ดวงจิตจะเวียนว่ายตายเกิดจนกระทั่งมีวิวัฒนาการมากพอ เพาะบ่มจิตตนเองมากพอที่จะนิพพานได้เมื่อ “มโนธาตุ” มีความบริสุทธิ์ชัดเจนในทางใดทางหนึ่งในสามทางนี้ คือ แบบปัจเจกภูมิ, แบบสาวกภูมิ, และแบบพุทธภูมิ สำหรับดวงจิตที่ยังกลั่นตัวเองไม่ชัดเจนกล่าวคือ มโนธาตุมีธาตุจิตผสมผสานกันระหว่างสามแบบนี้ ก็จะยังไม่นิพพานได้ จะต้องกลั่นตัวเองด้วยการเวียนว่ายตายเกิด จนมโนธาตุเป็นธาตุที่ชัดเจนในทางใดทางหนึ่งในสามแบบนี้ จึงจะเข้าสู่วาระนิพพานในแบบนั้นๆ มโนธาตุที่เป็น “ปัจเจกภูมิ” ก็จะนิพพานแบบ “พระปัจเจกพุทธะ” มโนธาตุที่เป็น “สาวกภูมิ” ก็จะนิพพานแบบ “อรหันตสาวก” มโนธาตุที่เป็น “พุทธภูมิ” ก็จะนิพพานแบบ “อรหันตพุทธะ” ไม่ว่าจะเป็นพุทธะที่ไม่ได้สร้างศาสนาใหม่ที่เรียกว่า “ยูไล” หรือ พุทธะที่เป็นผู้สร้างศาสนาใหม่ที่จะมีเพียงหนึ่งเดียวในแต่ละยุค ที่เรียกว่า “พระพุทธเจ้า” ก็ตาม สำหรับหลังกึ่งพุทธกาล ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ยุคสมัยให้เหมาะสมกับการบรรลุนิพพานในสองรูปแบบ ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน คือ แบบอรหันตสาวก และแบบปัจเจกพุทธะ พร้อมๆ กัน ที่เป็นเช่นนี้ได้ เพราะพระพุทธศาสนาไม่สามารถครอบคลุมทั่วทั้งโลกได้ บางส่วนของโลกยังสามารถเปิดช่องให้แก่ปัจเจกพุทธะได้ ประกอบกับดวงจิตที่จะเวียนว่ายตายเกิดนั้น มาจากนรกภูมิเบื้องล่างมากกว่าสวรรค์เบื้องบน ดวงจิตที่นิพพานส่วนใหญ่จะเข้าสู่วิถีปัจเจก ด้วยอายุขัยเฉลี่ยที่น้อยกว่าร้อยปี ซึ่งก็นับว่าเหมาะสมกับยุคสมัยแล้ว เพราะหากยังดื้อรั้นต่อต้านธรรมชาติ พยายามจะให้พุทธศาสนากว้างใหญ่ไพศาลหรือไม่มีปัจเจกเลย ก็จะถูกมารและอสูรทำลายหมด เพราะเป็นยุคของมารและอสูร ผู้คนส่วนใหญ่มาจากนรกจึงโง่เขลาและหลงเชื่อคนเลวมากกว่าคนดี ยังไม่ถึงยุคของคนดีมาเกิด และยังไม่สามารถเปลี่ยนยุคให้เป็นยุคของคนดีได้ เพราะถ้าใจร้อนรีบเปลี่ยนยุคแล้ว สรรพสัตว์ที่จะมาเวียนว่ายตายเกิดบนโลกมนุษย์ก็จะมีแต่มาจากสวรรค์เบื้องบน ส่วนสัตว์นรกก็ต้องทนทรมานในนรกนานแสนนาน เมื่อถึงวาระได้เกิดบนโลกมนุษย์ก็จะเพิ่มความอาฆาตแค้นเป็นทวีคูณ ดังนั้น จึงสมควรที่เทวดาบนสวรรค์ต้องรอก่อน เพราะการรอเกิดบนสวรรค์นั้นยังสุขสบายมากมายกว่าการรอเกิดของสัตว์นรก ดังนั้น คนที่มีความสุขสบาย จึงต้องรอก่อนเพื่อให้สัตว์ที่ทุกข์ยากแสนเข็ญได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจก่อน ทั้งนี้ยังทำให้โลกค่อยๆ ปรับตัวอย่างสมดุลด้วยเพราะโลกรองรับดวงจิตที่มีอายุขัยเฉลี่ยลดลงเรื่อยๆ จากสมัยโบราณที่มีอายุขัยเฉลี่ยร้อยปี (สมัยพุทธกาล) ก็ลดลงมาร้อยปีอายุโลกต่อหนึ่งปีอายุขัยมนุษย์ เมื่อผ่านมา ๒,๕๐๐ ปีแล้ว อายุขัยมนุษย์ก็ลดลงประมาณ ๒๕ ปี จาก ๑๐๐ ปีเหลือเพียง ๗๕ ปี และจะค่อยๆ ปรับลดลงไปเรื่อยๆ โลกก็ค่อยๆ ปรับตัวจนเข้าสู่กลียุคที่มนุษย์จะมีอายุขัยสั้นลงเหลือเพียง ๕ ถึง ๑๐ ปี และเข่นฆ่ากันเองตายและสูญพันธุ์ไปในที่สุด ก็จะมีการวิวัฒนาการขึ้นใหม่ อายุขัยมนุษย์ก็จะเพิ่มขึ้นจนเข้ายุคคนดีศรีอาริยเมตตรัยในที่สุด
