันเสียไง
แขก: แล้วเมื่อไหร่จะเปิดได้
วิชัย: ไม่รู้จ๊ะ รอหนึ่งแป๊ปนะ เดี๋ยวรีบจัดให้เลย

วิชัยโทรหาทีมช่างเพื่อหากุญแจจำเป็นมาเปิดประตู...ในเมื่อเปิดประตูไม่ได้ เราก็ต้องคิดนอกกรอบซินะ อาห์...คิดนอกกรอบ ถูกต้องที่สุดครับ...
ในเมื่อไอ้ประตูมันไม่รักดี อยากทำตัวแนวติดดินเป็นไม้ปิดฝาโลง เราก็ต้องให้เกียรติด้วยการ งัดเท่านั้น!






เอ่อ การพังประตูในความเป็นจริง กับพังประตูแบบในหนังฮอลิวู้ดนั้นมันคนละเรื่องกันนะครับ
ในหนังไม่ว่าประตูจะยี่ห้ออะไร และมีตัวล็อคกี่ชั้น การพังประตูในหนังแอ็คชั่นจะมีขั้นตอนง่ายๆ และอาศัยอุปกรณ์ไม่ซับซ้อนซึ่งก็คือตีนหนึ่งคู่เท่านั้น
วิธีการก็ไม่ยาก แค่ออกแรงถีบด้วยพลังงานขนาดข้าวกลางวันครึ่งจาน...ประตูก็จะยอมเปิดให้อย่างสวยงาม
แต่การพังประตูในความเป็นจริง เราจะทำลายกรอบธรณีประตูออก แล้วเอาเลื่อยเนี่ย เลื่อยแท่งเหล็กเดือยของเจ้าประตูออก
ไม่ควรใช้ขวาน ขวานจามไม่ดี เพราะบานประตูแพงมาก อีกอย่างคือเราซ่อมกรอบประตูง่ายกว่าเร็วกว่าซ่อมประตูทั้งบานครับ และขวานจามอาจทำให้คนอื่นติดหวัดได้ (โห..มุกปริญญาโทอีกแล้ว)

ถ้าเราสามารถงัดประตูเป็นทำนองนิ่มนวลอย่างจังหวะบอสซ่าได้ มันจะเรื่องที่วิเศษมาก เพราะแขกข้างห้องก็จะเพลินเพลิดไปกับจังหวะกระแทกประตู
แต่นี่มันต้องเป็นจังหวะร็อคทำลายล้างซิครับ เพราะงั้นการงัดประตูไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือแขกที่พักอยู่บนชั้นนั้นตังหาก


พี่ผึ้ง, ดิวตี้อีกท่านนึงที่เคยมีปัญหางัดประตูมาแล้วยืนยันว่า นรกแตก มากครับ เพราะแขกทุกห้องที่อยู่บนชั้นนั้นเดินออกมาด่ารายตัว เพราะว่าเสียงดังมาก และที่พี่ผึ้งซวยไม่แบ่งชาวบ้านคือ พี่ผึ้งต้องงัดประตูตอนเวลาตีสี่ตีห้า

วิชัยยังโชคดีที่ตอนนั้นเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ แขกน่าจะยังไม่นอนกัน
เกาหลีแซ๊บส์เกิร์ลสองคนยืนเท้าสะเอวจิกปลายเท้าก๋ากั๋นเป็นลูกสาวกำนันดักรอข่มแหงวิชัยตรงทางเดินเพื่อขอคำอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น


แขก: วาย โบรกเก่น
วิชัย: ไม่รู้จริงๆ มันเป็นข้อผิดพลาดของระบบน่ะซิ
แขก: เมื่อไหร่จะเสร็จ
วิชัย: อันนี้บอกไม่ได้จริงๆ คร้าบว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ
คือไอ้การที่งัดประตูยากเนี่ย มันก็ถือว่าเป็นการแสดงให้เห็นว่าระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมนี่ไม่ใช่ขี้นะเว้ย
ไม่ใช่ประตูเสีย แล้วเดินเอากุญแจมาแทงๆ รูแล้วประตูเปิดผลัวะเลย


แขก: แล้วทำไมเสีย
วิชัย: เอ่อ..ไม่รู้จริงๆ ครับ
วิชัยกำลังโดนผู้หญิงสัญชาติเกาหลีใต้ตัวสูงสองคนขมขู่ทางหางตาและมุมปากพยายามไล่ต้อนให้ผมอธิบายหลักการทางไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ว่าเพราะเหตุใด
ประตูห้องของเธอจึงเปิดไม่ได้...มันต้องซับซ้อนกว่าการที่แบตเตอรี่กุญแจมันหมด มันต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไอ้แว่นมึงอย่ามาลวดลาย มึงรู้ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในซอกกุญแจ


ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความตายกำลังจะมาเยือนถ้าเอ็งไม่บอกความจริงกู!

วิชัย:...ยูว์ยูว์ ถ้ายูว์ปล่อยให้ไอไปทำงานของไอตั้งแต่ตอนนี้ประตูมันอาจจะเปิดเร็วขึ้นก็ได้นะ
โคเรียนแซ๊บส์เกิร์ลไม่พูดอะไร แต่ถ้าแปลคลื่นสัญญาณแม่เหล็กทางสายตา ก็น่าจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า


โคเรียนเกิร์ล#2 "แอร๊ยยยยยยยย!ดูมันซิต่อปากต่อคำ แอร๊ยยยยยยย! คุณพี่ต้องจัดการไอ้บ้าข้าวสารแห้งนี้ให้ได้น้า"
โคเรียนเกิร์ล#1 "เห็นแก่ที่โรงแรมแกใช้ทีวีซัมซุง...คราวนี้ชั้นจะปล่อยแกไปก่อน..."
โคเรียนเกิร์ลนัม#2 "แอร๊ยยยยยยยย!!"


แล้วทั้งคู่ก็เหวี่ยงไหล่สะบัดบ๊อบหันหลังแล้วเดินกระแทกเท้ากลับเข้าห้องสำรองไป
จริงๆ แล้วก็น่าเห็นใจโคเรียนแซ๊บเค้านะครับ นัดเพื่อนไว้ตอนทุ่มครึ่ง นี่ก็ปาเข้าไปทุ่มนิดๆ แล้วประตูก็เปิดไม่ได้ หน้ามัน ผมยุ่ง หิ้วของพะรุงพะรัง อย่างกับหนีสงครามมาอย่างงั้น

นาทีแห่งความจริงก็เริ่ม...ทีมช่างเริ่มเอาค้อนอันโตทุบเข้ากับไขควงอันควายเพื่อจะทำให้เนื้อไม้แตกออก สภาพคล้ายๆ กับขุดเหมืองทองในถ้ำมืดๆ กลางโรงแรมห้าดาวอะครับ
เสียงดังกระแทกแก้วหูเหมือนผมใส่หูฟังอันเท่ากระด้งครอบหูเปิดสุดโวลุ่มด้วยซุปเปอร์เพาเวอร์อัพชิบหายวายป่วงเบส แผ่นไม้ค่อยๆ ร่อนหลุดเป็นชิ้นๆ เสียงค้อนกระแทกไขควงดังขึ้น ดังขึ้น มันดังและแรงๆ พอๆ กับหัวใจวิชัยที่เต้นไม่เป็นจังหวะ คอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีแขกคนไหนเดินเปิดประตูออกมาแล้ววิ่งมากระโดดถีบผมรึเปล่า
เดชะบุญที่มีแขกเพียงห้องเดียวที่อยู่ในห้องตอนนั้นซึ่งชะโงกหน้าง่วงๆ ออกมาดูนิดหน่อย และผุบหน้ากลับเขัาห้องอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนแขกที่เหลือนั้น ยังไม่กลับมาจากข้างนอก เอาละครับ..พิธีกรรมงัดกระดานปิดโลงเริ่มได้!
มันเป็นจังหวะลากไส้ที่อย่าว่าแต่แขกจะลุกมาด่าเลยครับ บางทีผมยังอยากจะบอกช่วงให้ทุบเบาๆ เลยครับ เพราะเสียงมันดังจริงๆ

ประมาณยี่สิบนาทีผ่านไป เริ่มเห็นความหวังมากขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับสภาพกรอบประตูที่ตอนนี้เหมือนโดนปืนลูกซองกระหน่ำยิงไปหนึ่งแม็กใหญ่เศษไม้เละเทะกระจุยกระจายอยู่บนพื้นพรมสีแดง...และวิชัยที่ยืนหมดอาลัยอยากตายอยู่ข้างๆ และนั่น....แซ๊บเกิร์ลนัมเบอร์วันและทูยืนเท้าสะเอวเหมือนเจ้าที่มาเก็บแผงลอยแถวตลาดคลองเตย

โคเรียนเกิร์ล#1: แล้วเมื่อไหร่ประตูถึงจะเปิดได้ รู้ใช่มั้ยว่าชั้นมีนัด มีนัดแปลว่าห้ามเลทเข้าใจใช่มั้ย
โคเรียนเกิร์ล#2: เล่นมันเลยคะคุณพี่ เล่นมันให้ขี้ราดน่องเลยค่า

ก็แล้วเอ็งเห็นมั้ยละนั่นว่าประตูมันยังเปิดไม่ได้ นี่กูไม่ได้มาเล่นงัดประตูต่อเวลาสะสมไมล์ไปแลกบัตรสวนสยามนะเว้ยเฮ้ย!

ตอนนั้นเหมือนวิชัยเป็นโฟรโด้ และมีโคเรียนเกิร์ลสองเสาเป็น twin tower ค่อยๆ สูงขึ้นๆ พ้นหัววิชัยทีละนิดทีละนิด
วิชัย: คือว่า...มันยังไม่เปิดอะ คือจะท่องคาถาโอเพ่นเซซามิก็ไม่เปิดอะ แย่จังเลยอะ
โคเรียนเกิร์ล .....
วิชัย: ไม่ตลกเหรอ แย่จัง
นอกจากจะไม่มีเงินจ่ายค่าแผงให้โคเรียนแซ๊บแก๊งค์แล้ว ยังไม่คำตอบอะไรในกอไผ่ว่าเมื่อไหร่จะมีให้
พอแล้ว!!!~ ประตูมันเปิดไม่ได้ว้อยยย เอากูไปกดน้ำบูชายัญเหอะนะ แล้วมึงก็ไม่ต้องเข้าห้องง!!!


หลังจากที่แซ๊บแกงค์ทั้งสองมาทวงสิทธิขั้นพื้นฐานของการเป็นเจ้าของห้องและเจ้าของประตูโดยการทำร้ายวิชัยทางปลายคางและหางคิ้ว เธอทั้งสองก็สะบัดตูดเดินหายกลับห้องไป



ทิ้งให้วิชัยเป็นผ้าขี้ริ้วกองอยู่กับพื้นพรมสีแดงและมีเศษไม้เรี่ยราดเต็มพื้น
โดยที่ช่างทั้งสองคนยังคงขุดเหมืองกรอบประตูต่อไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

ครึ่งชั่วโมงในเหมืองมืดกับเศษไม้และเสียงตอกเหล็กเมกะเบสก็จบลงตรงที่เราสัมผัสกับแสงนีออนและไอเย็นของแอร์ที่ฉายคว้างงออกมาเป็นลำแสงออกมาจากอีกด้านของประตู แทบจะถลาเข่าไถลพื้นเป็นภาพสโลโมชั่นอย่างช้าๆ เข้าไปกอดแก้มแนบกรอบจูมพิตแลกลิ้นสันประตูด้วยน้ำตาที่ไหลอาบนองแก้มด้วยความปลื้มปิติมานะและชูใจ (ไอ้โตด้วย)




วิชัยวิ่งตัวลอยเพื่อไปแจ้งข่าวสำคัญให้กับแซ๊บแก๊งค์อย่างลิงโลด เธอทั้งสองตอบแทนด้วยการทำหน้าเป็นกอลิล่าตกหมอนเดินออกนอกห้องมาอย่างไม่สนใจใยดี ก็จะให้ทำหน้าระรื่นได้ไงละ ก็คนมันมีนัดนิ แล้วมันสายแล้วนิ เป็นใคร ใครก็โกรธ


ด้วยความรู้สึกผิดตอนนี้ที่มันทับถมท่วมบ่าผม ผมก็เลยเสนอให้รถโรงแรมไปส่งถึงที่ที่เธอมีนัดฟรีหนึ่งเที่ยว
เธอโอเคกับข้อเสนอ แล้วเดินเข้าห้องไป โดยที่เธอยังต้องการให้ผมรออยู่หน้าห้อง...
แหม..สงสัยยังกระทำชำเราวิชัยไม่สาแก่ใจ อยากจะได้เราเป็นเครื่องบำเรอความรุนแรงทางอารมณ์ต่อล่ะซิ...

พักใหญ่เธอก็เดินออกมายื่นโทรศัพท์ให้ ซึ่งคิดว่าเป็นเพื่อนชายของเธอที่นัดกันคืนนี้
พอวิชัยพูดคำว่าฮัลโหลแค่นั่นแหละครับ เพื่อนชายเธอก็จัดการซัดเป็นชุดๆ ชุดใหญ่แฮป...มีลแบบครอบครัวชุดใหญ่
มาเป็นชุดๆ เหมือนหมัดเทพเจ้าดาวเหนือบวกกับหมัดดาวตกของเซนต์เซย่า...
สรุปใจความสำคัญสั้นๆ เป็นข้อความทวิตเตอร์ได้ว่า
@dogst ประตูมึงเสียได้ยังไงวะ มึงเป็นโรงแรมห้าดาวไม่ใช่รึ?





ครับ...กูผิดเองแหละ ที่กูไม่ยอมไปจ้างเซียนเต่าพยากรณ์จับยามสามตาคำนวณวิถีโคจรของดาวเมือง และผูกกับสถิติน้ำขึ้นน้ำลงในรอบสิบปีเพื่อทำนายว่าประตูบานนี้มันจะเสียเมื่อไหร่...
เออ กูผิดเองแหละ

ถ้าพนักงานหน้าฟร้อนท์ถูกเปรียบเป็นกระโถนท้องพระโรงอย่างที่ใครๆ เค้าพูดกันจริงๆ ตอนนี้กระโถนที่ว่าคงจะปริ่มไปด้วยน้ำลายแล้วแหละ














ท้ายที่สุด แขกได้ไปหาเพื่อนด้วยรถโรงแรม และวิชัยก็มานั่งปวดไตอยู่ในออฟฟิศคนเดียว
คือไม่ได้ปวดไตที่โดนแขกด่าอะไรเลยนะครับ...อันนั้นผมเข้าใจ เพราะเป็นใคร ใครก็โมโห
แต่ผมปวดไตเพราะว่าโดนโคเรียนแซ๊บบอยถามว่า...





"แพน บู ซะบีก อึงลิด"















สาาาาาดดด!!



ถามงี้ล้อชื่อพ่อกูเลยดีกว่า!!!






ไอ้แช่แฟ้บบบบ!!











Mackyขอรับ
#2
Mackyขอรับ
27-04-2011 - 14:35:21

#2 Mackyขอรับ  [ 27-04-2011 - 14:35:21 ]




ขอพูดอีกอย่างนึงนะครับ

อ่านตั้ง10นาที เม้นแค่นาทีเดียวมันไม่ตายหรอก

จะเม้นหรือไม่เม้นก้ได้ตามจาย


bupachart
#3
27-04-2011 - 15:00:13

#3 bupachart  [ 27-04-2011 - 15:00:13 ]






  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ