โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
วิธีการ รบ แบบเก่า(แตกต่างกับสมัยนี้สุดๆ) เพิ่มเรป 53
pplammm
#41
03-04-2011 - 19:47:55

#41 pplammm  [ 03-04-2011 - 19:47:55 ]




เมื่อออตโต ฟอน บิสมาร์ก ผู้นำในการรวมชาติเยอรมนี นำเยอรมนีจนได้รับชัยชนะในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย และประกาศสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1870 แล้ว จึงได้ดำเนินการตั้งสันนิบาตสามจักรพรรดิ (The Three Emperor's League) ซึ่งแสดงความเป็นพันธมิตรระหว่าง 3 จักรวรรดิของยุโรป ได้แก่ เยอรมนี จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิรัสเซีย ด้วยเจตนาสำคัญประการแรกคือ ป้องกันการแก้แค้นของฝรั่งเศส ภายหลังเมื่อออสเตรีย-ฮังการีและรัสเซียขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กันจนมิอาจเป็นพันธมิตรต่อกันได้ บิสมาร์กจึงชักชวนอิตาลีเข้าแทนที่รัสเซีย จึงเกิดเป็นกลุ่มไตรพันธมิตร (The Triple Alliance) ขึ้น[2]

ครั้นบิสมาร์คหมดอำนาจลง จักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 ทรงเลิกนโยบายเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และสร้างความไม่พอใจให้สหราชอาณาจักรด้วยการเริ่มโครงการขยายกองทัพเรือ เพื่อใช้ในการขยายดินแดนและอิทธิพลในซีกโลกตะวันออก ฝรั่งเศสจึงได้โอกาสเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซียและเข้าใจอันดีกับอังกฤษ และในที่สุดเมื่อทั้งสามมหาอำนาจตกลงในความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมที่เคยมีต่อกันได้แล้ว จึงจัดตั้งกลุ่มไตรภาคี (Triple Entente) ในปี ค.ศ. 1907[2]

วันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1914 กัฟรีโล ปรินซีป นักเรียนชาวเซิร์บบอสเนีย ได้ลอบปลงพระชนม์ อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่เมืองซาราเยโว ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มบอสเนียหนุ่ม โดยมีเป้าหมายที่จะรวมชาวยูโกสลาฟ หรือสลาฟใต้เข้าไว้ด้วยกัน และประกาศเอกราชจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เหตุการณ์การลอบสังหารนี้ได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ลุกลามต่อมาจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ[9] กล่าวคือ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีต้องการให้เซอร์เบียลงโทษผู้กระทำผิดแต่เซอร์เบียปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามต่อเซอร์เบีย ทำให้มหาอำนาจยุโรปจำนวนมากต้องเข้าสู่สงครามภายในหนึ่งสัปดาห์เนื่องจากข้อตกลงการป้องกันร่วมกัน และการเข้าแทรกแซงสงครามของประเทศพันธมิตรของตน

[แก้] การแข่งขันการสะสมอาวุธ
เรือประจัญบานชั้นเดรตนอทของกองทัพเรืออังกฤษดูเพิ่มที่ เรือประจัญบานชั้นเดรตนอท
การแข่งขันแสนยานุภาพทางทะเลระหว่างอังกฤษและเยอรมนีนั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อกองทัพเรืออังกฤษสร้างเรือประจัญบานชั้นเดรตนอท ซึ่งเป็นเรือประจัญบานขนาดหนักได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1906 การคิดค้นเรือดังกล่าวนับเป็นการปฏิวัติทั้งขนาดและพลังอำนาจที่เหนือกว่าเรือประจัญบานธรรมดาอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น อังกฤษยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำทางทะเลได้เหนือกว่าเยอรมนีและอิตาลี พอล เคเนดี้ได้ชี้ว่าทั้งสองประเทศมีความเชื่อว่า แนวคิดของอัลเฟรด เทย์เลอร์ มาฮานเกี่ยวกับการบัญชาการรบทางทะเลว่าเป็นความสำคัญต่อสถานภาพของประเทศอย่างมาก แต่การผ่านการจารกรรมทางพาณิชย์อาจพิสูจน์ว่าแนวคิดของเขาอาจจะผิดก็เป็นได้

เดวิด สตีเวนสัน นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวบริเตน ได้กล่าวถึงการแข่งขันการสะสมอาวุธว่าเป็น "การสร้างเสริมตัวเองเป็นวงกลมแห่งการเตรียมความพร้อมด้านการทหารอย่างแรงกล้า"[10] เดวิด เฮอร์มันน์ได้มองการแข่งขันแสนยานุภาพทางทะเลว่าเป็นหลักที่จะชี้ชะตาทิศทางของสงคราม[11] อย่างไรก็ตาม ไนอัล เฟอร์กูสัน นักประวัติศาสตร์ชาวสก็อต ได้โต้แย้งว่า ความสามารถของอังกฤษที่จะรักษาความเป็นผู้นำทางการทหารไว้มิได้เป็นปัจจัยของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา[12]

อังกฤษและเยอรมนีต่างใช้จ่ายเงินในการแข่งขันสะสมอาวุธเป็นจำนาวนมาก จากสถิติแล้ว หกชาติมหาอำนาจยุโรป อันได้แก่ อังกฤษ จักรวรรดิรัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนี จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและอิตาลี ได้ใช้งบประมาณเพื่อการแข่งขันการสะสมอาวุธเพิ่มขึ้นถึง 50% เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปีค.ศ. 1908กับปี ค.ศ. 1913[13]

[แก้] แผนการ ความไม่ไว้วางใจและการประกาศระดมพล
แผนการชลีฟเฟ็น แผนการรุกรานฝรั่งเศสของเยอรมนีแนวคิดดังกล่าวถูกเสนอโดยนักปกครองจำนวนมากว่า แผนการระดมพลของเยอรมนี ฝรั่งเศสและรัสเซียนั้นได้ทำให้ความขัดแย้งขยายไปกว้างขึ้น ฟริทซ์ ฟิสเชอร์ได้กล่าวถึงความรุนแรงโดยเนื้อหาของแผนการชลีฟเฟ็นซึ่งได้แบ่งเอากองทัพเยอรมันต้องทำการรบทั้งสองด้าน การทำศึกทั้งสองด้านหมายความว่ากองทัพเยอรมันจำเป็นที่จะต้องรบให้ชนะศัตรูจากทางด้านหนึ่งอย่างรวดเร็วก่อนที่จะทำการรบกับศัตรูที่เหลือได้ แผนการดังกล่าวเรียกว่าเป็น "อุบายการตีกระหนาบ" เพื่อที่จะทำลายเบลเยี่ยมและทำให้กองทัพฝรั่งเศสกลายเป็นอัมพาตโดยการโจมตีอย่างรวดเร็วก่อนที่ฝรั่งเศสจะพร้อมระดมพล หลังจากได้ชัยชนะแล้ว กองทัพเยอรมันจะเคลื่อนไปยังทิศตะวันออกโดยทางรถไฟและทำลายกองทัพรัสเซียซึ่งระดมพลได้อย่างเชื่องช้า[14]

แผนการที่สิบเจ็ดของฝรั่งเศสมีจุดประสงค์ที่จะส่งกองทัพของตนเข้าเป็นยึดครองหุบเขารูร์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรมของเยอรมนี ซึ่งทางทฤษฏีแล้วจะเป็นการทำให้เยอรมนีหมดสภาพที่จะทำสงครามสมัยใหม่ต่อไป

ส่วนแผนการที่สิบเก้าของจักรวรรดิรัสเซียมีเป้าหมายที่จะมองการณ์ไกลและระดมกองทัพของตนเพื่อต่อต้านทั้งจักรรวรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรรวรดิเยอรมนี[15][16]

แผนการของทั้งสามประเทศได้ก่อให้เกิดบรรยากาศซึ่งต้องทำให้ได้มาซึ่งชัยชนะอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะสามารถกุมชัยชนะได้ ทุกฝ่ายต่างมีตารางเวลาซึ่งถูกคำนวณอย่างละเอียดลออ เมื่อมีการระดมพลเกิดขึ้น โอกาสที่จะถอยหลังก็หมดสิ้นไปแล้ว ความล่าช้าทางการทูตและการคมนาคมขนส่งที่เลวส่งผลทำให้แผนการเหล่านี้ประสบความติดขัดหรือหยุดชะงัก และเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ แผนการของทั้งสามประเทศนี้เป็นปฏิบัติการเชิงรุก ซึ่งทำให้ต้องมีการพัฒนาความสามารถในการป้องกันและการขุดสนามเพลาะเพื่อการป้องกันประเทศ[17][18][19][20]

[แก้] ลัทธินิยมทหารและเอกาธิปไตยประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกาและคนอื่น ๆ ได้มีความเห็นว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอาจเกิดจากลัทธินิยมทหาร[21] บางคนอาจโต้เถียงว่าเป็นเพราะการปกครองแบบอภิชนาธิปไตย และสำหรับพวกนายทหารชั้นสูงในกองทัพมีอำนาจมากมายดังเช่นในประเทศอย่างเยอรมนี รัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ผู้ซึ่งเห็นว่าสงครามเป็นโอกาสทองที่พวกเขาจะสามารถได้รับตอบสนองความต้องการเพื่ออำนาจทางการทหารและดูถูกการปกครองแบบประชาธิปไตย[22] โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นอย่างโดดเด่นในโฆษณาต่อต้านเยอรมนี เนื่องจากว่าผู้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวได้เรียกร้องให้มีการสละราชสมบัติของผูนำประเทศ อย่างเช่น สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี รวมไปถึงการกำจัดพวกชนชั้นสูงซึ่งมีส่วนร่วมในการปกครองของยุโรปมาหลายศตวรรษรวมไปถึงลัทธินิยมทหารด้วย เวทีนี้ได้ให้เหตุผลอันสมควรแก่สหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อจักรวรรดิรัสเซียยอมจำนนเมื่อปี 1917[23][24]

ฝ่ายพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส มีการปกครองระบบประชาธิปไตย ได้ต่อสู้กับฝ่ายมหาอำนาจกลางซึ่งประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการีและจักรวรรดิออตโตมาน รวมไปถึงรัสเซีย พันธมิตรของอังกฤษและฝรั้งเศสเอง ยังคงมีการปกครองระบบจักรวรรดิจนกระทั่งถึงปี 1917-1918 แต่ก็ตรงกันข้ามกับการปราบปรามเชื้อชาติสลาฟของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยหลังฉากนี้ มุมมองของสงครามของหนึ่งในกลุ่มประชาธิปไตยกับการปกครองแบบเผด็จการมาตั้งแต่ก่อนสงครามนั้นดูสมเหตุสมผลและมีน้ำหนักพอสมควร แต่มุมมองเหล่านั้นได้สูญเสียความน่าเชื่อถือไปเรื่อย ๆ ขณะที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป

วิลสันนั้นหวังว่าสันนิบาตชาติและการปลดอาวุธนั้นจะช่วยให้สามารถธำรงสันติภาพให้คงอยู่กาลนาน โดยยืมแนวคิดมาจากเอช.อี.เวลส์ เขาได้อธิบายเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งว่าเป็น "สงครามเพื่อที่จะยุติสงครามทั้งมวล" เขายังหวังที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรของอังกฤษและฝร่งเศสตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีลัทธินิยมทหารอยู่บ้าง

[แก้] สมดุลแห่งอำนาจ
ภาพล้อเลียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุหนึ่งในเป้าหมายของประเทศมหาอำนาจก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็คือ การรักษา "สมดุลแห่งอำนาจ" ในทวีปยุโรป ทำให้ต่อมาได้กลายเป็นระบบที่ประณีตของข้อตกลงและสนธิสัญญาต่าง ๆ ทั้งต่อหน้า (เผยแพร่ต่อสาธารณชน) และลับหลัง (เป็นความลับ) ตัวอย่างเช่น หลังจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย อังกฤษก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เยอรมนีอันแข็งแกร่ง ซึ่งอังกฤษหวังว่าจะช่วยรักษาสมดุลกับศัตรูทางวัฒนธรรมของอังกฤษ นั่นคือ ฝรั่งเศส แต่ว่าภายหลังจากที่เยอรมนีเริ่มที่จะสร้างกองทัพเรือขึ้นมาแข่งขันกับอังกฤษ ก็ทำให้สถานภาพนี้เปลี่ยนไป ฝรั่งเศสผู้กำลังหาพันธมิตรใหม่เพื่อรักษาความปลอดภัยจากอันตรายของเยอรมนี คือ จักรวรรดิรัสเซีย ส่วนจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเผชิญกับภัยจากรัสเซีย ได้รับความช่วยเหลือจากเยอรมนี

เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุ สนธิสัญญาเหล่านี้เป็นแค่ตัวตัดสินว่าพวกเขาจะเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายใด อังกฤษผู้ไม่มีสนธิสัญญาผูกพันกับฝรั่งเศสและรัสเซีย แต่ก็เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายพันธมิตร ทางด้านอิตาลีมีทั้งสนธิสัญญาผูกพันกับทั้งเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง กลับเป็นฝ่ายพันธมิตร บางที สนธิสัญญาที่น่าสังเกตที่สุดน่าจะเป็นสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันระหว่างเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเยอรมนีได้ร่างขึ้นในปี 1909 โดยได้กล่าวไว้ว่า เยอรมนีจะยืนเคียงข้างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มสงครามก่อนก็ตาม[25]

[แก้] เศรษฐกิจลัทธิจักรวรรดินิยมวลาดีมีร์ เลนินได้ยืนยันว่าสาเหตุของสงครามนั้นตั้งอยู่บนจักรวรรดินิยม เขาได้กล่าวพรรณาถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของคาร์ล มาร์กซ และนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ จอห์น เอ. ฮอบสัน ซึ่งได้ทำนายว่าการแข่งขันอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อการขยายตลาดการค้านั้นจะนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับโลก[26] โดยเหตุผลดังกล่าวนั้นมีผู้เชื่อถือเป็นจำนวนมากและได้สนับสนุนการเจริญเติบโตของลัทธิคอมมิวนิสต์ เลนินยังได้กล่าวว่าความสนใจในการเงินของมหาอำนาจลัทธิทุนนิยม-จักรวรรดินิยมจำนวนมากได้ก่อให้เกิดสงคราม[27]

[แก้] การกีดกันทางการค้าคอร์เดล คูล ซึ่งเป็นเลขานุการของประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เชื่อว่าการกีดกันทางการค้าเป็นทั้งสาเหตุของทั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1944 เขาได้มีส่วนในการร่วมร่างระบบเบร็ตตัน วูดส์เพื่อลดการกีดกันทางการค้าและกำจัดสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง[28][29]

[แก้] การแข่งขันทางการเมืองและมนุษยชาติ
ความขัดแย้งของยุโรปในปี 1914
สีเหลือง: ประเทศเป็นกลาง
สีแดง: ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
สีเขียว:ฝ่ายพันธมิตรดูเพิ่มที่ ถังดินปืนของทวีปยุโรป
สงครามบนคาบสมุทรบอลข่านระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและเซอร์เบียนั้นถูกพิจารณาว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยอิทธิพลของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้เสื่อมถอยและการเจริญเติบโตของลัทธิรวมเชื้อชาติสลาฟ และความเจิรญขึ้นของลัทธิชาตินิยมภายในประจวบกับการเจริญเติบโตของเซอร์เบีย ซึ่งความรู้สึกต่อต้านชาวออสเตรียอาจจะมีความรุนแรงมากที่สุด จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้นได้ยึดครองแคว้นบอลเนีย-เฮอร์เซโกวิเนียของจักรวรรดิออตโตมาน ซึ่งมีจำนวนประชากรชาวเซิร์บเป็นจำนวนมากในปี 1878 และจากนั้นก็ได้ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในปี 1908 ความรู้สึกรักชาติที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับที่จักรวรรดิออตโตมาน รัสเซียนั้นได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อการรวมเชื้อชาติสลาฟ และกระตุ้นโดยมนุษยธรรมและความจงรักภักดีต่อศาสนาและการแข่งขันกับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีย้อนกลับไปยังสงครามไครเมีย เหตุการณ์ปัจจุบันอย่างเช่น สนธิสัญญาล้มเหลวระหว่างออสเตรีย-ฮังการีกับรัสเซีย และความฝันเก่าตั้งแต่ต้นศตวรรษเรื่องท่าเรือน้ำอุ่นก็ได้ถูกกระตุ้นในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก[30]

นอกจากในบอสเนียแล้ว ก็ยังมีเจตนาอยู่ในสถานที่อื่น ๆ อีกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการสูญเสียแคว้นอัลซาซและแคว้นลอร์เรนภายหลังสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียได้ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านในกลุ่มประชากรไปโดยปริยาย ในที่สุด ฝรั่งเศสก็ได้รัสเซียเป็นพันธมิตร และได้สร้างสิ่งที่ตั้งเค้าว่าจะกลายเป็นบศึกสองด้านกับเยอรมนี

[แก้] วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคมและการประกาศสงคราม
สาส์นประกาศสงครามของจักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 ของจักรวรรดิเยอรมนีในปี 1914รัฐบาลของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนี ได้ยกเอาเหตุผลของการลอบปลงพระชนม์ อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย เป็นการตั้งคำถามกับเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรีย-ฮังการีได้ยื่นคำขาดแก่เซอร์เบียโดยมีความต้องการสิบข้อ ซึ่งบางข้อนั้นเซอร์เบียเห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงปฏิเสธคำขาดข้อที่หก เซอร์เบียนั้นไว้ใจว่าตนจะได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากรัสเซีย จึงทำให้เกิดการปฏิเสธคำขาดบางกรณี และหลังจากนั้นก็มีการออกคำสั่งระดมพล จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้ตอบสนองโดยการประกาศสงครามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ในตอนเริ่มต้น กองทัพรัสเซียได้สั่งระดมพลเป็นบางส่วน มุ่งตรงมายังชายแดนของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม หลังจากที่กองเสนาธิการทั่วไปของรัสเซียได้ทูลแก่พระเจ้าซาร์ว่า การส่งกำลังบำรุงแก่ทหารเกณฑ์นันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงได้เปลี่ยนเป็นการระดมพลเต็มขนาดแทน แผนการชลีฟเฟ็นซึ่งมีเป้าหมายที่จะโจมตีสายฟ้าแลบต่อฝรั่งเศสนั้น ไม่สามารถให้รัสเซียสามารถระดมพลได้ นอกจากภายหลังกองทัพเยอรมันได้เข้าโจมตีแล้ว ดังนั้น เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม และฝรั่งเศสในอีกสองวันต่อมา หลังจากนั้นเยอรมนีก็ได้ฝ่าฝืนต่อความเป็นกลางของเบลเยี่ยมโดยการเดินทัพผ่านเพื่อไปโจมตีกรุงปารีส ซึ่งส่งผลให้จักรวรรดิอังกฤษเข้าสู่สงคราม ด้วยสาเหตุนี้ ห้าในหกประเทศมหาอำนาจของยุโรป จึงเข้ามาพัวพันอยู่ในความขัดแย้งวงกว้างภายในทวีปยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามนโปเลียน[31]

[แก้] เส้นทางของสงคราม[แก้] กระสุนนัดแรก[แก้] ความสับสนภายในฝ่ายมหาอำนาจกลางแผนการทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายมหาอำนาจกลางต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพของการคมนาคมและการสื่อสารระหว่างกัน เยอรมนีให้คำมั่นแก่ออสเตรีย-ฮังการีว่าตนจะช่วยสนับสนุนในการรุกรานเซอร์เบีย จึงทำให้เกิดความผิดใจกันในฝ่ายมหาอำนาจกลาง ออสเตรีย-ฮังการีนั้นเชื่อว่าเยอรมนีจะช่วยส่งกองทัพเข้ามาป้องกันประเทศทางชายแดนด้านทิศเหนือซึ่งติดกับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ออสเตรีย-ฮังการีได้มีความเห็นที่จะส่งกองทัพหลักของตนพุ่งเป้าไปยังรัสเซีย ขณะที่เยอรมนีจัดการกับประเทศฝรั่งเศส จากสาเหตุดังกล่าวได้สร้างความสับสนให้แก่กองทัพออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งจำเป็นต้องแบ่งกองทัพของตนเพื่อรบกับทั้งเซอร์เบียและรัสเซียทั้งสองด้าน

[แก้] เขตสงครามทวีปแอฟริกาดูบทความหลักได้ที่ เขตปฏิบัติการทวีปแอฟริกา (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)

ประกายแรกของสงครามก็ได้เข้ามาพัวพันกับอาณานิคมทั้งหลายของอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมนีในทวีปแอฟริกา เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1914 กองทัพอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้าโจมตีรัฐในอารักขาของเยอรมนี โตโกแลนด์ อีกสองวันต่อมา กองทัพเยอรมันในนามิเบียได้เข้าโจมตีแอฟริกาใต้ การรบในทวีปแอฟริกายังมีขึ้นอย่างประปรายและรุนแรงตลอดช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

[แก้] เขตสงครามเซอร์เบียดูบทความหลักที่ เขตปฏิบัติการเซอร์เบีย (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)

ทหารเซอร์เบียขณะข้ามแม่น้ำคาลูบาราระหว่างการรบกองทัพเซอร์เบียได้ต่อสู้กับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีผู้รุกรานระหว่างยุทธภูมิเซอร์ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ได้เข้ายึดตำแหน่งที่มั่นทางตอนใต้ของแม่น้ำดรินาและแม่น้ำซาวา อีกสองสัปดาห์ถัดมา กองทัพออสเตรีย-ฮังการีถูกโจมตีโต้กลับอย่างหนักประสบความเสียหายรุนแรง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะครั้งแรงของฝ่ายพันธมิตรและทำลายความหวังของกองทัพออสเตรีย-ฮังการีไปสิ้น ซึ่งทำให้กองทัพออสเตรีย-ฮังการีจำเป็นต้องรักษากองกำลังขนาดใหญ่ไว้ทางแนวรบเซอร์เบีย ซึ่งทำให้ความพยายามต่อต้านรัสเซียอ่อนแอลง กองทัพเซอร์เบียยังได้ชัยชนะเหนือกองทัพออสเตรีย-ฮังการีอีกครั้งในยุทธภูมิคาลูบารา

[แก้] กองทัพเยอรมันในเบลเยี่ยมและฝรั่งเศสดูบทความหลักที่ เขตปฏิบัติการฝรั่งเศส (1914)

ขบวนทหารม้าหนักฝรั่งเศสขณะเดินทัพไปยังแนวหน้า เดือนสิงหาคม 1914ในตอนเริ่มแรก กองทัพเยอรมันได้รับชันขนะใหญ่หลวงในยุทธภูมิแห่งชายแดน (14-24 สิงหาคม) อย่างไรก็ตาม รัสเซียได้โจมตีปรัสเซียตะวันออก ทำให้เยอรมนีจำเป็นต้องแบ่งกองทัพออกมาตั้งรับรัสเซียในแนวรบด้านตะวันออก แทนที่จะไปสนับสนุนกองทัพของตนในแนวรบด้านตะวันตก ด้านกองทัพเยอรมันก็ได้ชัยชนะเหนือกองทัพรัสเซียในการรบหลายคร้ง อย่างเช่น ยุทธภูมิทันเนนเบิร์กครั้งที่หนึ่ง (17 สิงหาคม - 2 กันยายน) แต่การรบในแนวรบด้านตะวันออกก็ต้องล่าช้าเนื่องจากความเร็วในการรุกเป็นไปอย่างเชื่องช้าและทางคมนาคมทางรถไฟของรัสเซียไม่ถูกค้นพบโดยกองเสนาธิการเยอรมัน แต่เดิม แผนการชลีฟเฟ็นได้มีเป้าหมายเพื่อให้ปีกขวาของกองทัพเยอรมันโจมตีเข้าสู่ทางตะวันตกของกรุงปารีส อย่างไรก็ตาม ด้วยความเชื่องช้าและความไร้ประสิทธิภาพของพาหนะม้าลากขัดขวางรถไฟขนเสบียงของเยอรมนี ทำให้กองทัพพันธมิตรสามารถหยุดยั้งการรุกของเยอรมนีได้ที่ ยุทธภูมิแม่น้ำมาร์นครั้งที่หนึ่ง (5-12 กันยายน) ฝ่ายมหาอำนาจกลางจึงสุญเสียความเร็วในการโจมตีและการโจมตีสายฟ้าแลบก็เริ่มประสบความล้มเหลว เนื่องจากเยอรมนีต้องสู้ศึกทั้งสองด้าน แต่ว่าทางด้านกองทัพเยอรมันก็ได้ประจำอยู่ในที่มั่นตั้งรับภายในฝรั่งเศสและสามารถสังหารทหารพันธมิตรได้มากกว่า 230,000 คน ด้วยการคมนาคมที่ไร้ประสิทธิภาพและการบัญชาการที่เป็นปัญหา เยอรมนีจำเป็นต้องชดใช้ด้วยการทำสงครามยืดเยื้อในอนาคต

[แก้] ทวีปเอเชียและแถบมหาสมุทรแปซิฟิกดูบทความหลักได้ที่ เขตปฏิบัติการทวีปเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิก (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)

นิวซีแลนด์ได้เข้ายึดครองซามัวตะวันตกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม เมื่อวันที่ 11 กันยายน ทหารเรือและกองทหารนอกประเทศของออสเตรเลีย ได้ขึ้นฝั่งบนเกาะนิว พัมเมิร์น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันนิวกินี ญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีดินแดนอาณานิคมของเยอรมนีในไมโครนิเซีย และภายในไม่กี่เดือน ดินแดนอาณานิคมโพ้นทะเลของเยอรมนีแถบมหาสมุทรแปซิฟิกก็ถูกกองทัพพันธมิตรยึดครองทั้งหมด

[แก้] แนวรบด้านตะวันตก: การรบแบบสนามเพลาะดูบทความหลักที่ แนวรบด้านตะวันตก (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)

ทหารเยอรมันเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1914ยุทธวิธีทางการทหารที่ใช้กันในกองทัพช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งล้าหลังกว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอยู่มากนัก ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้มีสิ่งก่อสร้างที่มีระบบการป้องกันที่เยี่ยมยอด ซึ่งยุทธวิธีการทหารอันล้าสมัยไม่สามารถโจมตีผ่านได้เป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ของสงคราม ลวดหนาม ประดิษฐกรรมเพื่อยับยังการโจมตีแบบคลื่นมนุษย์ ทางด้านปืนใหญ่ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็มีประสิทธิภาพร้ายแรงกว่าที่เคยใช้ในช่วงคริสต์ทษวรรษ 1870 มากนัก และเมื่อใช้ร่วมกับปืนกล ทำให้การเคลื่อนทัพผ่านพื้นที่เปิดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ด้านเยอรมนีได้คิดค้นก๊าซพิษและต่อมาก็ได้ใช้ในสงครามทั้งสองฝ่าย แม้ว่ามันจะไม่เคยพิสูจน์ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ได้รับชัยชนะเด็ดขาดในการรบ อย่างไรก็ตาม แก๊สพิษนั้นมีผลที่โหดร้าย และทำให้ความตายที่ตามมานั้นเชื่องช้าและทรมาน ก๊าซพิษจึงกลายเป็นอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดและเป็นความทรงจำอันเลวร้ายของสงคราม เหล่าผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายต่างก็ประสบความล้มเหลวในการพัฒนายุทธวิธีใหม่ ๆ เพื่อที่จะโจมตีผ่านแนวสนามเพลาะซึ่งเป็นที่มั่นอย่างดีสำหรับฝ่ายตั้งรับ ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงทุกครั้งที่เกิดการบุก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้คิดค้นยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการรุก อย่างเช่น รถถัง ซึ่งเดิมทีอังกฤษและฝรั่งเศสได้นำมาใช้ในสงคราม ส่วนเยอรมนีได้ยึดเอารถถังจำนวนหนึ่งจากฝ่ายพันธมิตรและประดิษฐ์ขึ้นเองอีกเล็กน้อย

ภายหลัง ยุทธภูมิแม่น้ำมาร์นครั้งที่หนึ่ง ทั้งฝ่ายพันธมิตรและเยอรมนีก็ได้เริ่มอุบายการตีขนาบปีกของกองทัพฝ่ายตรงข้าม เรียกว่า "การแข่งขันสู่ทะเล" อังกฤษและฝรั่งเศสพบว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพเยอรมันที่อยู่ในเขตที่มั่นอย่างมั่นคงเป็นแนวยาวตั้งแต่แคว้นลอร์เรนของฝรั่งเศสไปจนถึงเขตทุ่งฟแลนดีสของเบลเยี่ยมติดกับทะเลเหนือ ด้านอังกฤษและฝรั่งเศสได้พยายามที่จะเริ่มการโจมตี ขณะที่เยอรมนีได้ทำการตั้งรับอย่างเข้มแข็งในดินแดนยึดครอง ในด้านยุทธวิธี โดยรวมแล้ว สนามเพลาะของเยอรมนีมีประสิทธิภาพเหนือกว่าสนามเพลาะของฝ่ายพันธมิตรมากนัก ขณะที่แนวสนามเพลาะของฝ่ายพันธมิตร เดิมทีได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นแนวชั่วคราวสำหรับเตรียมการโจมตีผ่านแนวรบของเยอรมนีเท่านั้น[32] ทั้งสองฝ่ายได้พยายามที่จะรบโดยการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการรบมากขึ้น ในเดือนเมษายน 1915 ฝ่ายเยอรมนีเริ่มใช้ก๊าซคลอรีนเป็นครั้งแรก (ซึ่งเป็นการละเมิด การประชุมกรุงเฮก) และได้เปิดแนวรบพันธมิตรเป็นช่องยาวกว่า 6 กิโลเมตรเมื่อกองทัพพันธมิตรได้ถอนตัวออกไป จากนั้นกองทัพแคนาดาได้เข้ามาอุดช่องโหว่ที่ยุทธภูมิอีพรีครั้งที่สอง และในยุทธภูมิอีพรีครั้งที่สาม กองทัพแคนาดาและกองทัพผสมแอนแซ็กได้ยึดครองหมู่บ้านพาสเชลเดล


ทหารอังกฤษขณะเริ่มต้นการโจมตี ระหว่างยุทธการแห่งแม่น้ำซอมม์ ปี 1916วันที่ 1 กรกฎาคม 1916 เป็นวันแรกของยุทธการแม่น้ำซอมม์ กองทัพอังกฤษได้พบกับความสูญเสียที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ ความสูญเสียกว่า 57,470 นายและเสียชีวิตกว่า 19,240 นาย ความสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างชั่วโมงแรกของการรบ จนถึงตอนนี้การรุกของกองทัพอังกฤษในแนวรบด้านตะวันตกได้คร่าชีวิตทหารไปเกือบครึ่งล้านนายแล้ว[33]

ทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สามารถที่จะโจมตีผ่านแนวรบของอีกฝ่ายได้เป็นเวลากว่าสองปี แม้ว่าการทำศึกยืดเยื้อของเยอรมนีที่ป้อมเปเดิง ตลอดทั้งปี 1916 ประกอบกับความล้มเหลวของกองทัพพันธมิตรในแม่น้ำซอมม์ ทำให้กองทัพฝรั่งเศสใกล้ที่จะล่มสลายเต็มที การที่กองทัพฝรั่งเศสยังคงยึดมั่นในหลักการเดิม ๆ ในการใช้ทหารจำนวนมหาศาลนั้นเป็นวิธีที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง วิธีนี้ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสสูญเสียชีวิตทหารจำนวนสูงลิบและได้นำไปสู่การขัดคำสั่งของทหารฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรุกเนวิลล์


ทหารแคนาดาเดินตามหลังรถถังมาร์ก 1 ของอังกฤษ ระหว่างยุทธภูมิเนินวิมีตลอดช่วงเวลาปี 1915-1917 จักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศสได้รับความสูญเสียหนักกว่ากองทัพเยอรมันมากนัก ด้านยุทธศาสตร์ กองทัพเยอรมันใช้วิธีโหมกระหน่ำโจมตีครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวที่ป้อมเปเดิง ขณะที่กองทัพพันธมิตรได้พยายามหลายครั้งเพื่อที่จะโจมตีผ่านแนวของเยอรมัน ด้านยุทธวิธี หลักการตั้งรับของเยอรมันนั้นเหมาะสมกับกลยุทธ์สนามเพลาะอย่างยิ่ง ด้วยการที่ปล่อยให้แนวสนามเพลาะที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าป้องกันแนวหน้าส่วนที่ไม่สำคัญ ส่วนตำแหน่งหลักนั้นทำให้สามารถโจมตีกลับได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง[34] การผสมผสานนี้ทำให้เยอรมนีสามารถผลักดันกองทัพพันธมิตรให้ถอยออกไปได้โดยสูญเสียทหารน้อยกว่าอีกฝ่ายมาก และเมื่อเวลาผ่านไป ความสูญเสียของฝ่ายเยอรมนีเมื่อเทียบกับฝ่ายพันธมิตรแล้ว จึงพบว่าน้อยอย่างน่าอัศจรรย์

ทหารของจักรวรรดิอังกฤษราว 800,000 คนนั้นทำการรบอยู่บนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ กว่า 1,000 กองพันได้ตั้งเรียงเป็นแนวยาวเผชิญหน้ากับแนวสนามเพลาะของเยอรมนีตั้งแต่ทะเลเหนือลงมาจนถึงแม่น้ำออนี ทำให้เกิดระบบหมุนเวียน เว้นแต่ว่าอยู่ระหว่างการโจมตี แนวหน้าของฝ่ายพันธมิตรนั้นเป็นแนวสนามเพลาะยาวกว่า 9,600 กิโลเมตร กองพันแต่ละกองมีหน้าที่ที่จะรักษาแนวสนามเพลาะนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะเปลี่ยนเวร และถอยกลับไปยังแนวสนับสนุนหลังแนวรบ วิธีการนี้ใช้มากในเขตโปเปอร์รีนและอเมนส์ของเบลเยี่ยม

ในปี 1917 ยุทธภูมิแอเรซนั้นเป็นแค่เพียงชัยชนะทางทหารของอังกฤษซึ่งสามารถยึดเนินวีมีได้สำเร็จเพียงครั้งเดียว ภายใต้คณะทหารแคนาดาภายใต้การบังคับบัญชาของเซอร์ อาเธอร์ คูรี่และจูเลี่ยน บียง ฝ่ายโจมตีสามารถรุกได้สำเร็จเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ทำการสนับสนุนอย่างรวดเร็วและสามารถยึดครองแคว้นบูไอซึ่งมีทรัพยากรถ่านหินเป็นจำนวนมาก[35][36]

[แก้] สงครามทางทะเลดูบทความหลักได้ที่ กลยุทธ์ทางทะเลในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง


กองเรือรบประจัญบานแห่งกองเรือทะเลหลวงในมหาสมุทรแอตแลนติกในตอนเริ่มต้นของสงคราม จักรวรรดิเยอรมนีนั้นมีเรือลาดตระเวนเป็นจำนวนประปราย แต่อยู่ทั่วทั้งโลก ในภายหลังกองทัพเรือเยอรมันได้ใช้เรือรบดังกล่าวเพื่อการจมเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตร กองทัพเรืออังกฤษนั้นได้พยายามตามล่าเรือรบเหล่านี้อย่างเป็นระบบ แต่ว่ากองเรือเหล่านี้มีความอับอายเนื่องจากเรือรบเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันเรือพาณิชย์ได้ จึงได้มีการกระทำบางประการ เช่น มีเรือลาดตระเวนเบาอันสันโดษของเยอรมัน "เอมเดน" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองเรือเอชียตะวันออก ประจำการอยู่ในเมืองท่าซิงเทา ถูกเผาและพ่อค้า 15 ตนบนเรือเสียชีวิต รวมไปถึงการจมเรือลาดตระเวนเบาของรัสเซียและเรือพิฆาตฝรั่งเศสอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดใหญ่โตของกองเรือเอเชียตะวันออกของเยอรมัน-ซึ่งประกอบด้วยเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะ Scharnhorst และ Gneisenau เรือลาดตระเวนเบา Nürnberg และ Leipzig และเรือบรรทุกอีกสองลำ- นั้นมิได้รับคำสั่งให้เข้าปล่นเรือสินค้าฝ่ายพันธมิตรแต่อย่างใด และกำลังเดินทางกลับสู่เยอรมนีเมื่อกองเรือเหล่านี้ปะทะเข้ากับกองเรืออังกฤษ กองเรือเล็กเยอรมัน พร้อมด้วยเรือเดรสเดน ได้จมเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะไปสองลำในยุทธนาวีโคโรเนลแต่ว่ากองเรือดังกล่าวก็เกือบจะถูกทำลายจนสิ้นในยุทธนาวีหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ในเดือนธันวาคม 1914 เหลือเพียงเรือเดรสเดนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้[37]

ไม่นานหลังจากการรบทางทะเลเริ่มต้น อังกฤษก็ได้ทำการปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนี ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่พิสูจน์ว่าได้ผลในสงครามครั้งนี้ การปิดล้อมได้ตัดเสบียงและทรัพยากรของเยอรมนี แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการละเมิดประมวลกฤหมายนานาชาติซึ่งถูกร่างขึ้นโดยทั้งสองประเทศก็ตาม[38] กองทัพเรืออังกฤษยังได้วางทุ่นระเบิดตามนานน้ำสากลเพื่อป้องกันมิให้กองเรือใดๆ เข้าออกเขตมหาสมุทร ซึ่งเป็นอันตรายแม้แต่กับเรือของประเทศที่เป็นกลาง[39] และเนื่องจากอังกฤษไม่ออกมารับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดจากยุทธวิธีนี้ เยอรมนีจึงได้กระทำแบบเดียวกันกับกลยุทธ์เรือดำน้ำของตนเช่นกัน[40]


เรือรบหลวงไลออนระหว่างยุทธนาวีคาบสมุทรจัตแลนด์ ภายหลังถูกระดมยิงอย่างหนักจากเรือรบเยอรมันปี 1916 ยุทธนาวีแห่งคาบสมุทรจัตแลนด์ (ภาษาเยอรมัน: "Skagerrakschlacht", หรือ "Battle of the Skagerrak") ได้กลายเป็นยุทธนาวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งนี้ ซึ่งเป็นการปะทะกันเต็มอัตราศึกของกองทัพเรือทั้งสองฝ่าย ซึ่งกินเวลาตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 1916 บริเวณทะเลเหนือห่างจากคาบสมุทรจัตแลนด์ กองเรือทะเลหลวงของกองทัพเรือเยอรมันบัญชาการโดยพลเรือโท Reinhard Scheer เผชิญหน้ากับกองเรือหลวงของกองทัพเ<


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-03 19:49:15

nitiwat
#42
03-04-2011 - 19:48:58

#42 nitiwat  [ 03-04-2011 - 19:48:58 ]





ถ้าอยากรู้เรื่อง กรีก โรมมัน ยุคกลาง จะได้ใหมนะ



pplammm
#43
03-04-2011 - 19:50:00

#43 pplammm  [ 03-04-2011 - 19:50:00 ]





pplammm
#44
03-04-2011 - 19:54:00

#44 pplammm  [ 03-04-2011 - 19:54:00 ]




โรมโบราณหนึ่งในสัญลักษณ์ของโรมคือ โคลอสเซียม ซึ่งเป็นทวีอัฒจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาในจักรวรรดิโรมัน เดิมทีนั้นมีที่นั่งที่จุผู้ชมได้ 60,000 คน ใช้เป็นสถานที่จัดการประลองของนักต่อสู้ โบราณสถานอื่นๆ ตั้งแต่สมัยโรมโบราณได้แก่ โรมันฟอรัม, Domus Aurea, แพนธีออน, คอลัมน์ทราจัน, Trajan's Market, สุสานใต้ดิน, Circus Maximus, Baths of Caracalla, Castel Sant'Angelo, Mausoleum of Augustus, Ara Pacis, Arch of Constantine, Pyramid of Cestius และบอกกาเดลลาเวริตะ

[แก้] ยุคกลางโรมเป็นเมืองที่มีโบราณสถานจากยุคกลางอยู่มากที่สุดเมืองหนึ่งในอิตาลี แต่โบราณสถานเหล่านี้มักจะถูกมองข้ามไป ตัวอย่างของโบสถ์จากยุค Paleochristian ได้แก่ มหาวิหารซานตามาเรียมายอเร และมหาวิหารเซนต์พอลนอกกำแพง (สร้างใหม่ครั้งใหญ่เมื่อศตวรรษที่ 19) ทั้งสองแห่งมีงานโมเสกอันทรงคุณค่าจากสมัยศตวรรษที่ 4 งานโมเสกและภาพปูนเปียกที่มีชื่อเสียงในยุคกลางช่วงถัดมาอยู่ที่โบสถ์ซันตามาเรียอินตรัสเตเวเร ซันตีกวัตโตโคโรนาตี และซันตาปรัสเซเด สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ในยุคกลางได้แก่หอคอยต่างๆ โดยหอคอยสองแห่งที่ใหญ่ที่สุดคือ ตอร์เรเดลเลมีลีซีเอ และตอร์เรเดย์กอนตี ทั้งสองแห่งอยู่ถัดจากโรมันฟอรัม นอกจากนี้ บันไดขนาดใหญ่ที่ทอดสู่โบสถ์ซันตามาเรียอินอาราโกเอลีก็สร้างขึ้นในยุคกลางเช่นกัน

[แก้] สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและบาโรก
เปียซซาเดลกัมปีโดกลีโอ ศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาโรมเคยเป็นศูนย์กลางในด้านศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาของโลก โดยเป็นรองเพียงฟลอเรนซ์เท่านั้น ผลงานสถาปัตยกรรมอันยอดเยี่ยมจากสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาคือ เปียซซาเดลกัมปีโดกลีโอ โดยไมเคิลแองเจโล ในยุคสมัยนี้ ตระกูลชนชั้นสูงในโรมหลายตระกูลได้สร้างที่อยู่อาศัยอันมั่งคั่งไว้ เช่น พระราชวัง Quirinal (ปัจจุบันเป็นที่ทำการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิตาลี) พระราชวังเวเนเซีย พระราชวังฟาร์เนเซ พระราชวังบาร์เบรีนี พระราชวังกีจี (ปัจจุบันเป็นที่ทำการของนายกรัฐมนตรีอิตาลี) พระราชวังสปาดา ปาลัซโซเดลลากันเชลเลเรีย และวิลลาฟาร์เนซีนา

จัตุรัสหลายแห่งในโรมถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและแบบบาโรก โดยจัตุรัสที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และตกแต่งอย่างหรูหราโออ่ามักจะประดับด้วยเสาโอเบลิสก์ ตัวอย่างของจัตุรัสที่สร้างขึ้นในสมัยนี้ได้แก่ จัตุรัสนาโวนา บันไดสเปน Campo de' Fiore จัตุรัสเวเนเซีย จัตุรัสฟาร์เนเซ เปียซซาเดลลาโรทอนดา และเปียซซาเดลลามีแนร์วา หนึ่งในตัวอย่างของผลงานศิลปะบารอกที่ดีที่สุดคือ น้ำพุเตรวี สร้างโดยนีโกลา ซัลวี พระราชวังแบบบารอกในศตวรรษที่ 17 แห่งอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ พระราชวังมาดามา ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวุฒิสภาอิตาลี และพระราชวังมอนเตชีโตรีโอ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Chamber of Deputies of Italy

[แก้] ลัทธิคลาสสิกใหม่
ปีอัซซาเดลโปโปโล สถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกใหม่
อนุสาวรีย์พระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่สองใน พ.ศ. 2413 โรมได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลีที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ ในยุคสมัยดังกล่าว รูปแบบการก่อสร้างแบบคลาสสิกใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมสมัยโบราณ ได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อสถาปัตยกรรมในโรม อาคารแบบคลาสสิกใหม่หลายแห่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ตั้งของกระทรวง สถานเอกอัครราชทูต และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ สัญลักษณ์ของลัทธิคลาสสิกใหม่ในโรมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งคือ อนุสาวรีย์พระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่สอง หรือ "แท่นบูชาแห่งปิตุภูมิ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานทหารนิรนามที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชาวอิตาเลียน 650,000 คนที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สอง

[แก้] สถาปัตยกรรมฟาสซิสต์ระบอบฟาสซิสต์ที่มีอำนาจในอิตาลีระหว่าง พ.ศ. 2465-2486 ได้พัฒนารูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมโรมันโบราณ พื้นที่ของสถาปัตยกรรมแบบฟาสซิสต์ที่สำคัญที่สุดในโรม คือ E.U.R. ออกแบบเมื่อ พ.ศ. 2481 โดยมาร์เชลโล เปียเชนตีนี แรกเริ่มนั้นตั้งใจให้เป็นสถานที่จัดงาน 1942 World Exhibition และถูกเรียกว่า "E.42" ("เอสโปซีซีโอเน 42") แต่งานดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกจัดขึ้นเนื่องจากอิตาลีเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองใน พ.ศ. 2483 ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของอาคารแบบฟาสซิสต์ใน E.U.R. คือ ปาลัซโซเดลลาชีวิลตะอีตาเลียนา (2481-2486) ซึ่งมีรูปทรงเป็นลูกบาศก์หรือโคลอสเซียมแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส

[แก้] น้ำพุและลำรางส่งน้ำ
น้ำพุเตรวี
ฟอนตานาเดลลักกวาปาโอลาโรมมีชื่อเสียงจากน้ำพุหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบต่างๆ กัน ทั้งแบบคลาสสิก ยุคกลาง บาโรก ไปจนถึงคลาสสิกใหม่ น้ำพุในโรมริเริ่มสร้างมาตั้งแต่เมื่อราวสองพันปีก่อน โดยใช้สำหรับแจกจ่ายน้ำดื่มและเพื่อประดับตกแต่งจัตุรัสต่างๆ ในยุคสมัยของจักรวรรดิโรมัน ราว พ.ศ. 632 บันทึกของ Sextus Julius Frontinus กงสุลโรมันผู้ได้รับขนานนามว่า curator aquarum หรือผู้พิทักษ์น้ำแห่งนคร ได้กล่าวไว้ว่า โรมมีลำรางส่งน้ำอยู่เก้ารางสำหรับแจกจ่ายน้ำให้น้ำพุ 39 แห่งและแหล่งน้ำสาธารณะอีก 591 แห่ง โดยไม่นับรวมน้ำที่ส่งไปยังพระราชวัง โรงอาบน้ำ และบ้านพักส่วนตัว น้ำพุที่สำคัญแต่ละแห่งจะเชื่อมต่อกับลำรางส่งน้ำแห่งละสองราง เพื่อสำรองไว้ในกรณีที่รางใดรางหนึ่งหยุดแจกจ่ายน้ำ[15] ในระหว่างศตวรรษที่ 17-18 เหล่าพระสันตะปาปาที่ดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาดังกล่าวได้ทรงบูรณะลำรางส่งน้ำสมัยโรมันที่ทรุดโทรม และสร้างน้ำพุใหม่เพื่อประกาศอาณาเขตแห่งอำนาจ จึงถือว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุคทองแห่งน้ำพุในโรม น้ำพุในโรมสะท้อนให้เห็นศิลปะบาโรกในรูปแบบใหม่เช่นเดียวกับภาพวาดของรูเบนส์ โดยประดับไปด้วยองค์ประกอบในเชิงอุปมาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และการเคลื่อนไหว สำหรับน้ำพุเหล่านี้ รูปสลักได้กลายเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำถูกใช้เพื่อทำให้รูปสลักดูเสมือนมีชีวิตและสวยงามมากขึ้น นอกจากนี้ น้ำพุเหล่านี้ยังคล้ายกับสวนแบบบาโรกในด้านของการเป็น "สัญลักษณ์แห่งความเชื่อมั่นและอำนาจ"[16]

[แก้] เสาโอเบลิสก์และคอลัมน์
คอลัมน์ทราจัน หรือ "โคลอนนาตรายานา" ในภาษาอิตาเลียน เป็นเสาคอลัมน์สมัยโรมันโบราณ
เสาโอเบลิสก์ "โซลาเร" ในปีอัซซามอนเตชีโตริโอในโรมมีเสาโอเบลิสก์สมัยอียิปต์โบราณแปดต้น และสมัยโรมันโบราณห้าต้น นอกจากนี้ยังมีเสาโอเบลิสก์ยุคใหม่อีกจำนวนหนึ่ง และยังเคยมีเสาโอเบลิสก์สมัยเอธิโอเปียโบราณตั้งอยู่อีกด้วย[17] เสาโอเบลิสก์บางต้นตั้งอยู่ในจัตุรัส เช่น จัตุรัสนาโวนา จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ จัตุรัสมอนเตชีโตรีโอ ปีอัซซาเดลโปโปโล และบางต้นตั้งอยู่ในบ้านพัก โรงอาบน้ำ และสวน เช่นในวิลลาเชลีมอนตานา Baths of Diocletian และ Pincian Hill นอกจากนี้ ในตัวเมืองยังเป็นที่ตั้งของคอลัมน์ทราจันและ Antonine Column ซึ่งเป็นเสาคอลัมน์สมัยโรมันโบราณ

[แก้] สะพานในตัวเมืองโรมมีสะพานที่มีชื่อเสียงหลายแห่งทอดข้ามแม่น้ำไทเบอร์ ตัวอย่างเช่น สะพานเชสตีโอ สะพานมิลวีโอ สะพานโนเมนตาโน สะพานซันตันเจโล สะพานวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่สอง สะพานซิสโต และปอนเตเดอีกวัตโตรคาปี ปัจจุบันมีสะพานสมัยโรมันโบราณทั้งหมดห้าแห่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโรม[18] สะพานในพื้นที่สาธารณะส่วนใหญ่ในโรมสร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบคลาสสิกหรือแบบสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา แต่ก็มีบางส่วนที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบบารอก คลาสสิกใหม่ หรือนวศิลป์ ตามข้อมูลใน Encyclopædia Britannica สะพานโบราณที่จัดว่างดงามที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในโรม คือ สะพานซันตันเจโล ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 678 ต่อมาได้ประดับด้วยรูปสลักเทวทูตสิบรูปที่ออกแบบโดยจานลอเรนโซ เบร์นินี เมื่อ พ.ศ. 2231[19]


สะพานซันตันเจโล ทอดตัวสู่กัสเตลซันตันเจโล
สะพานวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่สอง[แก้] สุสานใต้ดินโรมมีสุสานโบราณใต้ดินอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งข้างใต้ตัวเมืองและใกล้ตัวเมือง โดยมีอยู่อย่างน้อยสี่สิบแห่ง และบางแห่งเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา สุสานที่มีชื่อเสียงมักจะเป็นสุสานของคริสตศาสนิกชน แต่ก็มีสุสานของชาวเพเกินและชาวยิวอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นสุสานที่แยกต่างหากจากกัน หรือฝังอยู่รวมกันก็ได้ สุสานใต้ดินขนาดใหญ่แห่งแรกถูกขุดขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ 2 แรกเริ่มนั้นสุสานเหล่านี้จะสลักเข้าไปในหินเถ้าภูเขาไฟที่ไม่แข็งนัก โดยจะขุดไว้นอกเขตเมืองเนื่องจากกฎหมายสมัยโรมันห้ามไม่ให้สร้างสิ่งก่อสร้างใต้ดินภายในเขตเมือง ปัจจุบันการบำรุงรักษาสุสานใต้ดินเป็นพระกรณียกิจของพระสันตะปาปา

[แก้] เศรษฐกิจประชากรในเขตของโรมผลิตจีดีพีได้ประมาณ 6.7% ของจีดีพีรวมทั้งประเทศ (97 พันล้านยูโร) อุตสาหกรรมหลักของโรมคือการท่องเที่ยว นอกจากนี้โรมยังเป็นศูนย์กลางการธนาคาร การพิมพ์ การประกันภัย และแฟชั่น
เดรดิตhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A1#.E0.B8.A2.E0.B8.B8.E0.B8.84.E0.B8.81.E0.B8.A5.E0.B8.B2.E0.B8.87



นาe Lชิ่มLบอะ
#45
นาe Lชิ่มLบอะ
03-04-2011 - 19:55:25

#45 นาe Lชิ่มLบอะ  [ 03-04-2011 - 19:55:25 ]




บ๊ะ....โห ผมชอบ หย่วยเสนารักษ์ นะครับ ไม่ถือปืนแบกแต่กล่องยาไปช่วยพื่อน ครับ


The Sniper Death
#46
03-04-2011 - 19:56:49

#46 The Sniper Death  [ 03-04-2011 - 19:56:49 ]






รถถังเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่2

panzer 1

panzer 2

panzer 3

panzer 4

panzer 5 หรือ panther

tiger 1

tiger2 หรือ king tiger


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-03 19:57:51

nitiwat
#47
03-04-2011 - 19:57:25

#47 nitiwat  [ 03-04-2011 - 19:57:25 ]





ความรู้ที่

น่าศึกษา

ขอบคุณครับผม


nitiwat
#48
03-04-2011 - 19:58:39

#48 nitiwat  [ 03-04-2011 - 19:58:39 ]





มันมีรถถัง

ไทยเกอร์ด้วยนี้

เห็นว่าเป็นรถถังที่น่ากลัวที่สุดของเยอร์มันเลยนะ

จุดออ่นมันอยู่ที่หลังข้างใต้รถ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-03 20:31:18

onlinejames
#49
03-04-2011 - 20:01:27

#49 onlinejames  [ 03-04-2011 - 20:01:27 ]




เห็นเขาบอกว่า panzer นี่สุดยอดรถถังเลย


The Sniper Death
#50
03-04-2011 - 20:06:31

#50 The Sniper Death  [ 03-04-2011 - 20:06:31 ]






King Titger สุดยอดที่สุดครับ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-03 20:06:43

pplammm
#51
03-04-2011 - 20:06:41

#51 pplammm  [ 03-04-2011 - 20:06:41 ]




ยังไง ก็สู้น้องเครียร์ ไม่ได้หลอก ฮ่าๆ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-03 20:08:23

nitiwat
#52
03-04-2011 - 20:11:43

#52 nitiwat  [ 03-04-2011 - 20:11:43 ]





King Titger

จากที่ผมศึกษามา

เป็นรถถังที่ช้าที่สุดและกิน

นำมันเยอะที่สุด

เหมือเต่าคลานจากชายหาดและกว่าจะถึงทะเลครับ

แต่การยิงของมันนี่ต้องเรียกว่าเยี่ยมมากครับ

และเกราะนี่เป็นที่หนึ่งไม่แพ้ไทเกอร์


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-04 07:20:39

garin
#53
03-04-2011 - 23:38:59

#53 garin  [ 03-04-2011 - 23:38:59 ]






สรุปแล้วนี้เป็นกระทู้ใคร
แต่ไม่เป็นไรหลอกคุยกันได้ผมก็ชอบเรื่องแบบนี้ ถ้าอยากได้ประวัติศาสตรสงครามประเทศไหนผมจะหามาให้

ผมมีคลิปนี้มาฝาก มันเป็นเกมสงครามขั้นเทพที่เห็นแล้วอยากเล่น ขอบอกว่าสเปคมันอย่างโหด 20 จิค มั้ง (มีไว้เล่นที่บ้านแล้ว 555+ แต่โรตกระตุก)

มันคือเกม empire total war







แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-04 00:03:42

pplammm
#54
06-04-2011 - 15:39:30

#54 pplammm  [ 06-04-2011 - 15:39:30 ]




มัน ใช้แรม 2gb ขึ้นไป ท่าให้แน่ซัก 4gb กำลังดี
กร้าดจอ 512 ขึ้นไป แต่ต้องเป็นรุ่น จีฟอต 8600หรือ9800 ขึ้นไป ครับ


pplammm
#55
06-04-2011 - 15:40:38

#55 pplammm  [ 06-04-2011 - 15:40:38 ]




ไอ้ 20 จิดนี่มันพื้นที่ว่างที่ต้องใช้รึเปล่า


poonlooed
#56
29-04-2011 - 22:43:40

#56 poonlooed  [ 29-04-2011 - 22:43:40 ]




[quote=The Sniper Death]
quote : nitiwat

ไอคลิปที่สองมัน

เยอรมันกับโซเวียตไม่ใช้หรอครับ

สวีเดนโดนเยอรมันยึดแล้ว

ใช่ครับ เยอรมันบุกโซเวียต ที่ Stalingrad ด้วยปฏิบัติการบาร์บารอสซา
สาเหตุที่เยอรมันบุกโซเวียตแล้วแพ้ ในความเห็นของผมคิอ
1.สภาพอากาศ เพราะช่วงนั้นหน้าหนาวพอดี
2.การประมาทความสามารถของฝ่ายโซเวียต (โดยเฉพาะพลซุ่มยิงโซเวียต โค ตะ ระ เก่ง)


คือสไนของโซเวียดที่เล็งเเม่นน่ะครับ ผมว่าฮิตเลอร์ไม่น่าบุกรัสเซียเลยเพราะเป็นการสร้างศัตรู


poonlooed
#57
29-04-2011 - 22:50:12

#57 poonlooed  [ 29-04-2011 - 22:50:12 ]




[quote=นาe Lชิ่มLบอะ]
quote : nitiwat

ในความคิดผมอีกแง่นึงนะ
เยอร์มันน่าจะจับมือกับโซเวียตช่วยกันคลองโลกนะครับ
จะดีกว่าและถ้าผมเดานะถ้าสองประเทศนี้ได้เป็นพันธมิตรกัน
อาจจะชนะอเมริกาง่ายๆเลยมั้งและถ้าอังกกฤษก็แค่ฉีกกระดาษเอง

ถ้าถึงปัจจุบันคือทั้งโลกต้องปกคลองเผด็จการแน่นอน




ถ้าเยอรมันกับรัสเยจับมือกันคง..... ชนะแน่



เห็นด้วยครับ



ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ