วิธีทำให้ผิวขาว
ผิวขาวใส
การทำ skin peeling
เนื่องจากทุกๆ 28 วัน ผิวหนังของคนเราจะสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยผิวหนังกำพร้าจะผลักตัวเองขึ้นมาที่ชั้นบนสุดของผิวหนัง และทิ้งเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ตกค้างที่ตามผิวหนัง ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดรูขุมขนอุดตัน หรือรูขุมขนกว้าง ผิวหนังไม่เรียบเนียน และหมองคล้ำ
การผลัดเซลล์ผิว เป็นการเร่งการหลุดลอกเพื่อกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ เพื่อผิวที่ สดใส และ เรียบเนียน
Chemical Peeling
เป็นการใช้ สารเคมีทาบนผิวหน้า เช่น กรดผลไม้AHAs, BHAs และ TCA ที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน โดยมีหลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด
ประโยชน์ในการผลัดผิวหน้าด้วยการทำPeeling
a.ลดรอยหมองคล้ำ รอยดำ ทำให้ผิวหน้าขาวเนียนขึ้น
b.รักษาฝ้า กระ ให้สีจางลงได้
c.ข่วยให้รอยหลุมจากสิวตื้นขึ้น และ แผลเป็นรอยนูนราบลงได้
d.แก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
e.ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย
การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)
เป็นการกรอผิวหน้าในส่วนของความลึกระดับส่วนบนสุดของผิวหนังกำพร้า (Epidermis) ให้หลุดลอกออกโดยใช้การพ่น ผงคริสตัล(Crystal)ขนาดเล็กมาก ประมาณ 100 Micron และผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้วลงบนผิวหนัง ผงคริสตัลจะขัดผิวหนังส่วนขี้ไคล และหนังกำพร้าส่วนบน ให้หลุดออกไปหลังจากนั้นผิวหนังก็จะมีการสร้างเซลล์ขึ้นใหม่เพื่อมาทดแทนในบริเวณนั้น ผิวหนังส่วนที่เกิดรอยด่างดำ รอยคล้ำ แผลเป็นต่าง ๆ เช่นรอยหลุมสิวหรือรอยย่น ที่เกิดในชั้น ผิวหนังส่วนบนก็จะถูกขจัดออกไปไวขึ้น และ เกิดการสร้างผิวหนังใหม่ขึ้นมาแทนที่ การกรอผิวจะใช้เวลาประมาณ 5-15 นาที หลังกรอผิว ผิวหน้าจะขาวใสได้ในทันที เพราะผิวหน้าที่มีปัญหารอยด่างดำ หมองคล้ำ จะลอกออกทันทีหลังทำ
การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี มีระดับความลึกต่างๆ กัน ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง
1. ชนิดและขนาดของผงคริสตัลที่ใช้ ระบบของเครื่อง ซึ่งผลึกครีสตัลที่นิยมใช้ ก็คือ ผง Aluminium Oxide โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊มในกระบอกสูญญากาศที่ปลอดเชื้อ ( Air flow in Sterile Closed system)ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือให้ทันสมัยและสะดวกขึ้น โดยการใช้ผลึกครีสตัลของเพชร ( Diamond crystal) มากรอผิวแทนซึ่งจะมีการระคายเคืองน้อยกว่า และสะดวกกว่า
2. วิธีการขณะทำ เช่น ความแรงและความเร็วของการพ่นผลึกดังกล่าว จำนวนผลึกที่พ่นต่อวินาที จำนวนครั้งในการทำซ้ำในบริเวณเดิม
3. ผิวหน้า ความหนาบางของผิวหนังในแต่ละคน นอกจากนั้นการได้การรักษาบางอย่างมาก่อน ก็มีผลเช่นกัน เช่น การทา กรดผลไม้ (AHA), การทากรด วิตะมินเอ (Retinoic acid), การทายาจำพวก สเตียรอยด์ , การทายารักษา ฝ้า บางชนิดเป็นเวลานานๆ จะทำให้ผิวหน้าไวต่อการลอกหน้ามากขึ้น
วิธีใช้แสงเลเซอร์
(LASER= Light Amplification by the Stimulated Emission of Radiation) เป็นการใช้พลังงาน จากแสงที่มีความยาวคลื่นจำเพาะ ที่สามารถถูกดูดซับโดยเซลล์เป้าหมาย ทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นเฉพาะในเซลล์นั้นๆ โดยมีผลต่อเซลล์ข้างเคียงน้อยมาก เลเซอร์ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคทางผิวหนังมีหลายชนิด ที่นำมาใช้ในการลอกผิวหน้า ได้แก่ carbondioxide laser และ erbium YAG laser เมื่อ แสงเลเซอร์กระทบเซลล์ผิวหนัง น้ำซึ่งอยู่ภายในเซลล์จะเป็นเป้าหมายที่รับพลังงานแสงไว้ และจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่ได้รับเป็นความร้อน พลังงานที่เหมาะสมจะทำให้น้ำในเซลล์ระเหย และมีการหลุดลอกของเซลล์ออกไป โดยไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียง หรือมีน้อยมาก การใช้ เลเซอร์ ใน การลอกผิวหน้า มีข้อดีกว่าการลอกหน้าโดยใช้วิธีอื่น คือ สามารถควบคุมความลึกของ การลอกผิว ได้ดี เนื่องจากมีการพัฒนาเครื่อง เลเซอร์ ให้สามารถปล่อย พลังงานสูงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ (Ultrapulse) และยังมีการผลิต CPG (Computerized Pattern Generator) และการใช้ scannerในการควบคุมการปล่อยลำแสงเลเซอร์ ทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกเพียงชั้นตื้นๆ
การใช้ เลเซอร์ ชนิด carbondioxide laser ยังมีข้อดีที่มีเลือดออกน้อย ทำให้แพทย์สามารถเห็นบริเวณที่จะทำการรักษาได้ชัดเจนขึ้น และพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในชั้นหนังแท้ คือเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพิ่มปริมาณขึ้น และมีการเรียงตัวที่เป็นระเบียบมากขึ้น แต่ในคนที่สีผิวเข้ม อย่างผิวคนไทย หรือคนเอเชียทั่วไป มักพบปัญหามีสีผิวคล้ำ (postinflammatory hyperpigmentation) หลังการรักษาได้บ่อย การใช้ เลเซอร์ ชนิด erbium YAG พบว่าแผลหายเร็วขึ้น และ พบปัญหาสีผิวคล้ำน้อยลง ระยะหลังได้มีการพยายามทำการรักษาริ้วรอยบนใบหน้าโดยใช้ non-abrative laser resurfacing เพื่อหวังผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชั้นคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ โดยไม่ทำให้เกิดแผลในผิวหนังชั้นบน แต่คงต้องติดตามการศึกษาต่อไปว่าจะได้ผลดีหรือไม่
เลเซอร์หน้าใส IPL : IPL(Intense Pulse Light)
ระบบลำแสง ฟลูออเรสเซนต์ ที่มีความเข้มข้นสูงผ่านการกรองด้วย ฟิลเตอร์ เพื่อตัดแสง UV ซึ่งเป็นอันตรายออก และปรับความยาวของช่วงคลื่นจำเพาะ (ความยาวคลื่นประมาณ 530-600 nm) ให้เหมาะสมกับการรักษา ลำแสงฟลูออเรสเซนต์จะถูกส่งผ่านผิวหนังเป็นชุดๆ เข้าไปในผิวหนังชั้นลึก ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยไม่เกิดแผลที่ผิวหนังชั้นนอก (non-ablative method)
การรักษาด้วย IPL ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 4-5 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรทิ้งช่วงห่างประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล และสามารถทำร่วมกับการใช้ครีมบำรุงผิวได้ตามปกติ ซึ่ง IPL เป็นวิธีการรักษาที่ทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูง ไม่พบร่องรอยของแผล หลังทำการรักษา ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำการรักษา ( no downtime) สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย อีกทั้งยังสามารถใช้ในการรักษาผิวหนังที่มีปัญหาvอื่นๆ ได้อีก เช่น
- รอยด่างดำ รอยแดงต่างๆ, เส้นเลือดฝอยขนาดเล็ก
- ทำให้ผิวดูอ่อนวัยขึ้น โดยแสงจะไปกระตุ้น เซลล์ชั้นลึก ของ ผิวหนัง และ เส้นใยคอลลาเจน ทำให้รูขุม
ขนมีขนาดเล็กลง และผิวเรียบสม่ำเสมอ
- ใช้ กำจัดขน ส่วนเกินบริเวณ หน้าแข้ง, รักแร้, หนวด ฯลฯ
เป็นเครื่องมือที่ใช้ไม่มีอันตราย เนื่องจากเป็น แสงฟลูออเรสเซนต์ (แสงหลอดไฟ) และไม่มีรังสี UV หรือ รังสีอันตรายอื่นๆ ผลข้างเคียงอาจพบได้บ้างแต่น้อย เช่น อาการแสบ, บวม, แดง, อาจเกิดสีผิวเข้ม ขึ้นได้ในคนที่มีสีผิวเข้ม
เคล็ดลับผิวสวยคับ
mew2009 | #1 10-07-2010 - 17:33:02 ![]() | ![]() ![]() | |||
|

- 1
![]() | ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้ |


โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล] |