เมื่อออตโต ฟอน บิสมาร์ก ผู้นำในการรวมชาติเยอรมนี นำเยอรมนีจนได้รับชัยชนะในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย และประกาศสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1870 แล้ว จึงได้ดำเนินการตั้งสันนิบาตสามจักรพรรดิ (The Three Emperor's League) ซึ่งแสดงความเป็นพันธมิตรระหว่าง 3 จักรวรรดิของยุโรป ได้แก่ เยอรมนี จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิรัสเซีย ด้วยเจตนาสำคัญประการแรกคือ ป้องกันการแก้แค้นของฝรั่งเศส ภายหลังเมื่อออสเตรีย-ฮังการีและรัสเซียขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กันจนมิอาจเป็นพันธมิตรต่อกันได้ บิสมาร์กจึงชักชวนอิตาลีเข้าแทนที่รัสเซีย จึงเกิดเป็นกลุ่มไตรพันธมิตร (The Triple Alliance) ขึ้น[2]
ครั้นบิสมาร์คหมดอำนาจลง จักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 ทรงเลิกนโยบายเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และสร้างความไม่พอใจให้สหราชอาณาจักรด้วยการเริ่มโครงการขยายกองทัพเรือ เพื่อใช้ในการขยายดินแดนและอิทธิพลในซีกโลกตะวันออก ฝรั่งเศสจึงได้โอกาสเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซียและเข้าใจอันดีกับอังกฤษ และในที่สุดเมื่อทั้งสามมหาอำนาจตกลงในความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมที่เคยมีต่อกันได้แล้ว จึงจัดตั้งกลุ่มไตรภาคี (Triple Entente) ในปี ค.ศ. 1907[2]
วันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1914 กัฟรีโล ปรินซีป นักเรียนชาวเซิร์บบอสเนีย ได้ลอบปลงพระชนม์ อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่เมืองซาราเยโว ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มบอสเนียหนุ่ม โดยมีเป้าหมายที่จะรวมชาวยูโกสลาฟ หรือสลาฟใต้เข้าไว้ด้วยกัน และประกาศเอกราชจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เหตุการณ์การลอบสังหารนี้ได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ลุกลามต่อมาจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ[9] กล่าวคือ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีต้องการให้เซอร์เบียลงโทษผู้กระทำผิดแต่เซอร์เบียปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามต่อเซอร์เบีย ทำให้มหาอำนาจยุโรปจำนวนมากต้องเข้าสู่สงครามภายในหนึ่งสัปดาห์เนื่องจากข้อตกลงการป้องกันร่วมกัน และการเข้าแทรกแซงสงครามของประเทศพันธมิตรของตน
[แก้] การแข่งขันการสะสมอาวุธ
เรือประจัญบานชั้นเดรตนอทของกองทัพเรืออังกฤษดูเพิ่มที่ เรือประจัญบานชั้นเดรตนอท
การแข่งขันแสนยานุภาพทางทะเลระหว่างอังกฤษและเยอรมนีนั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อกองทัพเรืออังกฤษสร้างเรือประจัญบานชั้นเดรตนอท ซึ่งเป็นเรือประจัญบานขนาดหนักได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1906 การคิดค้นเรือดังกล่าวนับเป็นการปฏิวัติทั้งขนาดและพลังอำนาจที่เหนือกว่าเรือประจัญบานธรรมดาอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น อังกฤษยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำทางทะเลได้เหนือกว่าเยอรมนีและอิตาลี พอล เคเนดี้ได้ชี้ว่าทั้งสองประเทศมีความเชื่อว่า แนวคิดของอัลเฟรด เทย์เลอร์ มาฮานเกี่ยวกับการบัญชาการรบทางทะเลว่าเป็นความสำคัญต่อสถานภาพของประเทศอย่างมาก แต่การผ่านการจารกรรมทางพาณิชย์อาจพิสูจน์ว่าแนวคิดของเขาอาจจะผิดก็เป็นได้
เดวิด สตีเวนสัน นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวบริเตน ได้กล่าวถึงการแข่งขันการสะสมอาวุธว่าเป็น "การสร้างเสริมตัวเองเป็นวงกลมแห่งการเตรียมความพร้อมด้านการทหารอย่างแรงกล้า"[10] เดวิด เฮอร์มันน์ได้มองการแข่งขันแสนยานุภาพทางทะเลว่าเป็นหลักที่จะชี้ชะตาทิศทางของสงคราม[11] อย่างไรก็ตาม ไนอัล เฟอร์กูสัน นักประวัติศาสตร์ชาวสก็อต ได้โต้แย้งว่า ความสามารถของอังกฤษที่จะรักษาความเป็นผู้นำทางการทหารไว้มิได้เป็นปัจจัยของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา[12]
อังกฤษและเยอรมนีต่างใช้จ่ายเงินในการแข่งขันสะสมอาวุธเป็นจำนาวนมาก จากสถิติแล้ว หกชาติมหาอำนาจยุโรป อันได้แก่ อังกฤษ จักรวรรดิรัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนี จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและอิตาลี ได้ใช้งบประมาณเพื่อการแข่งขันการสะสมอาวุธเพิ่มขึ้นถึง 50% เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปีค.ศ. 1908กับปี ค.ศ. 1913[13]
[แก้] แผนการ ความไม่ไว้วางใจและการประกาศระดมพล
แผนการชลีฟเฟ็น แผนการรุกรานฝรั่งเศสของเยอรมนีแนวคิดดังกล่าวถูกเสนอโดยนักปกครองจำนวนมากว่า แผนการระดมพลของเยอรมนี ฝรั่งเศสและรัสเซียนั้นได้ทำให้ความขัดแย้งขยายไปกว้างขึ้น ฟริทซ์ ฟิสเชอร์ได้กล่าวถึงความรุนแรงโดยเนื้อหาของแผนการชลีฟเฟ็นซึ่งได้แบ่งเอากองทัพเยอรมันต้องทำการรบทั้งสองด้าน การทำศึกทั้งสองด้านหมายความว่ากองทัพเยอรมันจำเป็นที่จะต้องรบให้ชนะศัตรูจากทางด้านหนึ่งอย่างรวดเร็วก่อนที่จะทำการรบกับศัตรูที่เหลือได้ แผนการดังกล่าวเรียกว่าเป็น "อุบายการตีกระหนาบ" เพื่อที่จะทำลายเบลเยี่ยมและทำให้กองทัพฝรั่งเศสกลายเป็นอัมพาตโดยการโจมตีอย่างรวดเร็วก่อนที่ฝรั่งเศสจะพร้อมระดมพล หลังจากได้ชัยชนะแล้ว กองทัพเยอรมันจะเคลื่อนไปยังทิศตะวันออกโดยทางรถไฟและทำลายกองทัพรัสเซียซึ่งระดมพลได้อย่างเชื่องช้า[14]
แผนการที่สิบเจ็ดของฝรั่งเศสมีจุดประสงค์ที่จะส่งกองทัพของตนเข้าเป็นยึดครองหุบเขารูร์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรมของเยอรมนี ซึ่งทางทฤษฏีแล้วจะเป็นการทำให้เยอรมนีหมดสภาพที่จะทำสงครามสมัยใหม่ต่อไป
ส่วนแผนการที่สิบเก้าของจักรวรรดิรัสเซียมีเป้าหมายที่จะมองการณ์ไกลและระดมกองทัพของตนเพื่อต่อต้านทั้งจักรรวรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรรวรดิเยอรมนี[15][16]
แผนการของทั้งสามประเทศได้ก่อให้เกิดบรรยากาศซึ่งต้องทำให้ได้มาซึ่งชัยชนะอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะสามารถกุมชัยชนะได้ ทุกฝ่ายต่างมีตารางเวลาซึ่งถูกคำนวณอย่างละเอียดลออ เมื่อมีการระดมพลเกิดขึ้น โอกาสที่จะถอยหลังก็หมดสิ้นไปแล้ว ความล่าช้าทางการทูตและการคมนาคมขนส่งที่เลวส่งผลทำให้แผนการเหล่านี้ประสบความติดขัดหรือหยุดชะงัก และเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ แผนการของทั้งสามประเทศนี้เป็นปฏิบัติการเชิงรุก ซึ่งทำให้ต้องมีการพัฒนาความสามารถในการป้องกันและการขุดสนามเพลาะเพื่อการป้องกันประเทศ[17][18][19][20]
[แก้] ลัทธินิยมทหารและเอกาธิปไตยประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกาและคนอื่น ๆ ได้มีความเห็นว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอาจเกิดจากลัทธินิยมทหาร[21] บางคนอาจโต้เถียงว่าเป็นเพราะการปกครองแบบอภิชนาธิปไตย และสำหรับพวกนายทหารชั้นสูงในกองทัพมีอำนาจมากมายดังเช่นในประเทศอย่างเยอรมนี รัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ผู้ซึ่งเห็นว่าสงครามเป็นโอกาสทองที่พวกเขาจะสามารถได้รับตอบสนองความต้องการเพื่ออำนาจทางการทหารและดูถูกการปกครองแบบประชาธิปไตย[22] โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นอย่างโดดเด่นในโฆษณาต่อต้านเยอรมนี เนื่องจากว่าผู้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวได้เรียกร้องให้มีการสละราชสมบัติของผูนำประเทศ อย่างเช่น สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี รวมไปถึงการกำจัดพวกชนชั้นสูงซึ่งมีส่วนร่วมในการปกครองของยุโรปมาหลายศตวรรษรวมไปถึงลัทธินิยมทหารด้วย เวทีนี้ได้ให้เหตุผลอันสมควรแก่สหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อจักรวรรดิรัสเซียยอมจำนนเมื่อปี 1917[23][24]
ฝ่ายพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส มีการปกครองระบบประชาธิปไตย ได้ต่อสู้กับฝ่ายมหาอำนาจกลางซึ่งประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการีและจักรวรรดิออตโตมาน รวมไปถึงรัสเซีย พันธมิตรของอังกฤษและฝรั้งเศสเอง ยังคงมีการปกครองระบบจักรวรรดิจนกระทั่งถึงปี 1917-1918 แต่ก็ตรงกันข้ามกับการปราบปรามเชื้อชาติสลาฟของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยหลังฉากนี้ มุมมองของสงครามของหนึ่งในกลุ่มประชาธิปไตยกับการปกครองแบบเผด็จการมาตั้งแต่ก่อนสงครามนั้นดูสมเหตุสมผลและมีน้ำหนักพอสมควร แต่มุมมองเหล่านั้นได้สูญเสียความน่าเชื่อถือไปเรื่อย ๆ ขณะที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป
วิลสันนั้นหวังว่าสันนิบาตชาติและการปลดอาวุธนั้นจะช่วยให้สามารถธำรงสันติภาพให้คงอยู่กาลนาน โดยยืมแนวคิดมาจากเอช.อี.เวลส์ เขาได้อธิบายเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งว่าเป็น "สงครามเพื่อที่จะยุติสงครามทั้งมวล" เขายังหวังที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรของอังกฤษและฝร่งเศสตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีลัทธินิยมทหารอยู่บ้าง
[แก้] สมดุลแห่งอำนาจ
ภาพล้อเลียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุหนึ่งในเป้าหมายของประเทศมหาอำนาจก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็คือ การรักษา "สมดุลแห่งอำนาจ" ในทวีปยุโรป ทำให้ต่อมาได้กลายเป็นระบบที่ประณีตของข้อตกลงและสนธิสัญญาต่าง ๆ ทั้งต่อหน้า (เผยแพร่ต่อสาธารณชน) และลับหลัง (เป็นความลับ) ตัวอย่างเช่น หลังจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย อังกฤษก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เยอรมนีอันแข็งแกร่ง ซึ่งอังกฤษหวังว่าจะช่วยรักษาสมดุลกับศัตรูทางวัฒนธรรมของอังกฤษ นั่นคือ ฝรั่งเศส แต่ว่าภายหลังจากที่เยอรมนีเริ่มที่จะสร้างกองทัพเรือขึ้นมาแข่งขันกับอังกฤษ ก็ทำให้สถานภาพนี้เปลี่ยนไป ฝรั่งเศสผู้กำลังหาพันธมิตรใหม่เพื่อรักษาความปลอดภัยจากอันตรายของเยอรมนี คือ จักรวรรดิรัสเซีย ส่วนจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเผชิญกับภัยจากรัสเซีย ได้รับความช่วยเหลือจากเยอรมนี
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุ สนธิสัญญาเหล่านี้เป็นแค่ตัวตัดสินว่าพวกเขาจะเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายใด อังกฤษผู้ไม่มีสนธิสัญญาผูกพันกับฝรั่งเศสและรัสเซีย แต่ก็เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายพันธมิตร ทางด้านอิตาลีมีทั้งสนธิสัญญาผูกพันกับทั้งเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง กลับเป็นฝ่ายพันธมิตร บางที สนธิสัญญาที่น่าสังเกตที่สุดน่าจะเป็นสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกันระหว่างเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเยอรมนีได้ร่างขึ้นในปี 1909 โดยได้กล่าวไว้ว่า เยอรมนีจะยืนเคียงข้างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มสงครามก่อนก็ตาม[25]
[แก้] เศรษฐกิจลัทธิจักรวรรดินิยมวลาดีมีร์ เลนินได้ยืนยันว่าสาเหตุของสงครามนั้นตั้งอยู่บนจักรวรรดินิยม เขาได้กล่าวพรรณาถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของคาร์ล มาร์กซ และนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ จอห์น เอ. ฮอบสัน ซึ่งได้ทำนายว่าการแข่งขันอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อการขยายตลาดการค้านั้นจะนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับโลก[26] โดยเหตุผลดังกล่าวนั้นมีผู้เชื่อถือเป็นจำนวนมากและได้สนับสนุนการเจริญเติบโตของลัทธิคอมมิวนิสต์ เลนินยังได้กล่าวว่าความสนใจในการเงินของมหาอำนาจลัทธิทุนนิยม-จักรวรรดินิยมจำนวนมากได้ก่อให้เกิดสงคราม[27]
[แก้] การกีดกันทางการค้าคอร์เดล คูล ซึ่งเป็นเลขานุการของประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เชื่อว่าการกีดกันทางการค้าเป็นทั้งสาเหตุของทั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1944 เขาได้มีส่วนในการร่วมร่างระบบเบร็ตตัน วูดส์เพื่อลดการกีดกันทางการค้าและกำจัดสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง[28][29]
[แก้] การแข่งขันทางการเมืองและมนุษยชาติ
ความขัดแย้งของยุโรปในปี 1914
สีเหลือง: ประเทศเป็นกลาง
สีแดง: ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
สีเขียว:ฝ่ายพันธมิตรดูเพิ่มที่ ถังดินปืนของทวีปยุโรป
สงครามบนคาบสมุทรบอลข่านระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและเซอร์เบียนั้นถูกพิจารณาว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยอิทธิพลของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้เสื่อมถอยและการเจริญเติบโตของลัทธิรวมเชื้อชาติสลาฟ และความเจิรญขึ้นของลัทธิชาตินิยมภายในประจวบกับการเจริญเติบโตของเซอร์เบีย ซึ่งความรู้สึกต่อต้านชาวออสเตรียอาจจะมีความรุนแรงมากที่สุด จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้นได้ยึดครองแคว้นบอลเนีย-เฮอร์เซโกวิเนียของจักรวรรดิออตโตมาน ซึ่งมีจำนวนประชากรชาวเซิร์บเป็นจำนวนมากในปี 1878 และจากนั้นก็ได้ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในปี 1908 ความรู้สึกรักชาติที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับที่จักรวรรดิออตโตมาน รัสเซียนั้นได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อการรวมเชื้อชาติสลาฟ และกระตุ้นโดยมนุษยธรรมและความจงรักภักดีต่อศาสนาและการแข่งขันกับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีย้อนกลับไปยังสงครามไครเมีย เหตุการณ์ปัจจุบันอย่างเช่น สนธิสัญญาล้มเหลวระหว่างออสเตรีย-ฮังการีกับรัสเซีย และความฝันเก่าตั้งแต่ต้นศตวรรษเรื่องท่าเรือน้ำอุ่นก็ได้ถูกกระตุ้นในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก[30]
นอกจากในบอสเนียแล้ว ก็ยังมีเจตนาอยู่ในสถานที่อื่น ๆ อีกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการสูญเสียแคว้นอัลซาซและแคว้นลอร์เรนภายหลังสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียได้ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านในกลุ่มประชากรไปโดยปริยาย ในที่สุด ฝรั่งเศสก็ได้รัสเซียเป็นพันธมิตร และได้สร้างสิ่งที่ตั้งเค้าว่าจะกลายเป็นบศึกสองด้านกับเยอรมนี
[แก้] วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคมและการประกาศสงคราม
สาส์นประกาศสงครามของจักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 ของจักรวรรดิเยอรมนีในปี 1914รัฐบาลของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนี ได้ยกเอาเหตุผลของการลอบปลงพระชนม์ อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย เป็นการตั้งคำถามกับเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรีย-ฮังการีได้ยื่นคำขาดแก่เซอร์เบียโดยมีความต้องการสิบข้อ ซึ่งบางข้อนั้นเซอร์เบียเห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงปฏิเสธคำขาดข้อที่หก เซอร์เบียนั้นไว้ใจว่าตนจะได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากรัสเซีย จึงทำให้เกิดการปฏิเสธคำขาดบางกรณี และหลังจากนั้นก็มีการออกคำสั่งระดมพล จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้ตอบสนองโดยการประกาศสงครามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ในตอนเริ่มต้น กองทัพรัสเซียได้สั่งระดมพลเป็นบางส่วน มุ่งตรงมายังชายแดนของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม หลังจากที่กองเสนาธิการทั่วไปของรัสเซียได้ทูลแก่พระเจ้าซาร์ว่า การส่งกำลังบำรุงแก่ทหารเกณฑ์นันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงได้เปลี่ยนเป็นการระดมพลเต็มขนาดแทน แผนการชลีฟเฟ็นซึ่งมีเป้าหมายที่จะโจมตีสายฟ้าแลบต่อฝรั่งเศสนั้น ไม่สามารถให้รัสเซียสามารถระดมพลได้ นอกจากภายหลังกองทัพเยอรมันได้เข้าโจมตีแล้ว ดังนั้น เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม และฝรั่งเศสในอีกสองวันต่อมา หลังจากนั้นเยอรมนีก็ได้ฝ่าฝืนต่อความเป็นกลางของเบลเยี่ยมโดยการเดินทัพผ่านเพื่อไปโจมตีกรุงปารีส ซึ่งส่งผลให้จักรวรรดิอังกฤษเข้าสู่สงคราม ด้วยสาเหตุนี้ ห้าในหกประเทศมหาอำนาจของยุโรป จึงเข้ามาพัวพันอยู่ในความขัดแย้งวงกว้างภายในทวีปยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามนโปเลียน[31]
[แก้] เส้นทางของสงคราม[แก้] กระสุนนัดแรก[แก้] ความสับสนภายในฝ่ายมหาอำนาจกลางแผนการทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายมหาอำนาจกลางต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพของการคมนาคมและการสื่อสารระหว่างกัน เยอรมนีให้คำมั่นแก่ออสเตรีย-ฮังการีว่าตนจะช่วยสนับสนุนในการรุกรานเซอร์เบีย จึงทำให้เกิดความผิดใจกันในฝ่ายมหาอำนาจกลาง ออสเตรีย-ฮังการีนั้นเชื่อว่าเยอรมนีจะช่วยส่งกองทัพเข้ามาป้องกันประเทศทางชายแดนด้านทิศเหนือซึ่งติดกับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ออสเตรีย-ฮังการีได้มีความเห็นที่จะส่งกองทัพหลักของตนพุ่งเป้าไปยังรัสเซีย ขณะที่เยอรมนีจัดการกับประเทศฝรั่งเศส จากสาเหตุดังกล่าวได้สร้างความสับสนให้แก่กองทัพออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งจำเป็นต้องแบ่งกองทัพของตนเพื่อรบกับทั้งเซอร์เบียและรัสเซียทั้งสองด้าน
[แก้] เขตสงครามทวีปแอฟริกาดูบทความหลักได้ที่ เขตปฏิบัติการทวีปแอฟริกา (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)
ประกายแรกของสงครามก็ได้เข้ามาพัวพันกับอาณานิคมทั้งหลายของอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมนีในทวีปแอฟริกา เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1914 กองทัพอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้าโจมตีรัฐในอารักขาของเยอรมนี โตโกแลนด์ อีกสองวันต่อมา กองทัพเยอรมันในนามิเบียได้เข้าโจมตีแอฟริกาใต้ การรบในทวีปแอฟริกายังมีขึ้นอย่างประปรายและรุนแรงตลอดช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
[แก้] เขตสงครามเซอร์เบียดูบทความหลักที่ เขตปฏิบัติการเซอร์เบีย (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)
ทหารเซอร์เบียขณะข้ามแม่น้ำคาลูบาราระหว่างการรบกองทัพเซอร์เบียได้ต่อสู้กับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีผู้รุกรานระหว่างยุทธภูมิเซอร์ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ได้เข้ายึดตำแหน่งที่มั่นทางตอนใต้ของแม่น้ำดรินาและแม่น้ำซาวา อีกสองสัปดาห์ถัดมา กองทัพออสเตรีย-ฮังการีถูกโจมตีโต้กลับอย่างหนักประสบความเสียหายรุนแรง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะครั้งแรงของฝ่ายพันธมิตรและทำลายความหวังของกองทัพออสเตรีย-ฮังการีไปสิ้น ซึ่งทำให้กองทัพออสเตรีย-ฮังการีจำเป็นต้องรักษากองกำลังขนาดใหญ่ไว้ทางแนวรบเซอร์เบีย ซึ่งทำให้ความพยายามต่อต้านรัสเซียอ่อนแอลง กองทัพเซอร์เบียยังได้ชัยชนะเหนือกองทัพออสเตรีย-ฮังการีอีกครั้งในยุทธภูมิคาลูบารา
[แก้] กองทัพเยอรมันในเบลเยี่ยมและฝรั่งเศสดูบทความหลักที่ เขตปฏิบัติการฝรั่งเศส (1914)
ขบวนทหารม้าหนักฝรั่งเศสขณะเดินทัพไปยังแนวหน้า เดือนสิงหาคม 1914ในตอนเริ่มแรก กองทัพเยอรมันได้รับชันขนะใหญ่หลวงในยุทธภูมิแห่งชายแดน (14-24 สิงหาคม) อย่างไรก็ตาม รัสเซียได้โจมตีปรัสเซียตะวันออก ทำให้เยอรมนีจำเป็นต้องแบ่งกองทัพออกมาตั้งรับรัสเซียในแนวรบด้านตะวันออก แทนที่จะไปสนับสนุนกองทัพของตนในแนวรบด้านตะวันตก ด้านกองทัพเยอรมันก็ได้ชัยชนะเหนือกองทัพรัสเซียในการรบหลายคร้ง อย่างเช่น ยุทธภูมิทันเนนเบิร์กครั้งที่หนึ่ง (17 สิงหาคม - 2 กันยายน) แต่การรบในแนวรบด้านตะวันออกก็ต้องล่าช้าเนื่องจากความเร็วในการรุกเป็นไปอย่างเชื่องช้าและทางคมนาคมทางรถไฟของรัสเซียไม่ถูกค้นพบโดยกองเสนาธิการเยอรมัน แต่เดิม แผนการชลีฟเฟ็นได้มีเป้าหมายเพื่อให้ปีกขวาของกองทัพเยอรมันโจมตีเข้าสู่ทางตะวันตกของกรุงปารีส อย่างไรก็ตาม ด้วยความเชื่องช้าและความไร้ประสิทธิภาพของพาหนะม้าลากขัดขวางรถไฟขนเสบียงของเยอรมนี ทำให้กองทัพพันธมิตรสามารถหยุดยั้งการรุกของเยอรมนีได้ที่ ยุทธภูมิแม่น้ำมาร์นครั้งที่หนึ่ง (5-12 กันยายน) ฝ่ายมหาอำนาจกลางจึงสุญเสียความเร็วในการโจมตีและการโจมตีสายฟ้าแลบก็เริ่มประสบความล้มเหลว เนื่องจากเยอรมนีต้องสู้ศึกทั้งสองด้าน แต่ว่าทางด้านกองทัพเยอรมันก็ได้ประจำอยู่ในที่มั่นตั้งรับภายในฝรั่งเศสและสามารถสังหารทหารพันธมิตรได้มากกว่า 230,000 คน ด้วยการคมนาคมที่ไร้ประสิทธิภาพและการบัญชาการที่เป็นปัญหา เยอรมนีจำเป็นต้องชดใช้ด้วยการทำสงครามยืดเยื้อในอนาคต
[แก้] ทวีปเอเชียและแถบมหาสมุทรแปซิฟิกดูบทความหลักได้ที่ เขตปฏิบัติการทวีปเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิก (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)
นิวซีแลนด์ได้เข้ายึดครองซามัวตะวันตกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม เมื่อวันที่ 11 กันยายน ทหารเรือและกองทหารนอกประเทศของออสเตรเลีย ได้ขึ้นฝั่งบนเกาะนิว พัมเมิร์น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันนิวกินี ญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีดินแดนอาณานิคมของเยอรมนีในไมโครนิเซีย และภายในไม่กี่เดือน ดินแดนอาณานิคมโพ้นทะเลของเยอรมนีแถบมหาสมุทรแปซิฟิกก็ถูกกองทัพพันธมิตรยึดครองทั้งหมด
[แก้] แนวรบด้านตะวันตก: การรบแบบสนามเพลาะดูบทความหลักที่ แนวรบด้านตะวันตก (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)
ทหารเยอรมันเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1914ยุทธวิธีทางการทหารที่ใช้กันในกองทัพช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งล้าหลังกว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอยู่มากนัก ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้มีสิ่งก่อสร้างที่มีระบบการป้องกันที่เยี่ยมยอด ซึ่งยุทธวิธีการทหารอันล้าสมัยไม่สามารถโจมตีผ่านได้เป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ของสงคราม ลวดหนาม ประดิษฐกรรมเพื่อยับยังการโจมตีแบบคลื่นมนุษย์ ทางด้านปืนใหญ่ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็มีประสิทธิภาพร้ายแรงกว่าที่เคยใช้ในช่วงคริสต์ทษวรรษ 1870 มากนัก และเมื่อใช้ร่วมกับปืนกล ทำให้การเคลื่อนทัพผ่านพื้นที่เปิดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ด้านเยอรมนีได้คิดค้นก๊าซพิษและต่อมาก็ได้ใช้ในสงครามทั้งสองฝ่าย แม้ว่ามันจะไม่เคยพิสูจน์ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ได้รับชัยชนะเด็ดขาดในการรบ อย่างไรก็ตาม แก๊สพิษนั้นมีผลที่โหดร้าย และทำให้ความตายที่ตามมานั้นเชื่องช้าและทรมาน ก๊าซพิษจึงกลายเป็นอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดและเป็นความทรงจำอันเลวร้ายของสงคราม เหล่าผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายต่างก็ประสบความล้มเหลวในการพัฒนายุทธวิธีใหม่ ๆ เพื่อที่จะโจมตีผ่านแนวสนามเพลาะซึ่งเป็นที่มั่นอย่างดีสำหรับฝ่ายตั้งรับ ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงทุกครั้งที่เกิดการบุก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้คิดค้นยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการรุก อย่างเช่น รถถัง ซึ่งเดิมทีอังกฤษและฝรั่งเศสได้นำมาใช้ในสงคราม ส่วนเยอรมนีได้ยึดเอารถถังจำนวนหนึ่งจากฝ่ายพันธมิตรและประดิษฐ์ขึ้นเองอีกเล็กน้อย
ภายหลัง ยุทธภูมิแม่น้ำมาร์นครั้งที่หนึ่ง ทั้งฝ่ายพันธมิตรและเยอรมนีก็ได้เริ่มอุบายการตีขนาบปีกของกองทัพฝ่ายตรงข้าม เรียกว่า "การแข่งขันสู่ทะเล" อังกฤษและฝรั่งเศสพบว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพเยอรมันที่อยู่ในเขตที่มั่นอย่างมั่นคงเป็นแนวยาวตั้งแต่แคว้นลอร์เรนของฝรั่งเศสไปจนถึงเขตทุ่งฟแลนดีสของเบลเยี่ยมติดกับทะเลเหนือ ด้านอังกฤษและฝรั่งเศสได้พยายามที่จะเริ่มการโจมตี ขณะที่เยอรมนีได้ทำการตั้งรับอย่างเข้มแข็งในดินแดนยึดครอง ในด้านยุทธวิธี โดยรวมแล้ว สนามเพลาะของเยอรมนีมีประสิทธิภาพเหนือกว่าสนามเพลาะของฝ่ายพันธมิตรมากนัก ขณะที่แนวสนามเพลาะของฝ่ายพันธมิตร เดิมทีได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นแนวชั่วคราวสำหรับเตรียมการโจมตีผ่านแนวรบของเยอรมนีเท่านั้น[32] ทั้งสองฝ่ายได้พยายามที่จะรบโดยการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการรบมากขึ้น ในเดือนเมษายน 1915 ฝ่ายเยอรมนีเริ่มใช้ก๊าซคลอรีนเป็นครั้งแรก (ซึ่งเป็นการละเมิด การประชุมกรุงเฮก) และได้เปิดแนวรบพันธมิตรเป็นช่องยาวกว่า 6 กิโลเมตรเมื่อกองทัพพันธมิตรได้ถอนตัวออกไป จากนั้นกองทัพแคนาดาได้เข้ามาอุดช่องโหว่ที่ยุทธภูมิอีพรีครั้งที่สอง และในยุทธภูมิอีพรีครั้งที่สาม กองทัพแคนาดาและกองทัพผสมแอนแซ็กได้ยึดครองหมู่บ้านพาสเชลเดล
ทหารอังกฤษขณะเริ่มต้นการโจมตี ระหว่างยุทธการแห่งแม่น้ำซอมม์ ปี 1916วันที่ 1 กรกฎาคม 1916 เป็นวันแรกของยุทธการแม่น้ำซอมม์ กองทัพอังกฤษได้พบกับความสูญเสียที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ ความสูญเสียกว่า 57,470 นายและเสียชีวิตกว่า 19,240 นาย ความสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างชั่วโมงแรกของการรบ จนถึงตอนนี้การรุกของกองทัพอังกฤษในแนวรบด้านตะวันตกได้คร่าชีวิตทหารไปเกือบครึ่งล้านนายแล้ว[33]
ทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สามารถที่จะโจมตีผ่านแนวรบของอีกฝ่ายได้เป็นเวลากว่าสองปี แม้ว่าการทำศึกยืดเยื้อของเยอรมนีที่ป้อมเปเดิง ตลอดทั้งปี 1916 ประกอบกับความล้มเหลวของกองทัพพันธมิตรในแม่น้ำซอมม์ ทำให้กองทัพฝรั่งเศสใกล้ที่จะล่มสลายเต็มที การที่กองทัพฝรั่งเศสยังคงยึดมั่นในหลักการเดิม ๆ ในการใช้ทหารจำนวนมหาศาลนั้นเป็นวิธีที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง วิธีนี้ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสสูญเสียชีวิตทหารจำนวนสูงลิบและได้นำไปสู่การขัดคำสั่งของทหารฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรุกเนวิลล์
ทหารแคนาดาเดินตามหลังรถถังมาร์ก 1 ของอังกฤษ ระหว่างยุทธภูมิเนินวิมีตลอดช่วงเวลาปี 1915-1917 จักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศสได้รับความสูญเสียหนักกว่ากองทัพเยอรมันมากนัก ด้านยุทธศาสตร์ กองทัพเยอรมันใช้วิธีโหมกระหน่ำโจมตีครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวที่ป้อมเปเดิง ขณะที่กองทัพพันธมิตรได้พยายามหลายครั้งเพื่อที่จะโจมตีผ่านแนวของเยอรมัน ด้านยุทธวิธี หลักการตั้งรับของเยอรมันนั้นเหมาะสมกับกลยุทธ์สนามเพลาะอย่างยิ่ง ด้วยการที่ปล่อยให้แนวสนามเพลาะที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าป้องกันแนวหน้าส่วนที่ไม่สำคัญ ส่วนตำแหน่งหลักนั้นทำให้สามารถโจมตีกลับได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง[34] การผสมผสานนี้ทำให้เยอรมนีสามารถผลักดันกองทัพพันธมิตรให้ถอยออกไปได้โดยสูญเสียทหารน้อยกว่าอีกฝ่ายมาก และเมื่อเวลาผ่านไป ความสูญเสียของฝ่ายเยอรมนีเมื่อเทียบกับฝ่ายพันธมิตรแล้ว จึงพบว่าน้อยอย่างน่าอัศจรรย์
ทหารของจักรวรรดิอังกฤษราว 800,000 คนนั้นทำการรบอยู่บนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ กว่า 1,000 กองพันได้ตั้งเรียงเป็นแนวยาวเผชิญหน้ากับแนวสนามเพลาะของเยอรมนีตั้งแต่ทะเลเหนือลงมาจนถึงแม่น้ำออนี ทำให้เกิดระบบหมุนเวียน เว้นแต่ว่าอยู่ระหว่างการโจมตี แนวหน้าของฝ่ายพันธมิตรนั้นเป็นแนวสนามเพลาะยาวกว่า 9,600 กิโลเมตร กองพันแต่ละกองมีหน้าที่ที่จะรักษาแนวสนามเพลาะนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะเปลี่ยนเวร และถอยกลับไปยังแนวสนับสนุนหลังแนวรบ วิธีการนี้ใช้มากในเขตโปเปอร์รีนและอเมนส์ของเบลเยี่ยม
ในปี 1917 ยุทธภูมิแอเรซนั้นเป็นแค่เพียงชัยชนะทางทหารของอังกฤษซึ่งสามารถยึดเนินวีมีได้สำเร็จเพียงครั้งเดียว ภายใต้คณะทหารแคนาดาภายใต้การบังคับบัญชาของเซอร์ อาเธอร์ คูรี่และจูเลี่ยน บียง ฝ่ายโจมตีสามารถรุกได้สำเร็จเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ทำการสนับสนุนอย่างรวดเร็วและสามารถยึดครองแคว้นบูไอซึ่งมีทรัพยากรถ่านหินเป็นจำนวนมาก[35][36]
[แก้] สงครามทางทะเลดูบทความหลักได้ที่ กลยุทธ์ทางทะเลในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
กองเรือรบประจัญบานแห่งกองเรือทะเลหลวงในมหาสมุทรแอตแลนติกในตอนเริ่มต้นของสงคราม จักรวรรดิเยอรมนีนั้นมีเรือลาดตระเวนเป็นจำนวนประปราย แต่อยู่ทั่วทั้งโลก ในภายหลังกองทัพเรือเยอรมันได้ใช้เรือรบดังกล่าวเพื่อการจมเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตร กองทัพเรืออังกฤษนั้นได้พยายามตามล่าเรือรบเหล่านี้อย่างเป็นระบบ แต่ว่ากองเรือเหล่านี้มีความอับอายเนื่องจากเรือรบเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันเรือพาณิชย์ได้ จึงได้มีการกระทำบางประการ เช่น มีเรือลาดตระเวนเบาอันสันโดษของเยอรมัน "เอมเดน" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองเรือเอชียตะวันออก ประจำการอยู่ในเมืองท่าซิงเทา ถูกเผาและพ่อค้า 15 ตนบนเรือเสียชีวิต รวมไปถึงการจมเรือลาดตระเวนเบาของรัสเซียและเรือพิฆาตฝรั่งเศสอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดใหญ่โตของกองเรือเอเชียตะวันออกของเยอรมัน-ซึ่งประกอบด้วยเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะ Scharnhorst และ Gneisenau เรือลาดตระเวนเบา Nürnberg และ Leipzig และเรือบรรทุกอีกสองลำ- นั้นมิได้รับคำสั่งให้เข้าปล่นเรือสินค้าฝ่ายพันธมิตรแต่อย่างใด และกำลังเดินทางกลับสู่เยอรมนีเมื่อกองเรือเหล่านี้ปะทะเข้ากับกองเรืออังกฤษ กองเรือเล็กเยอรมัน พร้อมด้วยเรือเดรสเดน ได้จมเรือลาดตระเวนหุ้มเกราะไปสองลำในยุทธนาวีโคโรเนลแต่ว่ากองเรือดังกล่าวก็เกือบจะถูกทำลายจนสิ้นในยุทธนาวีหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ในเดือนธันวาคม 1914 เหลือเพียงเรือเดรสเดนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้[37]
ไม่นานหลังจากการรบทางทะเลเริ่มต้น อังกฤษก็ได้ทำการปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนี ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่พิสูจน์ว่าได้ผลในสงครามครั้งนี้ การปิดล้อมได้ตัดเสบียงและทรัพยากรของเยอรมนี แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นการละเมิดประมวลกฤหมายนานาชาติซึ่งถูกร่างขึ้นโดยทั้งสองประเทศก็ตาม[38] กองทัพเรืออังกฤษยังได้วางทุ่นระเบิดตามนานน้ำสากลเพื่อป้องกันมิให้กองเรือใดๆ เข้าออกเขตมหาสมุทร ซึ่งเป็นอันตรายแม้แต่กับเรือของประเทศที่เป็นกลาง[39] และเนื่องจากอังกฤษไม่ออกมารับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดจากยุทธวิธีนี้ เยอรมนีจึงได้กระทำแบบเดียวกันกับกลยุทธ์เรือดำน้ำของตนเช่นกัน[40]
เรือรบหลวงไลออนระหว่างยุทธนาวีคาบสมุทรจัตแลนด์ ภายหลังถูกระดมยิงอย่างหนักจากเรือรบเยอรมันปี 1916 ยุทธนาวีแห่งคาบสมุทรจัตแลนด์ (ภาษาเยอรมัน: "Skagerrakschlacht", หรือ "Battle of the Skagerrak") ได้กลายเป็นยุทธนาวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งนี้ ซึ่งเป็นการปะทะกันเต็มอัตราศึกของกองทัพเรือทั้งสองฝ่าย ซึ่งกินเวลาตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 1916 บริเวณทะเลเหนือห่างจากคาบสมุทรจัตแลนด์ กองเรือทะเลหลวงของกองทัพเรือเยอรมันบัญชาการโดยพลเรือโท Reinhard Scheer เผชิญหน้ากับกองเรือหลวงของกองทัพเ<
วิธีการ รบ แบบเก่า(แตกต่างกับสมัยนี้สุดๆ) เพิ่มเรป 53
pplammm | #41 03-04-2011 - 19:47:55 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
nitiwat | #42 03-04-2011 - 19:48:58 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
pplammm | #43 03-04-2011 - 19:50:00 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
pplammm | #44 03-04-2011 - 19:54:00 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
นาe Lชิ่มLบอะ | #45 03-04-2011 - 19:55:25 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
The Sniper Death | #46 03-04-2011 - 19:56:49 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
nitiwat | #47 03-04-2011 - 19:57:25 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
nitiwat | #48 03-04-2011 - 19:58:39 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
onlinejames | #49 03-04-2011 - 20:01:27 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
The Sniper Death | #50 03-04-2011 - 20:06:31 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
pplammm | #51 03-04-2011 - 20:06:41 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
nitiwat | #52 03-04-2011 - 20:11:43 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
garin | #53 03-04-2011 - 23:38:59 ![]() | ![]() ![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
pplammm | #54 06-04-2011 - 15:39:30 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
pplammm | #55 06-04-2011 - 15:40:38 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|
poonlooed | #56 29-04-2011 - 22:43:40 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() |
|
poonlooed | #57 29-04-2011 - 22:50:12 ![]() | ![]() ![]() | |||
![]() ![]() ![]() ![]() |
|
![]() | ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้ |


โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล] |