1. เราเชื่อว่า ช็อกโกแลตเป็นสิ่งที่ดี
2. เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของวิธีชีวิต ให้ทั้งพลังงาน ช่วยให้อายุยืน แถมลดการเสี่ยงต่อโรคภัย
3. ช็อกโกแลต ทำมาจาก เมล็ดโกโก้ ที่มาจากต้นโกโก้ ซึ่งว่ากันว่า หากปลูก ในพื้นที่ป่าฝน ตันไม้สูงใหญ่ จะให้รสชาติดีเยี่ยม
4. ไม่แปลก ที่ช็อกโกแลตถูกมองว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ค่าที่โกโก้มีส่วนผสมของแร่ธาตุมากกว่าอาหารชนิดอื่น
5. ผงโกโก้ 100 กรัม มีธาตุเหล็กถึง 14 มิลลิกรัม เช่นเดียวกับโปแตรเซียม และ ฟอสฟอรัส
6. แล้วธาตุเหล็กในผงโกโก้ ร่างกายก็สามารถนำไปใช้งานได้ถึง 93 เปอร์เซ็นต์ ส่วนฟอสฟอรัสก็กลายเป็นสารอาหารถึง 85 เปอร์เซ์นต์
7. เชื่อไหมว่า ในผงโกโก้ มีแคลเซียมมากกว่านมเสียอีก แล้วแมกเนเซียมในผงโกโก้มีมากกว่าในขนมปังถึง8เท่า
8. กินช็อกโกแลตเสริมแร่ธาตุแล้ว จะไปเพิ่มน้ำหนักตัวด้วยรึเปล่า โดยเฉลี่ย ช็อกโกแลตเข้าไปเพิ่มพลังงานที่ร่างกายรับเข้าไป 0.7-1.4 เปอร์เซ็นต์
9. ดูจากตัวเลขไม่เห็นจะเพิ่มน้ำหนักได้ แต่แน่หละ ถ้าคุณบริโภคในปริมาณมากๆ หากไม่ได้เผ่าผลาญพลังงาน ออกไปเลยมันก็จะสะสมทำให้คุณอ้วนได้
10. จะว่าไป ไขมันในช็อกโกแลตมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้ นัยว่ากรดไขมัน Oleic Acid ( มีมากในน้ำมันมะกอก) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสามที่พบในช็อกโกแลต ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งเต้านม
11. ส่วนกรดไขมัน อีกสองตัว คือ P almitic และ Stearic ถึงแม้จะมีปริมาณไขมันมาก แต่ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มปริมาณคอเลสเตอลอล มากเกินแต่อย่างใด
12. ผงโกโก้ให้พลังงาน359แคลลอรี่ เครื่องดื่มโกโก้ร้อน ให้พลังงาน392แคลลอรี่ ขณะที่ช็อกโกแลตตั้งแต่ขมไปจนถึงหวานแบบใส่นมข้นด้วย จะให้พลังงาน 477 - 528 แคลลอรี่
13. ช็อกโกแลตนม (Milk Chocolate )เป็นช็อกโกแลตที่ได้รับความนิยมที่สุด มีส่วนผสมของโกโก้ลิคเคอร์20-25เปอร์เซ็นต์ นม 25-30 เปอร์เซ็นต์ และน้ำตาลอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ช็อกโกแลตขม ( Dark Chocolate ) ซึ่งมีผู้บริโภคช็อกโกแลตขมนี้ทั้วโลกอยู่ 5-10 % ประกอบด้วยน้ำตาล 55% และโกโก้คิลเคอร์ 45%
14. แล้วช็อกโกแลตขาว ( White Chocolate) เป็นช็อกโกแลตหรือเปล่า ในเมื่อมันไม่มีส่วนผสมของโกโก้คิลเคอร์ หากแต่ทำมาจากน้ำตาล โกโก้บัตเตอร์หรือไขมันพืช นมผง และกลิ่นเท่านั้น บ้างว่าไม่น่าเป็นช็อกโกแลตจริงๆ อีกบ้างเห็นว่าเรียกช็อกโกแลตได้อยู่ เพราะยังมีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์อยู่ดี
15. คนเราสามารถกินช็อกโกแลตได้เป็นประจำ แต่ต้องในปริมาณที่พอเหมาะ
16. ปริมาณช็อกโกแลตที่ควรกินต่อวันคือ 50 กรัม ( 2 ออนซ์) หรือเท่ากับช็อกโกแลตบาร์ 1 แท่ง
17. แน่นอนว่าช็อกโกแลตนั้นละลายในปาก เพราะอะไรหรือ ? ก็เพราะช็อกโกแลตขมจะเริ่มละลายในอุณหภูมิ 34-35 องศาเซลเซียส ซึ่งต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกาย ส่วนช็อกโกแลตนมนั้น ละลายในอุณหภูมิต่ำกว่าเสียอีก
18. สารเสพติดอย่างคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟ ชา น้ำอัดลม สำหรับช็อกโกแลตแล้ว มีปริมาณต่ำมาก ช็อกโกแลตนม 20 กรัม มีคาเฟอีนเพียง 4 มิลลิกรัม ขณะทีกาแฟ 1 ถ้วยมีคาเฟอีนถึง 60-90 มิลลิกรัม ถ้าช็อกโกแลตขมหนึ่งแท่ง 50 กรัม มีคาเฟอีน 38 มิลลิกรัม
19. นอกจากนี้ หลายคนยังคิดว่า ช็อกโกแลตกับโคเคนเป็นพืชชนิดเดียวกัน ซึ่งผิดถนัน ช็อกโกแลตนั้นมาจากต้นโกโก้ ( Cocoa Tree) ขณะที่โคเคนมาจากต้นโคคา (Coca Shrub)
20. นักวิทยาศาสตร์พบว่า ช็อกโกแลตดีเท่าๆ หรือมากกว่าไวน์แดง ในอันจะช่วยให้หัวใจแข็งแรง ( ทั้งอัตราการเต็นของหัวใจและหัวใจในความหมายขอ โรแมนติค)
21. ช็อกโกแลตมีส่วนประกอบของ Phenylethylamine (PEA)ซึ่งเป็นส่วนประกอบเคมีที่พบในสมอง ช่วยเพิ่มความดันเลือดกระตุ้นการเต้นของหัวใจ และจะหลังสารออกมาเมื่อคนเรารู้สึกเสน์หาหรือปรารถนา ช็อกโกแลตจึงมักโดนล้อเมื่อคนเราเกิดความรัก
22. เหตุผลดีๆ ที่คนมักเอี่ยวช็อกโกแลตกับเรื่องรักโรแมนติคว่ากันตั้งแต่ครั้งแรกที่ช็อกโกแลตเช้าไปแพร่ความนิยมในทวีปยุโรปด้วยความคิดที่ว่ามันทำให้หนุ่มรู้สึกชุ่มชื่น สาวๆ ลดอาการยับหยั้งชั่งใจ จากนั้นจึงกลายเป็นของขวัญชั้นดีที่คนเอาไปให้หวานใจ
23. ไวน์แดง 1 แก้ว 150 มิลลิลิตร หรือ ช็อกโกแลตนมแท่งละ 40 กรัม ให้ Polyphenol อันเป็นส่วนประกอบของ Antioxidant ในระดับมาตรฐาน 200 มิลลิกรัม
24. Antioxidant คือกุญแจสำคัญของศตวรรษนี้ ด้วยทั้งผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์ความงาม เครื่องสำอางค์ และในวงการแพทย์ ต่างตระหนักถึงประโยชน์อักโข ค่าที่ Antioxidant ช่วยให้ผิวสวย ชะลอความเหี่ยวย่น สามารถช่วยป้องกันมะเร็ง และช่วยให้หัวใจมีสุขถาพดี
25. Antioxidant ในช็อกโกแลตมีมากกว่าชา4เท่า
26. อันที่จริง ช็อกโกแลตถูกนำไปใช้ในวงการแพทย์ มาหลายศตวรรษแล้ว
27. ตำราสมุนไพรที่มใช้รักษาโรคของเม็คซิโก ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อศตวรรษที่15แจ้งว่า ช็อกโกแลตที่เสริฟเป็นเครื่องดื่มนั้น ใช้เป็นยาระบายได้
28. นักสำรวจชาวอังกฤษรายงานว่า ช็อกโกแลตที่เติมซินนามอลลงไปจะช่วยให้ปัสสาวะได้ดีขึ้น ถ้าใส่เมล็ดต้นชาด (achiote annatto seed) จะบรรเทาอาการหายใจขัดหรือหอบ
29. ว่ากันว่าการดื่มช็อกโกแลต เสมือนดื่มเครื่องดื่มเพิ่มพลัง มีการกล่าวอ้างว่า ช็อกโกแลต 1ออนซ์ มีคุณค่าทางอาหารมากเท่ากับเนื้อ 1 ปอนด์
30. มีผู้คิดสูตรแก้อาการเมาค้าง นอนไม่หลับ และขาดสมาธิ ด้วยการนำช้อกโกแลต 1 ไพน์ ผสมเข้ากับเมล็ดอัมพัน 60-72 เมล็ด สูตรนี้เป็นที่รู้จักว่า HAD (seasonal affective disorder)
31. ขนาดฟลอเรนซ์ ไนติงเกล แม่พระแห่งวงการพยาบาล ยังใช้ช็อกโกแลตเป็นตัวยืนพื้นในการรักษา เธอเขียนบันทึกไว้ว่าครัวเครื่องที่สำหรับพยาบาลผู้ทำงานหนักต้องไม่ขาดเชื้อเพลิง กะทะ หรือหม้อ ซุป ไวน์ และช็อกโกแลต ซึ่งแน่นอนว่า มันได้ชุบชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว
32. สำหรับผู้ชำนาญการช็อกโกแลต การกินช็อกโกแลตถึอเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับการชิมไวน์หรือกาแฟ
33. เพียงแต่ การกินช็อกโกแลตนั้นได้ทั้งความหวาน ( ที่ต่างจากไวน์) ความขม (ที่ไม่เหมือนกาแฟ) ความมันกลมกล่อมและที่แน่ๆ อร่อย
ปล.พูดถึงแล้วก็อยากกิน
[ปิด] สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับช็อกโกแลต
supitcha_bua | #1 12-08-2013 - 13:59:10 ![]() | ![]() ![]() | |||
|
|

- 1
![]() | ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้ |


โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล] |