โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
hotel Rwanda หนังจาก เรื่องจริงที่อยากให้ทุกคนได้ดูกัน +1 ให้กับทุกความคิดเห็นนะคะ
nitkamon
#1
19-05-2010 - 17:49:33

#1 nitkamon  [ 19-05-2010 - 17:49:33 ]






หนังเรื่องนี้เป็นหนังดีมากนะคะ เป็นเรื่องที่มาจากชีวิตจริงของผู้จัดการโรงแรม รวันดา ที่ทาง thaiPBS ได้นำตัวอย่างมาออกเพื่อสะท้อนถึงสังคมไทย ซึ่งไม่ว่าจะดูกี่รอบก็ยังสะเทือนใจอยู่ดี เเม้จะไม่ใช่อันเดียวกันกับที่ทาง thaiPBS นำมาออก เเต่ก็อยากให้เพื่อนๆได้ดูกันนะคะ


เรื่องย่อ

ในปี1994 พอลสซาบาจิน่า รู(ดอน เชียเดิล) ทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมในกิกาลี่ เมืองหลวงของประเทศรวันด้า เขาใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลางสบายๆ เขามีภรรยาที่ทั้งสาวและสวยชื่อ ทาเทียน่า (โซฟี โอโคนีโด้) กับลูก 4 คน ชีวิตของเขาเป็นเหมือนการเชื่อมโยงของสองชนเผ่า เพราะเขาเป็นชาวฮูตู ในขณะที่ภรรยาของเขาเป็นชาวทุตซี่

ในค่ำคืนของวันที่ 6 เมษายนปีนั้น ประธานาธิบดีของรวันด้า ซึ่งเป็นชาวฮูตูถูกลอบสังหาร ภายในเวลาไม่กี่นาที การสังหารผู้คนเริ่มต้นขึ้น พวกหัวรุนแรงชาวฮูตูใช้การตายของประธานาธิบดี เป็นข้ออ้างเพื่อกำจัดพวกทุตซี่ ตลอดระยะเวลาเพียง 100 วัน มีคนโดนฆ่าตายไปถึง 8 แสนคน ส่วนใหญ่ถูกตีจนตายด้วยเครื่องมือในฟาร์ม โดยน้ำมือของคนชาติเดียวกัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่โลกภายนอกไม่มีโอกาสรับรู้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเข้าสู่ยุคการสื่อสารไร้พรมแดนแล้วก็ตาม

หลายวันต่อมา รูสซาบาจิน่าได้เปลี่ยนโรงแรมสี่ดาวที่เขาทำงานอยู่ชื่อ มิลล์คอลลินส์ ในกิกาลี่ ให้กลายเป็นที่หลบภัยสำหรับชาวทุตซี่ และผู้อพยพชาวฮูตูกว่า 1,200 คน ตลอดสามเดือนต่อมา เขานำเบียร์ ไวน์ และเงินไปเป็นสินบนมอบให้กับมือสังหารชาวฮูตู เพื่อต่อรองไม่ให้บุกเข้ามาที่โรงแรม และนั่นทำให้ไม่มีใครในโรงแรมสักคนถูกฆ่าตาย ทั้งๆ ที่บนถนนด้านนอกโรงแรมนั้นกลาดเกลื่อนไปด้วยซากศพ!
หลายต่อหลายคน กล่าวว่า “บทภาพยนตร์” คือหัวใจที่สำคัญที่สุดของหนัง และนี่คืออีกครั้งที่ตอกย้ำให้เห็นว่า หนังจะไม่สามารถดีได้เลย ถ้าหากปราศจากบทภาพยนตร์ที่ดี

ภาพยนตร์เรื่องนี้ พยายามเล่าเรื่องให้เป็นธรรมชาติที่สุด, พยายามคงทุกอย่างให้ “จริง” ที่สุด และพยายามดัดแปลงปั้นแต่งเรื่องราว และ “ใช้จริต” ให้น้อยที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หนังสามารถที่จะยกย่องตัวพอล รูเซซาบากิน่า ว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่หนังก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น หนังเพียงแสดงให้เห็นว่าความจริงแล้ว “เขา” ก็เป็นคนทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น เพราะเราจะเห็นจากที่ในตอนแรก พอลก็คิดแต่จะช่วยเหลือครอบครัวของตนเท่านั้น แต่ในเมื่อสถานการณ์พาไป ก็เลยทำให้เขากลายเป็นฮีโร่แบบไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนสามารถที่จะเป็นฮีโร่แบบพอลได้ เพราะพอลมีส่วนหนึ่งที่ต่างจากคนทั่วไป นั่นคือ นอกจากเขาจะมีเมตตาแล้วเขายังมีกรุณาอีกด้วย – ไม่ใช่เพียงแค่สงสาร แต่เขายังลงมือปฏิบัติให้เห็นจริง นั่นแหละ สิ่งที่แตกต่าง....
อีกทั้งหนังยังไม่พยายามยัดเยียดภาพอันโหดร้ายทารุณ เพียงเพื่อความสาแก่ใจของคนดูบางคนเท่านั้น เพราะเราจะเห็นว่าในหนังไม่มีภาพการฆ่าอย่างจะๆ เลย (นั่นเป็นความตั้งใจของผู้กำกับและทำให้หนังได้เรต PG-13) แต่สิ่งที่เราได้รับมันกลับมากยิ่งกว่าภาพอันสยดสยองเหล่านั้นเสียอีก

จาก “เสียงบอกเล่า” ของเจ้าหน้าที่กาชาด มันทำให้เราหัวใจเราสลายเป็นชิ้นๆ กับสิ่งที่เธอได้ประสบ – เธอถูกบังคับให้มองเห็นภาพการสังหารอันโหดร้าย, แค่นี้ก็เพียงพอแก่อาการใจสลายของเราแล้ว!
นอกจากนี้ จากภาพเหตุการณ์ที่พอล ได้พบศพเกลื่อนถนนนั้น มันก็สามารถบ่งบอกให้เราเห็นถึงความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เป็นอย่างดี มันมีเหตุผลใดหรือ? ที่ทำให้คนเราเกลียดชังกันได้มากถึงเพียงนี้, มากถึงขนาดต้องฆ่าแกงกัน ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันแบบนี้......

สิ่งที่เห็นและเป็นไป น่าจะมีนัยยะอะไรแอบแฝงไว้หลายอย่าง ทั้งคำว่า “เชื้อชาติ” ,“มนุษยธรรม” หรืออะไรอื่นๆ ที่มากกว่านั้น

1. เชื้อชาติที่แตกต่าง?
สิ่งนี้หรือ ที่ทำให้เกิดความโกรธแค้น ชิงชังกัน .....มากถึงขนาดทำให้คนฆ่ากันได้
เพียงเพราะมีเชื้อชาติต่างกัน, รูปพรรณ สัณฐานต่างกัน จึงทำให้มนุษย์สองเผ่านี้อยู่ร่วมกันไม่ได้หรือ?

ในอดีต ฮูตูเป็นเจ้าถิ่น ตามติดมาด้วยเผ่าทุตซี่ที่อพยพมาทีหลัง แต่พอพวกเขาต้องตกเป็นเมืองขึ้นของเบลเยี่ยม เผ่าทุตซี่ที่มาทีหลังกลับได้เป็นใหญ่ จึ่งทำให้ฮูตูซึ่งต่อมาในภายหลังได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง เกิดความแค้นเคืองฝ่ายตรงข้าม ถึงขนาดต้องฆ่าล้างบางเผ่าทุตซี่!

แต่ประเด็นเชื้อชาติที่แตกต่างกันคงไม่ได้มีเพียงฮูตูกับทุตซี่เท่านั้น ในที่นี้ ยังรวมถึงเชื้อชาติอื่นๆ ของคนทั่วโลก กับฮูตูและทุตซี่ด้วย……

เหตุที่อเมริกา, สหประชาชาติ หรือประเทศอื่นๆ ปิดหูปิดตาไม่ยอมช่วยเหลือยุติเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ ก็คงเป็นเพราะ... พวกเขา (รวมถึงเราด้วย) คงเห็นว่า ตนมีเชื้อชาติที่ต่างจากฮูตูและทุตซี่?
พวกเขาคงเห็นว่า เหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ เป็นเรื่องส่วนตัวของฮูตูและทุตซี่ พวกเขาในฐานะคนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว?
อย่างนั้นหรือ?

หากโลกเรา คิดกันแต่ว่า ต่างเชื้อชาติแล้วไม่ควรให้ความช่วยเหลือกัน, ต่างเชื้อชาติแล้วอยู่ร่วมกันไม่ได้เช่นนี้ -- คำว่า “สันติสุข” ที่ทุกคนใฝ่หา คงไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้เป็นแน่!

2. มนุษยธรรมที่ขาดหาย?
หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า -- ขณะที่โลกพัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่กลับไม่พัฒนาไปตามกระแสโลก นั่นคือ “จิตใจของมนุษย์” และเรื่องนี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงคำกล่าวนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราจะเห็นได้จากหลายๆ ฉาก ทั้งเรื่องของความละโมบ จากการที่ทหารรับสินบนเพียงเพราะต้องการเงิน ซึ่งพอเขาไม่ได้เงิน ทุกอย่างก็จบ, หรือจะเป็นจากการที่คนหลายๆ คนพยายามหนีเอาตัวรอดเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นที่อยู่รอบข้างเลย

มีอยู่ฉากหนึ่ง ที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก วันนั้นเป็นวันฝนตก เป็นวันที่ชาวทุตซี่ทั้งหลายต้องการความช่วยเหลือ แต่ชาวผิวขาว ผู้ยกย่องตนว่าเป็นผู้มีอารยะอย่างมากเหลือ กลับหลบหนีเอาตัวรอดแต่เพียงฝ่ายเดียว พวกเขาหนีออกจากโรงแรม แล้วทิ้งให้ชาวทุตซี่ผู้น่าสงสารจำนวนหลายร้อยหลายพันไว้อยู่เบื้องหลัง

เมื่อมองดูแล้ว มันช่างน่าเศร้าสะเทือนใจเหลือเกิน ถึงความขลาดกลัวของคนขาวเหล่านั้น พวกเขาเป็นถึงทหารหาญ แต่กลับมีใจเท่าปลาซิว เล็กยิ่งกว่าเจ้าหน้าที่กาชาดหรือบาทหลวงที่เสี่ยงชีวิตไปช่วยเด็กกำพร้าเสียอีก

นี่หรือ อารยะชั้นสูงที่พวกคุณอ้างว่าคุณมี? เพียงแค่ “มนุษยธรรม” เล็กๆ น้อยๆ แก่ผองเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ก็ไม่สามารถมีให้ได้
ดูแล้วก็น่าสมเพชนะครับ กับความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เรา
อยากหัวเราะให้กับความขลาด ความโง่เขลาของคนเราดังๆ จัง!

อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์ฝนตกครั้งนั้น หลายคนก็คงได้แต่หวังว่า “ฟ้าหลังฝน ทุกๆ อย่างมันย่อมจะดีขึ้น” -- แต่แน่ใจหรือว่าคำพูดนี้จะใช้กับชาวรวันด้าได้? ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะครับ เพราะจริงอยู่ ที่ตอนนี้การนองเลือดได้สงบลงแล้ว แต่รู้ไหมว่า ตอนนี้ในหลายๆ ประเทศแถบแอฟริกา (เช่น คองโก) ก็มีเหตุการณ์ประมาณนี้เกิดขึ้นอยู่ การนองเลือดยังคงมีอยู่ทั่วไป แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อ “ผดุงสันติ” ให้กับชาวโลก ก็คงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ทั้งนี้เพราะอะไรน่ะหรือ?

ก็เพราะเราเห็นว่าแอฟริกา เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ไม่มีค่าอะไรในโลก, เป็นเพียง Exotic Country ที่ไร้อารยธรรม และ “ชีวิต” ของคนเหล่านั้น ก็ไม่มีค่าใดๆ เพียงพอแก่คำว่า “คน” หรอก!

ลองดูจากฉากแรกในหนังก็ได้
ที่ขนาดเหตุการณ์รุนแรงในซาราเจโว อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตั้น ยังสั่งการให้ผู้คนลงไปช่วยเลย
แต่พอมีเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นในทวีปไร้อารยะอย่างแอฟริกา ท่านกลับเมินเฉย
นี่มันแฝงนัยยะถึงอะไรกันนะ.....

เฮ่อ.... นี่แหละหนา! มนุษยธรรมที่ขาดหายไป
จะเหลือทิ้งไว้ก็เพียงแค่ “ความขลาดและความเขลา” เท่านั้น!

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นและเป็นไปในภาพยนตร์เรื่องนี้คงเป็นได้เพียงบันทึกเล่มเล็กๆ ของเหตุการณ์นี้เท่านั้น แต่อย่างน้อย... ก็ได้แต่หวังว่า พอดูแล้ว ทุกคนอยากจะเป็นคนดีมีมนุษยธรรมอย่างพอลบ้าง
และก็ได้แต่หวังว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะคอยกระตุ้นเตือนเราทุกคน ให้ขุดเอาคำว่า “มนุษยธรรม” ที่มันจมหายไปกับดินออกมาใช้เสียบ้าง
ไม่ใช่แค่ดูจบ แล้วทุกอย่างก็จบตาม…..

ขอขอบคุณ www.youtube.com
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=unit-maxx&month=03-2005&date=17&group=1&blog=1


+ 1 ให้กับทุกความคิดเห็นนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาดูคะ
 163430


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-05-20 12:05:53

nitkamon
#2
19-05-2010 - 17:55:46

#2 nitkamon  [ 19-05-2010 - 17:55:46 ]




มีใครเคยดูบางรึเปล่าคะ

ไม่มีเลยเหรอ

ไม่มีใครคอมเม้นเลยเหรอค่ะ

เเต่ไม่เป็นไรคะ It's Alright เเค่ทุกคนได้ดูก็พอเเล้วคะ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-05-19 19:57:53

  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
Loading...