โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
นอกเรื่อง ตำนาน ภูต ผี ปีศาจ สัตว์ประหลาดจากทั่วทุกมุมโลก อัพแล้ว แจ็คเดอะริปเปอร์
popzayi123
#1
11-07-2010 - 09:33:53

#1 popzayi123  [ 11-07-2010 - 09:33:53 ]




สาวปากฉีก หรือ คุชิซาเกะอนนะ (ญี่ปุ่น: 口裂け女 Kuchisake onna ?) เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก

สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี

สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ

รูปนี่


ที่มา วิกิพีเดีย


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-10-18 18:58:58

linpingza
#2
11-07-2010 - 09:49:11

#2 linpingza  [ 11-07-2010 - 09:49:11 ]





- -

โอวววว ท่าทาง จขกท.

จะชอบเรื่องผีๆนะครับเนี่ย


katop150
#3
11-07-2010 - 11:28:37

#3 katop150  [ 11-07-2010 - 11:28:37 ]




ก็เหมือนคนขาดความมั่นใจนั้นแหละ

แต่อันนี้มาแนววิญญาณ หาจุดดีๆของอีกฝ่ายแล้วบอกไปตามตรง

เราว่า ไม่ว่าคนหรือวิญญาณ ก็ต้องอยากได้ความยอมรับจากบุคคลรอบข้างนะ


manya456
#4
11-07-2010 - 12:12:44

#4 manya456  [ 11-07-2010 - 12:12:44 ]





อืม ผมชอบเรื่องพวกนี้น่ะ

เอามาลงเยอะัๆ


popzayi123
#5
11-07-2010 - 16:30:13

#5 popzayi123  [ 11-07-2010 - 16:30:13 ]




กลับมาแล้วค้า คราวนี้มา กับ เจ้า มนุษย์หมาป่าจ้า ยาวหน่อยน่ะ
แฟนานุแฟนหลายท่านอาจคุ้นหูกับคำว่า “มนุษย์หมาป่า” และคิดว่านั่นเป็นตำนานของอดีตกาล เดี๋ยวนี้คงไม่มีแล้ว แต่กลับใจคิดใหม่ได้นะครับ เพราะเมื่อสิบกว่าปีมานี่เอง คือใน ค.ศ.1989 ได้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นที่มณฑลบอโดซ์ของฝรั่งเศส ตำรวจจับชายผู้ต้องหามาคนหนึ่ง อายุ 28 ปี เขาสารภาพว่าเป็นฆาตกรผู้ก่อคดี แต่อ้างว่า เนื่องจากตอนนั้นเขาแปรสภาพไปเป็นมนุษย์หมาป่าโดยไม่รู้ตัว จึงได้กระทำการอันโหดเหี้ยมเพื่อดูดเลือดเหยื่อ ด้วยเหตุนี้เองคนฝรั่งเศสจึงเกิดฮือฮาศึกษาข้อมูลของมนุษย์หมาป่า ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ซันเดย์สเปเชียลหนนี้จึงขอนำข้อมูลดังกล่าวมาขยายต่อครับ

นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า มนุษย์หมาป่านั้น แท้ที่จริงก็คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์บางคนนั่นเอง คำว่า WEREWOLF ที่หมายถึงมนุษย์หมาป่านั้นก็มาจากคำว่า เวอร์ (WERE) ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษโบราณแปลว่า “คน” และแทบจะทุกชาติทุกภาษาก็จะมีตำนานของคนที่กลายเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ มากมาย เช่น รัสเซียกับสแกนดิเนเวียจะมี “มนุษย์หมี” บางประเทศที่ไม่มีหมาป่าก็อาจมีมนุษย์สิงห์ มนุษย์จระเข้ มนุษย์จิ้งจอก อาทิ ในปี ค.ศ.1933 แพทย์อังกฤษคนหนึ่งได้รายงานว่าเขาได้เห็นชาวแอฟริกา 2 คน แปรร่างกลายเป็นหมาจิ้งจอกในระหว่างการทำพิธีกรรมทางศาสนา

สำหรับในเอเชียของเรา เช่น อินเดีย จะมีการพูดถึงมนุษย์เสือ ซึ่งก็อาจเป็นประเภทเดียวกับเสือสมิงของไทยเรานะครับ นอกจากนี้ก็มี “มนุษย์งู” ทางแถบอเมริกาใต้ โฮ้ย...แทบทุกประเภทสัตว์ละครับ ทีนี้ทำไมคนเราถึงอยู่ๆ ก็กลายร่างเป็นหมาป่าไปได้ จากการค้นคว้าในตำนานพบว่าเกิดขึ้นได้จากการใช้คาถาปลอมแปลงตัว บางรายใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ลูบไล้ร่างกาย และประกอบกับการสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่า หรือเอาเข็มขัดหนังหมาป่ามาคาดเอว แต่ที่มักจะตรงกันก็คือเขาผู้นั้นจะกลายร่างในคืนวันเพ็ญ ผสมผสานกับการได้กลิ่นอายของดอกไม้พิเศษบางชนิด ร่างกายเขาผู้นั้นจะปรากฏขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมหูจะยาวตั้งตรงชี้ฟ้า และเขี้ยวแหลมคมงอกออกมาจากปาก ดวงตาโชนแดงฉานเมื่อต้องแสงไฟ ครั้นแล้วเขาก็จะออกล่าเหยื่อเพื่อกินเนื้อสดๆหรือดื่มเลือดทั้งเป็น






จากบันทึกในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส สามารถสืบย้อนหลังไปได้ถึงใน ค.ศ.1573 เมื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งต้องหวาดผวาจากการมีเด็กหลายคน ถูกสังหารและฆาตกรได้กินเนื้อหนังศพ ทางการจับผู้ต้องสงสัยได้นามว่า กิลส์ การ์นิเยร์ เขาต้องยอมรับสารภาพเนื่องจากถูกทรมาน แล้วก็เลยโดนลงทัณฑ์ด้วยการเผาทั้งเป็น

ต่อมาไม่นานคือ ค.ศ.1589 คราวนี้ที่เยอรมัน เมื่อชายชื่อ ปีเตอร์ สตับบ์ ถูกตั้งข้อหาว่าปลอมแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าโดยใช้เข็มขัดหนังหมาป่ามาคาด เขาได้กระทำฆาตกรรมทั้งบุรุษ สตรี และเด็กๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 25 ปีก่อนจะถูกจับ สตับบ์รับสารภาพและให้การว่า สำหรับผู้หญิงนั้น เขาลงมือข่มขืนก่อนแล้วจึงฆ่า จากนั้นจึงกินศพของเธอ สตับบ์ถูกตัดสินให้ประหารอย่างต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนจะสิ้นใจ

แต่รายที่เกรียวกราวที่สุดเห็นจะได้แก่เด็กหนุ่มวัยแค่ 14 ปี นาม ชอง เกรนิเยร์ ซึ่งก่ออาชญากรรมอยู่ในแถบมณฑลบอโดซ์, ฝรั่งเศส เขาสารภาพว่าได้กินเนื้อเด็กที่ถูกเขาฆ่ามากกว่า 50 คน ระหว่างให้การในศาลนั้นเขาได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ร่วมฟังคดี เพราะเล่าว่า เขาเคยไล่ล่าหญิงชราผู้หนึ่งแล้วก็พบว่าเนื้อเหี่ยวย่นของนางนั้น “เหนียวเหมือนหนังควาย” นอกจากนี้ยังเล่าอีกว่าสำหรับเด็กเล็กๆ นั้น พอถูกเขากัดคำแรกก็จะร้องโหยหวนจนแสบแก้วหูด้วยความเจ็บปวด

คดีนี้หนแรกเกรนิเยร์ถูกพิพากษาให้เผาทั้งเป็น หากทว่าพอเรื่องขึ้นถึงศาลสูง ผู้พิพากษารับฟังคำให้การของเกรนิเยร์ที่ว่า “ตอนผมอายุ 10 ขวบ เพื่อนบ้านได้พาผมไปพบกับเจ้าป่าผู้หนึ่ง ท่านได้ มอบหนังสุนัขป่าให้แก่ผม ตั้งแต่นั้นผมก็ออกล่าเหยื่อไปทั่ว” ผู้พิพากษาได้ปรึกษากับจิตแพทย์แล้วสรุปว่าเกรนิเยร์ นั้นป่วยจากอาการประสาทหลอนจึงไม่มีความผิด และส่งเด็กหนุ่มไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งตลอดชีวิต






นอกจากมนุษย์หมาป่าเดี่ยวๆ แล้ว ที่ฝรั่งเศสก็ยังมีชนเผ่ามนุษย์หมาป่า ที่เรียกขานกันว่าพวก ลูแปง อีกด้วย ร่ำลือกันว่าคนพวกนี้มีถิ่นฐานอยู่ที่นอร์มังดี ในยามค่ำคืนพวกเขาจะจับกลุ่มกันสนทนาด้วยภาษาแปลกๆ ชอบยืนพิงกำแพงสุสานของเมือง หากทว่ามนุษย์หมาป่าลูแปงกลัวเกรงมนุษย์และจะหลีกลี้หนีไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ผ่านมา ว่ากันว่าพวกลูแปงจะใช้มือเปล่าๆ ขุดคุ้ยหลุมศพและโลง แล้วเอากระดูกศพขึ้นมาแทะ

สำหรับมนุษย์ที่แปลงร่างเป็นหมาป่า ในคืนเพ็ญและออกอาละวาดนั้น เขาจะคืนร่างกลับเป็นคนเดิม หรือเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองให้พ้นภัยจากพวกนี้ได้อย่างไร ตามตำนานระบุว่า มนุษย์หมาป่าจะคืนร่างโดยอัตโนมัติในยามอาทิตย์อุทัย และแทบทุกตำนานกล่าวตรงกันว่าร่างของพวกเขา จะกลับเป็นคนธรรมดาทันทีเมื่อได้รับบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าตาย บางรายมีบันทึกว่ามีผู้ยิงถูกมนุษย์หมาป่าและต่อมาก็พบว่าชายผู้หนึ่งในหมู่บ้านมีบาดแผลที่ตำแหน่งเดียวกับหมาป่าที่ถูกยิง

แม้มนุษย์หมาป่าจะดูน่าเกรงขาม แต่ตำนาน ส่วนใหญ่เชื่อว่า การตามล่าและสังหารพวกเขานั้นไม่ยาก ไม่ต่างอะไรกับการไล่ล่าหมาป่าธรรมดาๆ มีหลายเรื่องของยุโรปที่เขียนบอกไว้ถึงการสังหารมนุษย์หมาป่า ด้วยการยิง ทุบตี และแทงด้วยมีด ทว่าก็มีบางตำนานเหมือนกันที่แย้งว่ามนุษย์หมาป่านั้น มีวิญญาณปิศาจสิงอยู่จึงไม่อาจถูกฆ่าด้วยวิธีทั่วไป ทั้งนี้ ในอังกฤษ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส เชื่อว่ามนุษย์หมาป่าจะไม่ตายด้วยกระสุนปืนธรรมดา จะฆ่าได้ก็ด้วยกระสุนปืนที่ทำจากโลหะเงินเท่านั้น โดยเฉพาะถ้ากระสุนเงินนั้นผ่านการลงคาถาอาคมมาแล้ว

ในยามที่ต้องเผชิญหน้าจ๊ะเอ๋กับมนุษย์ หมาป่าโดยบังเอิญ ท่านว่าให้รีบตะโกนเรียกชื่อเขาผู้นั้น (ถ้าเรารู้ว่าเป็นใครที่เปลี่ยนร่าง) สามครั้ง เขาก็จะรู้สึกตัวและกลับคืนสู่ร่างเดิม หรือถ้าหากสามารถทำให้เขาเลือดออกถึงสามหยดก็จะได้ผลเช่นกัน สำหรับตัวมนุษย์หมาป่าเอง ถ้าหากอยากคืนกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างถาวร ก็จะต้องงดเว้นการกินเนื้อมนุษย์เป็นระยะเวลาเก้าปีเต็ม แล้วอำนาจปิศาจที่สิงสู่ก็จะมลายหายไป

ที่มาkapook.comจ้า


manya456
#6
11-07-2010 - 21:45:52

#6 manya456  [ 11-07-2010 - 21:45:52 ]





อืมหมาป่า ไม่เหมือนทไวท์ไล แหะ

เอามาอีกๆ


Alkaizer
#7
12-07-2010 - 13:59:56

#7 Alkaizer  [ 12-07-2010 - 13:59:56 ]




quote : manya456
อืมหมาป่า ไม่เหมือนทไวท์ไล แหะ

เอามาอีกๆ

ถ้าชอบทไวไลท์ อย่าและแวะไปดูรอยสักเผ่าหมาป่าจากทไวไลท์ ใน d/l นะครับผม ผมทำมาจากรอยสัก wolf pack ในเรื่องครับ


manya456
#8
12-07-2010 - 19:43:32

#8 manya456  [ 12-07-2010 - 19:43:32 ]





อืม โฆษณาเลยน่ะ ^^



popzayi123
#9
19-07-2010 - 17:19:09

#9 popzayi123  [ 19-07-2010 - 17:19:09 ]




ตำนานเมดูซ่า
แต่คำว่า เมดูซ่า - Medusa เป็นคำที่มีมานานมากแล้ว ที่ยังคงเป็นรากศัพท์ไว้ในหลายๆภาษาโบราณ เช่น ในภาษาสันสกฤต คือ "เมธา ในภาษากรีก คือ Metis และในภาษาอียิปต์โบราณคือคำว่า Met หรือ Maat มีแหล่งกำเนิดจากตำนานของประเทศลิเบีย ที่นำเข้ามารวมในตำนานกรีกทีหลัง เป็นที่นับถือของชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู หรือเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย ในยุโรปสมัยโบราณยุคหิน งู ยังไม่ได้เป็นสัญญลักษณ์ของความชั่วร้าย ซึ่งเป็นทัศนคติตามคริสตศาสนาที่เกิดขึ้นมาภายหลัง หากเป็นสัญญลักษณ์ของพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ และก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า เมดูซ่า เจ้าแม่ผู้ทรงพลังจากสังคมโบราณ เป็นเค้าเงื่อนที่ชาวอินเดียนำไปผูกเป็น เจ้าแม่ทุรคา หรือ กาลี ก็ได้
เมดูซ่า นั้น แต่เดิมทีหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้วก็คงเป็น เจ้าป่าเจ้าเขาที่มีอำนาจ มีผมขอดหยิกหยักถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัวแบบชาวอัฟริกัน (แบบที่เรียกว่า dreadlocks) ที่ดูคล้ายงูในสังคมดึกดำบรรพ์ ที่ยังนับถือยกย่องให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ ภายหลังที่สังคมกรีกกลายมาให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ภาพพจน์ของ เมดูซ่า ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เนื่องจากเทพบุรุษเข้ามาแทนที่เทพสตรี ในสังคมกรีก ในช่วงพันปีแรกของอาณาจักรกรีก จนมาถึงประมาณ ๖๐๐ ปีก่อนคริสตศตวรรษ วิหารบูชา เมดูซ่า ก็ถูกทำลายลงไปไม่เหลือซาก ชาวกรีกคงเอามาผูกเป็นตำนานให้เป็นนางมารร้ายไปในภายหลัง ชื่อของเธอ ก็กลายไปเป็นเพียงตำนานแห่งความพ่ายแพ้ ที่ถูกฆ่าโดย เพอร์ซีอุส แล้วชาวกรีก ก็ถ่ายทอดพลังอำนาจของ เมดูซ่า มาให้ เทพอะธีน่า ผู้เป็นเทพสตรีตัวอย่างของสังคม ที่ชาวกรีกต้องการใช้เป็นแบบอย่าง คือรักษาพรหมจรรย์ และรับใช้ครอบครัว ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเทิดทูน เทพเซอุส พระบิดา เหนือตนเอง ตามตำนานกรีกนั้น เมทิส แม่ของเมดูซ่าและพี่น้องอีกสองสาว ทั้งเมดูซ่าและพี่สาวแต่เดิมนั้น เป็นสาวงามมาก ต่อมา เมทิส แม่ของนาง ถูก เทพเซอุส ข่มขืน แล้วกลืนลงท้องไป เมทิส เป็นเจ้าแห่งปัญญา และสามารถแปลงร่างต่างๆได้ เซอุส จึงอาศัยพลังปัญญาและเวทย์มนต์ของ เมทิส มาเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ช่วยให้ เซอุส มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง และยังสามารถแปลงร่างได้ดังใจนึก ไปเอาสตรีมากมายเป็นภรรยาได้ในภายหลัง พลังของ เมทิส สำลักออกทางหน้าผากของเซอุส กลายเป็นเทพธิดา อะธีน่า ผู้ได้รับมรดกทางปัญญาจาก เมทิส ผู้เป็นแม่ ตั้งแต่เกิดมา อะธีน่า ก็ถือ เมดูซ่า เป็นศัตรูคู่แค้นที่จักต้องพิฆาตให้ดับสิ้น เพราะในบรรดาพี่น้อง มีแต่เมดูซ่า ผู้เดียวที่เป็นมนุษย์ พี่สาวชาวกอร์กอนทั้งสองร่วมท้องแม่ของเธอ มีสถานะเป็นเทพ จึงฆ่าไม่ตาย อะธีน่า จึงหันมาหาทางทำลาย เมดูซ่า แต่ผู้เดียวในบรรดาลูกแม่เดียวกันทั้งหมด วันหนึ่งใน วิหารอะธีน่า ที่ชาวกรีกสร้างไว้บูชาสักการะแต่ละเทพเป็นวิหารๆไป เทพอะธีน่า เป็นเทพอุปถัมภ์ของสาวพรหมจารี ที่สตรีพรหมจรรย์ชาวมนุษย์มักไปบูชา สาวงาม เมดูซ่า ที่มีชายมากหลายหมายปอง ก็ไปบูชา เทพอะธีน่า ยังวิหารตามปกติ เทพโพไซดอน ได้ประจักษ์เห็นความงามของนางแล้ว ก็ต้องการครอบครองโดยใช้กำลังขืนใจ อะธีน่า จึงได้โอกาสใส่ความว่า เมดูซ่า บังอาจลบหลู่นางด้วยการสู่สมในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วฉวยโอกาสสาบ เมดูซ่า ให้กลายเป็นมารร้ายน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมอันสวยงามลือชื่อของนาง กลายเป็นงูเต็มหัว จากสาวงามเลื่องชื่อ ต้องมากลายเป็นมารร้ายที่น่าชิงชังขยะแขยง จนใครที่ได้เห็น จะต้องกลายเป็นหินไป เมดูซ่า ทั้งชอกช้ำ ทั้งอับอาย ก็แปรความเจ็บช้ำที่ได้รับให้กลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการทำร้ายหมายมาดทุกชีวิตที่ขวางหน้า โดยทำให้กลายเป็นหินไปจากการมองหน้าของนาง เป็นการตอบโต้ความอยุติธรรม ที่ทำให้นางต้องรับ ชะตากรรมอันโหดร้าย เมดูซ่า จึงกลายเป็นมารร้าย ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึง มากที่สุดในตำนาน กรีก มีทั้งภาพสลัก รูปปั้นต่างๆของเมดูซ่าตามวิหารต่างๆมากมาย


ผู้ที่ฆ่า เมดูซ่า ได้คือ เพอร์เซอุส เมื่อ เพอร์ซีอุส ตกหลุมรัก โพลีเดคเทส ก็ต้องออกล่าหา เมดูซ่า เพื่อตัดหัวมาตามสัญญาที่ให้ไว้กับ เทพอะธีน่า ซึ่งรอคอยหาคนมากำจัด เมดูซ่า ให้อยู่นานแล้ว เพราะความเป็นเทพของนาง ทำให้ไม่สามารถไปแสดงอำนาจพาลได้ถนัด ยังต้องอาศัยเหตุผลข้ออ้าง และน้ำมือคนอื่นไปกำจัดศัตรูให้ กี่คนๆมาแล้วที่ต้องการไต่เต้าสร้างวีรกรรม ที่ได้กลายเป็นหินไปหมด ทันทีที่ เพอร์ซีอุส มาเข้าทางตน อะธีน่า ก็กุลีกุจอปรากฏตัวขึ้นทันที เพื่อช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนกำจัด เมดูซ่า ของนางโดยราบรื่น อะธีน่า จึงช่วยบอกทางให้ เพอร์ซีอุส ไปยัง ซามอส อันเป็นที่พำนักของ นางกอร์กอนสามพี่น้อง เทพอะธีน่า ก็ได้ประทานโล่ห์ที่เป็นเงามันวับเหมือนกระจก แล้วช่วยให้ภาพปรากฏของนางมารทั้งสาม เพื่อ เพอร์ซีอุส จะได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร และเตือน ไม่ให้มองหน้าเมดูซ่าตรงๆ เพราะจะทำให้กลายเป็นหินไปเสียก่อน จากนั้น อะธีน่า ก็ให้อนุชา คือ เทพเฮอร์มีส (ที่ชาวโรมันเรียกว่า เมอร์คิวรี่ นั่นเอง) ซึ่งก็เป็นเทพบุตรของ เซอุส อีกผู้หนึ่ง ไปนำ ดาบโค้ง ของโครนัสมาให้



เพอร์ซีอุส เพื่อใช้ฆ่า เมดูซ่า เพื่อให้เป็นหลักประกันว่า เพอร์ซีอุส จะปฏิบัติการได้สำเร็จ ก็ต้องอาศัยของวิเศษอื่นๆอีก อะธีน่า จึงช่วยบอกอุบายรายละเอียด และชี้ทางให้ เพอร์ซีอุส ไปหานางแม่มดสามพี่น้องแห่ง เกรยี ผู้เป็นแม่เฒ่ามาตั้งแต่เกิด นางทั้งสามมีตาเพียงดวงเดียว และมีฟันเพียงซี่เดียว ต้องแบ่งกันใช้ แต่ก็ทะเลาะเบาะแว้งแย่งตาแย่งฟันกันมาชั่วชีวิต เพอร์ซีอุส จึงอาศัยความชุลมุนจากการแก่งแย่งนั้น เข้าไปขโมยดวงตาและฟันพวกแม่มดเกรยีมา เพื่อบังคับให้นางทั้งสามบอกทางไปหานางนิ้มฟ์ผู้ใจดีแห่งอุตรทิศ แล้วจึงจะคืนตาและฟันให้ เมื่อ เพอร์ซีอุส รู้ทางแล้ว ก็ไปหา นางนิมฟ์ผู้ใจดี ผู้ให้ยืมรองเท้ามีปีกที่ทำให้เหาะได้ หมวกวิเศษที่ทำให้ล่องหนได้ และกระเป๋าวิเศษเพื่อไว้ใส่หัวเมดูซ่า เมื่อได้ของวิเศษต่างๆแล้ว เพอร์ซีอุส ก็เข้าไปยังถ้ำของนางมารกอร์กอนสามพี่น้อง เมื่อไปถึงก็พบว่า เมดูซ่า กำลังนอนหลับกับพี่สาวทั้งสอง เพอร์ซีอุส ก็ได้ อะธีน่า ที่ตามมาช่วยอยู่ตลอดเวลา ช่วยถือโล่ห์ให้ จากภาพเงาของเมดูซ่าในโล่ห์มันวับ เพอร์ซีอุส ก็ตัดหัว เมดูซ่า ขาดแล้วเก็บใส่ถุงวิเศษทันที เลือดไหลนอง ออกจากคอของ เมดูซ่า ก่อกำเนิดเกิดออกมาเป็น ม้ามีปีก เพกาซัส แล้ว เมดูซ่า ก็จบสิ้นความระทมทุกข์ทรมาน จากชีวิตอันโหดร้ายของเธอ ส่งผลให้ เพอร์ซีอุส กลายเป็นวีรบุรุษอมตะ ผู้ปราบมาร ของชาวกรีกไป


0231511800
#10
19-07-2010 - 17:26:49

#10 0231511800  [ 19-07-2010 - 17:26:49 ]




น่ากลัว แฮงๆครับเยี่ยม


kattykit05
#11
21-07-2010 - 19:25:31

#11 kattykit05  [ 21-07-2010 - 19:25:31 ]






นอนไม่หลับแล้ว




fujioooo
#12
17-08-2010 - 20:32:38

#12 fujioooo  [ 17-08-2010 - 20:32:38 ]




น่ากลัว


p-o-o
#13
17-08-2010 - 21:10:02

#13 p-o-o  [ 17-08-2010 - 21:10:02 ]






สยองจัง



ไม่เล่นบอร์ดนี้แล้วน้อออ
popzayi123
#14
18-10-2010 - 19:00:03

#14 popzayi123  [ 18-10-2010 - 19:00:03 ]




แจ็คเดอะริปเปอร์ เป็นสมญานามของฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อคดีสะเทือนขวัญในกรุงลอนดอน ช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ปี 1888 เหยื่อของแจ็คเดอะริปเปอร์ล้วนเป็นหญิงโสเภณีในย่านไวต์แชปเพิล แหล่งสลัมเสื่อมโทรมในเขตอีสต์เอนด์ สมญานามนี้ได้มาจากชื่อในท้ายจดหมายซึ่งโผล่ออกมาระหว่างที่เกิดการฆาตกรรมขึ้น

เหยื่อของแจ็คจะเป็นผู้หญิงหากิน ซึ่งล้วนถูกของมีคมเชือดคอและโดนคว้านเอาอวัยวะออกไป ปัจจุบันผู้ที่หลงใหลในการศึกษาเกี่ยวกับคดีฆาตกรสุดโหดนี้จำนวนมาก จนมีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักริปเปอร์วิทยาเลยทีเดียว(ripperologist)


ตำนานสยองขวัญเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม เมื่อมีคนพบร่างของ แมรีแอน นิโคลส์ (พอลลี)วัย 43 ปี การฆาตกรรมโสเภณีคนหนึ่งดูจะไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่าใดนัก แม้ว่าตำรวจลอนดอนต่างช็อกกับสภาพศพที่เห็นก็ตาม หลังจากเกิดเหตุตำรวจได้ตัวผู้ต้องสงสัยหลายคนแต่ก็จับใครไม่ได้ ชื่อพอลลีดูเหมือนจะเลือนหายไปแล้วกระทั่งผู้หญิงหากินอีกรายถูกพบกลายเป็นศพเมื่อวันที่ 8 กันยายนในปีเดียวกัน แอนนี แชปแมนถูกฆ่าปาดคอ และอวัยวะบางส่วนรวมทั้งมดลูกถูกคว้านออกและหายไปจากที่เกิดเหตุ เหตุการณ์นี้สร้างความสะพรึงกลัวไปทั่วลอนดอน และสื่อมวลชนก็เริ่มเข้ามามีบทบาท

ขณะที่ตำรวจก็ไม่มีเบาะแส เพราะคนร้ายไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ให้ตามจับได้ ข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับการฆาตกรรมก็สะพัดไปทั่วเมือง ตอนนี้ฆาตกรได้ฉายาจากสื่อว่า "ผ้ากันเปื้อนหนัง" มีการตั้งข้อสงสัยว่ามือสังหารคือแพทย์ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับชิ้นส่วนต่างๆ ของมนุษย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


สามสัปดาห์หลังจากนั้นสิ่งที่น่าสยดสยองมากกว่านี้เกิดขึ้นอีกในค่ำคืนของวันที่ 30 กันยายน อลิซาเบธ สไตรด์ หรือ ลอง ลิซ วัย 45 ปี ออกจากผับแห่งหนึ่งและเดินกลับบ้าน แต่เธอกลับไม่ถึงบ้าน ศพของเธอถูกพบในวันถัดมา บริเวณลำคอมีบาดแผลเป็นทางยาว แต่ยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดี คาดว่าฆาตกรคงถูกขัดจังหวะในขณะกำลังจะจัดการชำแหละเหยื่ออย่างเคย

แคทเทอรีน เอดโดวส์ หรือเคท วัย 46 ปี เป็นเหยื่อของแจ็คอีกรายที่สภาพศพน่ากลัวที่สุด โดนควักลูกตา เฉือนจมูก ลำคอถูกเชือด ช่องท้องถูกกรีดเป็นบาดแผลเหวอะ ไตถูกควักออกไป โดยมีข้อความเขียนไว้บนกำแพงในละแวกที่พบศพว่า "The Juwes are the men that Will not be Blamed for nothing." แปลความได้ว่า "ชาวยิวเป็นกลุ่มคนที่จะไม่ถูกกล่าวโทษ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม"


ข้อความบนกำแพงนี้อาจจะมีอยู่ก่อนแล้วและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม กระนั้นข้อความนี้ทำให้การสืบสวนพุ่งเป้าไปยังชาวยิว มีการวิพากษ์วิจารย์กันไปต่างๆ นานา จนเซอร์ชาร์ลส์ วอร์เรน ผู้บัญชาการตำรวจนครลอนดอนสมัยนั้นสั่งให้ลบข้อความดังกล่าวเพื่อลดกระแสต่อต้านยิว และก็มีการจับตัวชาวยิวหลายคน รวมทั้งจอห์น ไพเซอร์ ซึ่งต่อมาก็พบว่าเขาไม่ได้มีเอี่ยวใดๆ

ตำรวจรู้สึกกดดันอย่างหนักเมื่อยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ ผู้ชายโชคร้ายหลายคนโดนควบคุมตัวแต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์อะไรบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคือฆาตกรที่แท้จริง ชาวอีสต์เอนด์ก็คิดว่าเคทคงเป็นเหยื่อรายสุดท้ายแล้ว แต่ขณะที่เจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งไปเก็บค่าเช่าบ้านกับแมรี จีน เคลลี สาวไอริชหน้าตาดีคนหนึ่ง หลังจากเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบเขาจึงไปดูทางหน้าต่าง และก็ต้องตกตะลึงกับภาพหญิงวัย 25 ปีอยู่ในสภาพนอนกางขาบนเตียงนอน ผิวหนังโดนถลก มีมดลูกกองอยู่ปลายเท้า มือข้างหนึ่งถูกจับล้วงเข้าไปในท้องที่โดนควักตับไตไส้พุงออก หัวใจถูกปลิดออกจากขั้วหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง ทั้งนี้เป็นที่รับรู้กันว่าตอนนั้นเคลลีกำลังตั้งครรภ์




เคลลีอาจจะใช่หรือไม่ใช่เหยื่อรายสุดท้ายของแจ็ค ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงข้างถนนอีกหลายคนถูกฆาตกรรม บางรายอาจจะเป็นฝีมือของแจ็คก็ได้เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงกับเหยื่อรายก่อนๆ อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับในหมู่สาวกของแจ็คว่าเหยื่อของแจ็คนั้นมี 5 รายดังกล่าว ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ฆาตกรโหดรายนี้ต้องมีความรู้ในการในการผ่าตัดหรือทางการแพทย์อยู่พอสมควร


ใครกันแน่

เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิคเตอร์ หรือเจ้าชายเอดดี ดยุคแห่งแคลเรนซ์ หนังสือหลายเล่มอ้างว่าพระองค์เคยเสด็จไปเที่ยวซ่องในย่านอีสต์เอนด์ และสันนิษฐานว่าพระองค์เรียนรู้เทคนิคในการชำแหละมาจากการล่าสัตว์ และทรงติดเชื้อซิฟิลิส ขณะที่สาเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากอาการปอดอักเสบ หนังสือหลายเล่มชี้ว่าพระองค์เป็นผู้ลงมือเองหรือไม่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมเพื่อปิดปังพฤติกรรมอันเหลวแหลก ทฤษฎีนี้แพร่หลายมากเพราะนักประวัติศาสตร์มีชื่อ อย่างไรก็ตามสาวกของแจ็คส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากบันทึกเกี่ยวกับพระกรณียกิจของเจ้าชายยืนยันว่าในขณะที่การฆาตกรรมเกิดขึ้นพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในลอนดอนเลย อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีนี้โต้ว่าเจ้าชายเอดดีอาจจะแอบมาลอนดอน หรือมิเช่นนั้นบันทึกของทางการอาจจะเป็นสิ่งที่ "แต่ง" ขึ้นมาก็ได้


มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ เขาเป็นครูและศึกษาด้านการแพทย์ขณะที่สอบได้เนติบัณทิตแล้ว ดริตต์มาจากครอบครัวที่ดีและมีการศึกษาแต่กลับมีอาการวิกลจริต สองวันหลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนแบล็กเฮลท์เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยการถ่วงตัวเองให้จมน้ำด้วยหินที่ซุกไว้ตามกระเป๋า และทิ้งข้อความลาตายไว้ว่า "ตั้งแต่วันศุกร์แล้วผมรู้สึกว่ากำลังจะเป็น (บ้า)เหมือนแม่ และการตายคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้" ตำรวจพบกระดาษโน้ตจากศพของเขาที่ลอยมาตามแม่น้ำเทมส์เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 1888 ทั้งนี้ เขาหายตัวไปหลังจากที่พบศพเหยื่อรายที่ 5 ได้ไม่นาน การสอบสวนของตำรวจระบุว่าเขาฆ่าตัวตายเนื่องจากอาการซึมเศร้า และสรุปว่าเขาคือแจ็คเดอะริปเปอร์ ตำรวจปิดคดีได้สำเร็จโดยที่เขาตกเป็นแพะรับบาป มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมเสียเองกันแน่ ขณะที่การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ซึ่งแสดงต่อศาลระบุว่าการตายของเคลลีและการตายของดริตต์มีความเกี่ยวโยงกัน บ้างระบุว่าดริตต์มีอาการป่วยทางจิตหลังจากการสังหารเหยื่อรายที่ 5 ของเขา


อย่างไรก็ตาม มีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ็คอีกนับไม่ถ้วน ทั้งผู้ต้องหาที่มีประวัติวางยาพิษภรรยา แพทย์ ข้ารับใช้ราชสำนัก รวมถึงศิลปินที่ผลงานของเขาแสดงถึงความเกลียดชังผู้หญิง

ล่าสุด เทรเวอร์ แมริออต อดีตนักสืบหัวเห็ดสังกัดเบดฟอร์ดเชียร์ซึ่งหันมาศึกษาเรื่องแจ็คด้วยเทคนิคสืบสวนสมัยใหม่ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่า แจ็คเดอะริปเปอร์นั้นอาจจะไม่ใช่ชาวลอนดอน แต่เป็นกะลาสีชาวนิการากัวหรือเยอรมันซึ่งเดินทางมาค้าขายในอังกฤษและติดโรคร้ายจากการเที่ยวผู้หญิงและต้องการแก้แค้น

หนังสือของเทรเวอร์ "Jack the Ripper: The 21st Century Investigation" บอกว่าตำรวจสันนิษฐานอย่างผิดๆ ว่าฆาตกรนั้นอาศัยและทำงานในอีสต์เอนด์ และตำรวจยังไม่รู้วันเวลาของการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยถูกทำให้เขวและเลือกที่จะไม่มองถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ลงมือนั้นอาจจะเป็นกะลาสีเรือ


เทรเวอร์เชื่อว่าช่วงที่เกิดเหตุสยองขวัญนั้นฆาตกรเดินทางมากับเรือจำนวนไม่มากที่มาทอดสมอในท่าเรือของอีสต์เอนด์หรือใกล้เคียง อย่างไรก็ตามเขาบอกว่าชื่อของลูกเรือก็ถูกทำลายหรือไม่ก็สูญหายทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะชี้ชัดลงไปว่าเป็นลูกเรือคนใด

เทรเวอร์อ้างข้อมูลที่พบว่ามีผู้หญิงขายตัว 6 คนถูกชำแหละในสไตล์ของแจ็คในนิการากัว ในช่วง 10 วันของเดือนมกราคม ปี 1989 หรือเพียงสองเดือนที่เชื่อว่าการฆาตรรมได้สิ้นสุดลง แต่การฆ่าชำแหละศพในนิการากัวตามมาด้วยการฆาตกรรมแบบเดียวกันอีกครั้งในลอนดอนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และอีกหนึ่งคดีที่ท่าเรือเฟลนเบิร์กในเยอรมนีในตุลาคม และอีกหนึ่งคดีในลอนดอนเมื่อเดือนกรกกฎาคม ปี 1891


นอกจากนี้ เทรเวอร์ยังเชื่อว่าแจ็คไม่ได้มีความรู้ด้านการแพทย์ ซึ่งตรงข้ามกับที่หลายฝ่ายเชื่อ โดยเขาบอกว่าหากแจ็คเคยฝึกผ่าตัดอยู่บ้างเขาก็คงจะลำบากที่จะจัดการเฉือนอวัยวะออกจากร่างเหยื่อตามตรอกซอยที่มืดสลัว ส่วนอวัยวะที่ถูกคว้านออกมานั้นก็เพื่อเอาไปขายในตลาดค้าอวัยวะมนุษย์ซึ่งผิดกฎหมายแต่เฟื่องฟูในยุคนั้น

ทฤษฎีของอดีตนักสืบรายนี้ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างมาก ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการบอกว่าเทรเวอร์เอาเรื่องเก่านำมาเล่าใหม่เท่านั้น ขณะที่อีกกลุ่มยังสำทับว่าประด็นกะลาสีเรือนี้ถูกตั้งขึ้นมาตั้งแต่มีการฆาตกรรมแล้ว

ดูเหมือนว่าแจ็คเดอะริปเปอร์ยังคงเป็นปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้อีกต่อไป

ที่มา http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=2880


Kamesai
#15
20-10-2010 - 20:21:40

#15 Kamesai  [ 20-10-2010 - 20:21:40 ]




โอ้วโว้วว หลอนได้อีก!!~



Chariot
#16
20-10-2010 - 20:58:43

#16 Chariot  [ 20-10-2010 - 20:58:43 ]




เเม่สาวปากฉีก น่ากลัวจริงๆ

เมดูซ่า ก็เป๊ะๆกะเรื่อง percy jackson เด๊ะๆ

๋Jack the Ripper เคยได้ยินชื่อมานาน เฉือนได้น่ากลัวมาก สยองจริง


Biewty_J
#17
08-04-2012 - 11:17:24

#17 Biewty_J  [ 08-04-2012 - 11:17:24 ]








บอร์ดไม่เหมือนเเต่ก่อนเลยเนาะ
  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ