โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ชมรมลึกลับอับแล้ว9/12/53
เด็กซ่าบ้านแสบ
#41
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 08:06:16

#41 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 08:06:16 ]






หนึ่งในฉากวีดิทัศน์จำลองชีวประวัติมหาเมพครั้งจำลองกายเพื่อปกป้องมวลมนุษย์


majee852
#42
29-08-2010 - 15:45:04

#42 majee852  [ 29-08-2010 - 15:45:04 ]




quote : เด็กซ่าบ้านแสบ
ลักษณะแวมไพร์ หน้านตาหล่อเหมือนเทพพบุรสวยเหมือนนางฟ้าผิวขาวจั๋วตาแดงหรือนํ้าตาลทองเนื้อตัวเย็นเเชบแข้งแรงเร็วกว่าสายลม
ขอบคุณมากเลยนะค่ะที่เอาคำตอบมาให้เนี่ย


ItSuKi
#43
29-08-2010 - 16:09:41

#43 ItSuKi  [ 29-08-2010 - 16:09:41 ]




ข้อมูลมาจากเว็ปใหนหรอครับ ขอเว็ปหน่อยได้มั้ย อิอิ ชักติดไจ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#44
เด็กซ่าบ้านแสบ
04-09-2010 - 07:56:13

#44 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 04-09-2010 - 07:56:13 ]






หลายเว็บเลยล่ะพี่


nitkamon
#45
04-09-2010 - 19:05:28

#45 nitkamon  [ 04-09-2010 - 19:05:28 ]




น่ากลัวนะ ถ้าเกิดมีเเวมไพร์เเบบนี้จริงๆ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#46
เด็กซ่าบ้านแสบ
05-09-2010 - 20:21:10

#46 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 05-09-2010 - 20:21:10 ]






ท้าคุนโกแวมพายกัดก็เอะกะเทียมห้อยคอดิ


majee852
#47
16-09-2010 - 18:16:39

#47 majee852  [ 16-09-2010 - 18:16:39 ]




ชอบจังเลยเรื่องแวมไพร์ เนี่ย


izone1234
#48
16-09-2010 - 18:26:55

#48 izone1234  [ 16-09-2010 - 18:26:55 ]




เยติ (อังกฤษ: Yeti) หรือ มนุษย์หิมะ (อังกฤษ: The Abominable Snowman) [1] เยติ เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ในความเชื่อของชาวเชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาลและธิเบต โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้าย กอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำปกคลุมทั้งลำตัว โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ในบางครั้ง

เยติ ปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมของชาวเชอร์ปามาอย่างช้านาน โดยถูกกล่าวถึงในนิทานและเพลงพื้นบ้าน และเรื่องเล่าขานต่อกันมาถึงผู้ที่เคยพบมัน นอกจากนี้แล้วยังปรากฏในศิลปะของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบธิเบต โดยปรากฏเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดลามะอายุกว่า 300 ปี และปัจจุบันนี้ ก็มีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นหนังศีรษะของ เยติถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในวัดลามะแห่งหนึ่งในคุมจุง ซึ่งนับว่าเยติเป็นสัตว์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงยาวนานกว่าสัตว์ประหลาดที่มี ลักษณะคล้ายกันชนิดอื่นที่พบในอีกซีกโลก เช่น บิ๊กฟุต หรือ ซาสควอทช์

นอกจากคำว่าเยติแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่เรียกเยติ เช่น เธลม่า (Thelma), แปลว่า "ชายตัวเล็ก" เชื่อว่ามีนิสัยรักสงบ ชอบสะสมกิ่งไม้และชอบร้องเพลงขณะที่เดินไป, ดซูท์เทห์ (Dzuteh) เป็นเยติขนาดใหญ่ มีขนหยาบกร้านรุงรัง มีนิสัยดุร้ายชอบโจมตีใส่มนุษย์, มิห์เทห์ (Mith-teh) มีนิสัยคล้ายดซูท์เทห์ คือ ดุร้าย มีขนสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำ, เมียกา (Mirka) แปลว่า "คนป่า" เชื่อว่าหากมันพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ มันจะทำร้ายจนถึงแก่ความตาย, คัง แอดมี (Kang Admi) แปลว่า "มนุษย์หิมะ" และ โจบราน (JoBran) แปลว่า "ตัวกินคน" เป็นต้น

ซึ่งเรื่องราวของเยติที่โจมตีใส่มนุษย์นั้น ได้ถูกทำเป็นรายงานส่งไปยังเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ซึ่งปากคำของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกบันทึกโดยอาสาสมัครชาวอเมริกันที่ทำงานใน เนปาล โดยผู้ถูกทำร้ายเป็น เด็กหญิงชาวเชอร์ปาคนหนึ่ง โดยเธอบอกว่าขณะกำลังนำจามรีไปดื่มน้ำที่ลำธาร เยติตัวหนึ่งก็โผล่มาทำร้ายเธอ แต่เธอกรีดร้องลั่น จนมันปล่อยเธอ และหันไปทำร้ายจามรีของเธอจนมันถึงแก่ความตายด้วยการบิดเขาและหักคอเรื่อง ราวเยติเป็นที่สนใจของชาวตะวันตก เมื่อชาวตะวันตกได้เข้ามาบุกเบิกและยึดครองดินแดนแถบนี้ ได้มีการตามล่าและค้นคว้าเกี่ยวกับเยติ ซึ่งก็ได้พบกับหลักฐานการมีอยู่ของเยติมากมาย ทั้ง รอยเท้า, ขนและมูล และแม้กระทั้งประจักษ์พยานที่เคยได้พบเห็น ซึ่งโดยมากเป็นนักปีนเขา ซึ่งหลักฐานส่วนใหญ่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นรูปถ่าย โดยรูปถ่ายของรอยเท้าเยติรูปแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1921 โดยถ่ายไว้ได้ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,029 เมตร

มีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเยติไว้มากมาย เช่น เชื่อว่ามันอาจเป็นสัตว์ชนิดอื่นที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขานี้ เช่น หมีสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นหมีชนิดหนึ่งที่หาได้ยากมาก, เสือดาวหิมะ, อีกาปากแดง ที่มักจะทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นหิมะด้วยการกระโดด หรือแม้แต่เป็นชะนีขนาดใหญ่ แต่มีนักสัตววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับรอยเท้าของเยติ กล่าวว่า รอยเท้าของเยติบ่งว่า เยติมีเท้าที่ไม่เหมือนกับหมีหรือสัตว์ชนิดอื่นใดเลย นอกจากสัตว์ในอันดับไพรเมทอันเป็นอันดับเดียว กับ มนุษย์ และลิงไม่มีหาง แต่มีสิ่งที่แปลกออกไปคือ นิ้วเท้านิ้วที่ 2 มีขนาดใหญ่ และมีกระดูกอุ้งเท้าที่สั้นผิดปกติ ดูคล้ายกับเท้าของลิงยุคก่อนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gigantopithecus จึงทำให้เชื่อได้ว่า เยติอาจเป็นลิงชนิดนี้ที่เคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้ นอกจากนี้แล้วยังได้ข้อสรุปว่า เยติเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีโครงสร้างของร่างกายใหญ่และหนาทึบ และเดินด้วยสองขาหลังเหมือนมนุษย์

ในปี ค.ศ. 1960 เซอร์เอดมันด์ ฮิลลารี ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้เป็นคนแรกของโลก ได้กลับมายังเทือกเขาหิมาลัยอีกครั้ง พร้อมด้วยอุปกรณ์และลูกหาบมากมายเพื่อค้นหาเยติ แต่ทว่ากว่า 10 เดือนที่เขาต้องทนหนาวอยู่ที่นี่ ฮิลาลารีไม่ได้พบเจอเยติเลย เขาหัวเสียมากและประกาศลั่นว่า เยติไม่มีอยู่จริง

จากชื่อเสียงและปริศนาของเยติ ส่งผลให้มันกลายเป็นสิ่งที่มีค่าในเชิงการค้า จนเสมือนเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศเนปาล และเทือกเขาหิมาลัย เช่น สายการบินประจำชาติของเนปาลที่ชื่อ เยติแอร์ไลน์ และเป็นของโรงแรมชื่อ Yak and Yeti เป็นต้น (Yak หมายถึง จามรี)

นอกจากนี้แล้วยังปรากฏในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายอย่าง เช่น เป็นตัวละครในเกมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น Diablo II, World of Warcraft และเป็นตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2008 เป็นต้น


izone1234
#49
16-09-2010 - 18:27:08

#49 izone1234  [ 16-09-2010 - 18:27:08 ]




กล็อบสเตอร์ (อังกฤษ: globster)หรือบล็อบ เป็นซากอินทรีย์วัตถุซึ่งถูกซัดขึ้นมาตามชายฝั่งของมหาสมุทรหรือแหล่งน้ำ อื่น ลักษณะของกล็อบสเตอร์ก็คือต้องเป็นซากที่ยากจะระบุประเภทได้ว่าเป็นของสัตว์ ชนิดใด คำนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกโดยอีวาน ที. แซนเดอสัน ในปีพ.ศ. 2505 เพื่อใช้เรียกซากลึกลับที่เกยฝั่งทะเลด้านตะวันตกของรัฐแทสเมเนียในปีพ.ศ. 2503 ซึ่งซากนี้ "ไม่มีดวงตา ไม่มีส่วนหัว และไม่มีโครงกระดูก"

ลักษณะของกล็อบสเตอร์มักจะผิดจากลักษณะที่คนทั่วไปคุ้นเคยมากและมักทำให้ เป็นข้อถกเถียงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะสามารถระบุประเภทได้แล้ว กล็อบสเตอร์บางซากจะมีครีบ หนวดระยาง หรือกระดูกที่ทำให้สามารถคาดเดาประเภทได้ แต่บางครั้งก็ไม่มีลักษณะซึ่งสามารถระบุได้เลย กล็อบสเตอร์มักถูกเชื่อมโยงเข้ากับสัตว์ประหลาดในมหาสมุทรจึงเป็นสิ่งที่ผู้ ศึกษาสัตว์ลึกลับสนใจกันมาก

กล็อบสเตอร์จำนวนมากได้รับการระบุว่าเป็นซากของหมึกยักษ์ แต่ส่วนใหญ่แล้วต่อมาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นซากของวาฬหรือปลาฉลามขนาด ใหญ่ และบางครั้งก็เป็นชั้นไขมันที่หลุดออกจากซากของวาฬที่กำลังเน่า บางซากก็ได้รับการระบุว่าเป็นซากของเพลสซิโอซอร์ที่ต่อมาก็กลับเป็นซากของ ปลาฉลามบาสกิง แต่ก็มีกล็อบสเตอร์ที่ไม่สามารถระบุประเภทได้ต่อมาถึงปัจจุบันอยู่ด้วย ซึ่งกล็อบสเตอร์บางซากก็ได้เน่าเปื่อยจนไม่อาจพิสูจน์หรือใช้เป็นหลักฐานใน การพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ได้

นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาได้ทำการตรวจสอบดีเอ็นเอของนิวฟาวแลนด์บล็อบและ สามารถระบุได้ว่าเป็นเนื้อเยื่อของวาฬสเปิร์ม ซึ่งรายงานการวิจัยได้ระบุถึงความใกล้เคียงกันของนิวฟาวแลนด์บล็อบและ กล็อบสเตอร์อื่นๆ ทำให้เชื่อได้ว่าน่าจะมีต้นกำเนิดเดียวกัน

กล็อบสเตอร์ซากแรกที่มีรายงานการพบอย่างละเอียดก็คือ สัตว์ประหลาดแห่งเซนต์ออกุสติน ซึ่งพบที่ชายฝั่งใกล้กับเมืองเซนต์ออกุสติน รัฐฟลอริดา ในปีพ.ศ. 2439 โดยเมื่อแรกพบนั้นเชื่อว่าเป็นซากของหมึกยักษ์ แต่ต่อมาสามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าเป็นซากของวาฬ ปัจจุบันยังมีตัวอย่างเนื้อเยื่อเก็บรักษาไว้ที่สถาบันสมิธโซเนียน


izone1234
#50
16-09-2010 - 18:27:19

#50 izone1234  [ 16-09-2010 - 18:27:19 ]




คราเคน (อังกฤษ: Kraken) เป็นสัตว์ยักษ์ในตำนานที่ชาวทะเลเหนือหวาดกลัว มักเล่าว่าคล้ายหมึกกระดองขนาด ยักษ์ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว

คราเคนถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ "The Natural History of Norway" ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับคราเคนเอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์

เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเคนก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาร แต่ก็ยังมีขนาดยักษ์

นักชีววิทยาเชื่อว่า ที่แท้เป็นหมึกมหึมาชนิด หนึ่ง อยู่ในทะเลลึก และเมื่อตายจะเป็นซากลอยเกยหาด จนชาวประมงพบเห็นและจินตนาการเพิ่มเติมเกินจริง หมึกมหึมามีขนาดใหญ่จริง แต่ไม่เท่าเรื่องเล่าในตำนาน มีซากตัวอย่างที่ยาวเท่าเรือเร็ว และมีหลักฐานจากซาก วาฬสเปิร์ม ว่าวาฬพยายามกินหมึกชนิดนี้ และต่อสู้กัน

ใน พ.ศ. 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของหมึกดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า หมึกมหึมา (colossal Squid) โจมตีเพราะเรือมีลักษณะคล้ายปลาวาฬศัตรูของหมึกจนเข้าใจผิด และจากรายงานของผู้ประสบเหตุอ้างว่า หมึกดังกล่าวมีขนาดมหึมา โดยเฉลี่ยประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน ส่วนมากเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น


izone1234
#51
16-09-2010 - 18:27:30

#51 izone1234  [ 16-09-2010 - 18:27:30 ]











คอ งกามาโต (อังกฤษ: Kongamato) แปลว่า ตัวทำลายเรือ (breaker of boats) เป็นสัตว์ประหลาดที่กล่าวกันว่ามีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ชนิดที่บินได้ จำพวก เทอโรซอ (Pterosaur) หรือ เทอราโนดอน (Pteranodon) พบในหนองน้ำทวีปแอฟริกาตอนกลาง

ในปี ค.ศ. 1923 แฟรงก์ เฮช.เมลแลนด์ (Frank H. Melland) นักเดินทางได้บันทึกไว้ในหนังสือบันทึกการเดินทางเขาชื่อ In Witchbound Africa ถึงสัตว์ประหลาดที่บินได้ที่พบในหนองน้ำว่า เป็นสัตว์ที่ดุร้าย น่ากลัว สามารถโจมตีเรือขนาดเล็กได้ มีลำตัวสีแดง ความยาวเมื่อกางปีกเต็มที่ราว 4-7 ฟุต จากภาพสเก็ตพบว่า มันมีลักษณะคล้ายเทอโรซอ

ในปี ค.ศ. 1956 วิศวกรที่ชื่อ เจ.พี.เอฟ. บราวน์ (J.P.F. Brown) ได้เห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง 2 ตัว ที่บินได้ในเวลาราว 6 โมงเช้า ใกล้ทะเลสาบบังวูลู (Bangweulu) ประเทศแซมเบียใน ปัจจุบัน โดยเขาบอกว่ามันช้า ๆ และเงียบมาก สังเกตว่า ความยาวปีกประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร และมีความยาวหาง 4 1/2 ฟุต หรือ 1.5 เมตร ส่วนหัวมีลักษณะแคบและคล้ายสุนัข

ต่อมาอีกหลายปี มีรายงานจากโรงพยาบาลแถบนั้นถึงการโจมตีของนกต่อมนุษย์ เมื่อได้ถามถึงลักษณะของนกที่โจมตี ผู้ได้รับบาดเจ็บได้อธิบายรูปร่างและพบว่า มีลักษณะคล้ายเทอโรซอ อีกเช่นกัน แต่รูปสเก็ตไม่อาจจะนำออกสู่สาธารณะได้

มีการสันนิษฐานว่า สัตว์ประหลาดบินได้ที่เรียกว่า คองกามาโต นี้ อาจจะเป็นนกหาปลาขนาดใหญ่จำพวกนกกระทุงที่เรียกว่า Saddle-billed Stork (Ephippiorhynchus senegalensis) หรือ Shoebill (Balaeniceps rex) ซึ่งเป็นนกขนาดใหญ่ที่มีกรามแข็งแรง และเป็นนกที่หายากมากชนิดหนึ่งของแอฟริกา


izone1234
#52
16-09-2010 - 18:27:40

#52 izone1234  [ 16-09-2010 - 18:27:40 ]




ปีศาจเจอร์ซีย์ (อังกฤษ: Jersey Devil) สัตว์ประหลาดในตำนานพื้นถิ่นของชาวรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ปีศาจเจอร์ซีย์ในบางครั้งจะถูกเรียกว่า ปีศาจลีดส์ (Leeds Devil) เป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายปีศาจตามความเชื่อในคริสต์ศาสนา เชื่อว่ามีความสูงประมาณ 4-6 ฟุต มีส่วนหัวคล้ายม้าหรือแพะ แต่ลำตัวยาวคล้ายงูหรือมังกร มีปีกขนาดใหญ่คล้ายค้างคาว สามารถบินได้บนท้องฟ้า มีหาง 2 แฉก มีเขางอกบนหน้าผากเล็ก ๆ 2 ชิ้น ลำตัวปกคลุมด้วยขนสีดำ

ปีศาจเจอร์ซีย์ เชื่อว่าอาศัยอยู่ในป่าสนที่ชื่อ ไพน์ บาร์เรนส์ (Pine Barrens) อันเป็นป่าสนขนาดใหญ่ในพื้นที่ตอนใต้ของรัฐนิวเจอร์ซีย์

ในปี ค.ศ. 1909 มีพยานหลายคนได้ยินเสียงน่าขนลุกจากแม่น้ำเดลาแวร์ และเห็นสัตว์ประหลาดเรืองแสงบินอยู่บนท้องฟ้า นอกจากนั้นยังพบรอยเท้าประหลาดบนหลังคาบ้านหรือบริเวณใกล้กับเล้าไก่อีกด้วย

ในตำนานพื้นถิ่นของการกำเนิดปีศาจเจอร์ซีย์ เล่าว่า มันถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1745 จากการตั้งครรภ์ของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ เดเบอร่าห์ ลีดส์ (Deborah Leeds) โดยเป็นลูกคนที่ 13 ของเธอ (ซึ่งเลข 13 เป็นเลขอัปมงคลตามความเชื่อของคริสต์ศาสนา) ดังนั้นมันจึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า ปีศาจลีดส์ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าเธอได้ขายวิญญาณให้แก่ปีศาจ จึงถูกสาป

จากนั้นมา ก็ได้มีผู้พบเห็นปีศาจเจอร์ซีย์นี้เป็นระยะ ๆ ในระยะเวลา 200 กว่าปีที่ผ่านมา จวบจนปัจจุบัน ซึ่งบุคคลหลายคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และน่าเชื่อถือด้วย เช่น โจเซฟ โบนาปาร์ต (พี่ชายของนโปเลียน โบนาปาร์ต--ต่อมาได้เป็นจักรพรรดิแห่งสเปน) ระบุว่าพบเห็นเมื่อปี ค.ศ. 1820 จนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีผู้อ้างว่าได้ยินเสียงร้องน่ากลัวในเวลาค่ำคืนรวมถึงพบรอยเท้า ประหลาดและข้าวของที่บิดเบี้ยวเสียหายในบ้าน ซึ่งก็ได้มีกลุ่มบุคคลตั้งทีมขึ้นมาเพื่อล่าปีศาจเจอร์ซีย์นี้ด้วย

หลายคนลงความเห็นว่าปีศาจเจอร์ซีย์มีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานในยุคก่อน ประวัติศาสตร์จำพวก เทอโรซอร์ (pterosaur) หรือ ดิโมฟอร์ดอน (dimorphodon) ซึ่งมีชีวิตร่วมสมัยเดียวกับไดโนเสาร์

ในวัฒนธรรมร่วมสมัย มีการอ้างอิงถึงปีศาจเจอร์ซีย์อยู่หลายอย่าง เช่น บรูซ สปริงส์ทีน นักร้องชื่อดังชาวอเมริกันได้แต่งเพลงชื่อ "A Night with the Jersey Devil" ลงในเว็บไซต์ส่วนตัวของตนเองและเปิดโอกาสให้ดาวน์โหลดได้ฟรี ในเทศกาลวันฮาโลวีนเมื่อปี ค.ศ. 2008 หรือ ในซีรีส์ชุด The X-Files ซีรีส์ไซไฟสืบสวนสอบสวนยอดนิยมทางโทรทัศน์ก็เคยมีตอนของปีศาจเจอร์ซีย์ด้วย ในซีซั่นแรก (ค.ศ. 1993) ในชื่อว่า "The Jersey Devil" รวมทั้งสารคดีชุด Lost Tapes ของช่องดิสคัฟเวอรี่ แชนนอลปีที่ 2 ในตอน "Jersey Devil" และสารคดีทางโทรทัศน์สำหรับเด็กของแคนาดาชุด Mystery Hunters ปีที่ 3 อีกทั้งยังเป็นชื่อทีมฮอกกี้น้ำแข็งประจำรัฐนิวเจอร์ซีย์ด้วย คือ ทีมนิว เจอร์ซีย์ เดวิลส์ (New Jersey Devils)


izone1234
#53
16-09-2010 - 18:27:56

#53 izone1234  [ 16-09-2010 - 18:27:56 ]




เรื่องราวของแจ็ค ข้อเท้าสปริง เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1836 ตรงกับรัชสมัยการครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย โดยในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุได้เพียง 18 พรรษา โดยนักธุรกิจผู้หนึ่งกำลังเดินกลับบ้านในเวลากลางคืนใน ขณะเดินทางกลับบ้าน ทันใดนั้นเองเขาก็ได้พบชายประหลาดคนหนึ่งกำลังก้าวกระโดดอยู่เหนือหัวของเขา ก่อนที่จะหายไปในความมืด ซึ่งในขณะนั้น ยังไม่ปรากฏแจ็ค ข้อเท้าสปริง นี้ทำร้ายใคร

ในขณะนั้น มหานครลอนดอนยังไม่ได้มีการจัดระเบียบตัวเมืองให้เป็นระเบียบร้อยเหมือน ปัจจุบันแต่อย่างใด ถนนหนทางยังไม่มีการราดยางมะตอย บริเวณแถบใจกลางเมืองเต็มไปด้วยโรงงานและบ้านพักของคนงาน นับว่าค่อนข้างจอแจพอสมควร ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นแหล่งอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยมิจฉาชีพ, โจร, โสเภณีและยาเสพย์ติด มีคดีอาชญากรรมประเภทลักจี้ชิงปล้น หรือฆ่าข่มขืน เกิดขึ้นประจำ ๆ การให้แสงสว่างในตัวเมืองในยามค่ำคืนมีเพียงแต่อาศัยแสงจันทร์, แสงเทียนและตะเกียงน้ำมันเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพลบค่ำขึ้นมาเมื่อใด หลายสถานที่จึงกลายเป็นสถานที่เปลี่ยว
ภาพวาดแจ็ค ข้อเท้าสปริง ที่กระโดดข้ามประตู ซึ่งเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกจากการพบเห็นโดยนักธุรกิจ

แจ็ค ข้อเท้าสปริงนั้นปรากฏเป็นคดีความครั้งแรกในตอนเย็นของวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1837 หลังจากกรมตำรวจลอนดอนก่อตั้งได้ 8 ปี เมื่อ พอลลี่ อดัม อายุ 17 ปี เป็นสาวเสิร์ฟของกรีนแมนอินโรงแรมในย่านแบล็คอีธ กำลังเดินไปออกเดทกับ ลูกชายของเจ้าของบริหารโรงแรมในงานเทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยว พอลลี่ได้เดินทางลัดตรงเนินเขาในยามค่ำคืนและเปล่าเปลี่ยวปราศจากผู้คน อีกทั้งสถานที่ที่เธอเดินผ่านนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นที่แขวนคอนัก โทษในสมัยโบราณทำให้เพิ่มความหวาดกลัวแก่เธอได้เป็นอย่างดี และเมื่อเธอเดินถึงจุดที่ตั้งของหินก้อนใหญ่ที่ถูกเรียกว่า ไวท์ฟิลด์เมาท์ ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเงาดำขึ้นออกจากหลืบหินนั้นและมันฉีกเสื้อผ้าของเธอจน ขาดวิ่นเผยให้เห็นทรวงอกก่อนที่มันจะเอามือมาจับหน้าอก และก่อนที่มันจะทำอะไรล่วงเกินกว่านั้น พอลล่าก็ร้องหวีดสุดเสียง จนเจ้าของเงาดำนั้นตกใจ ก่อนที่มันจะผละออกจากพอลลี่พร้อมกับเอามือเท้าสะเอวและพ่นไฟสีเงินออกมาและ กระโดดหนีไปในความมืด เมื่อพอลลี่เห็นมันไปแล้วเธอก็โล่งใจและสลบคาพื้นก่อนที่จะถูกคนผ่านทางช่วย เอาไว้และส่งตัวไปยังโรงพยาบาล และเมื่อเธอฟื้นขึ้นมา เธอเล่าเรื่องที่เธอเห็น ซึ่งต่อมาก็โด่งดังจนกลายเป็นปากต่อปาก แต่ว่าในตอนนั้นเป็นเพียงแค่คดีพยายามข่มขืนในทางเปลี่ยวหรือการกลั่นแกล้ง ของวัยรุ่นขี้เมาจากงานฉลองมากกว่า
[แก้] เป็นที่โด่งดัง
ภาพวาดการประชุมพิจารณคดีเกี่ยวกับคดีแจ็ค ข้อเท้าสปริง (ค.ศ. 1840)

จากนั้น เรื่องราวของแจ็ค ข้อเท้าสปริง ก็ได้ถูกกล่าวอ้างถึงอีกหลายรายและหลายที่ เช่น ในเมืองเชฟฟิลด์และลิเวอร์พูล โดยเหยื่อมีลักษณะคล้ายกัน คือ เป็นหญิงสาวสวยวัยรุ่น และถูกลวนลามคล้าย ๆ กัน แต่ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำอื่นใดนอกเหนือจากนี้ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ติดใจทื่จะสอบสวนแต่อย่างใด

จนกระทั่งในปีถัดมา ในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1838 เรื่องนี้ถูกยกหัวข้อขึ้นในที่ประชุมพิจารณาคดีในกรุงลอนดอน ปรากฏมีประชาชนชาวลอนดอนยอมฝ่าหิมะเพื่อ ไปสภาเมืองอย่างแน่นขนัด ผู้ว่าการเมืองได้แจ้งรายงานการบริหารงานเทศบาลและจากนั้นก็มีการอภิปราย เกี่ยวกับญัตติต่าง ๆ ที่ชาวเมืองเสนอมา สุดท้ายก็เป็นการอนุมัติจากศาล และช่วงสุดท้ายของการประชุมนั้นผู้ว่าได้หยิบบัตรสนเท่ที่ ส่งมาจากผู้หญิงคนหนึ่ง และได้ให้ตัวแทนอ่านออกเสียงต่อต่อหน้าฝูงชน เป็นเรื่องการแจ้งความเรื่องมนุษย์ประหลาดที่ตระเวนหลอกผู้หญิงตกใจกลัวใน แถบชานเมืองกรุงลอนดอน จดหมายฉบับนี้ยังบอกว่ามนุษย์ประหลาดผู้นี้ คือ ขุนนางคนหนึ่งที่เล่นพนันขันต่อกับเพื่อนผู้ชื่นชอบการกลั่นแกล้งคนว่า "กล้าแต่งตัวเป็นปีศาจหรือเป็นผีแล้ว ตระเวนไปหลอกตามบ้านคนหรือเปล่า" และเพื่อนคนนั้นก็ตกลงรับคำท้าและปลอมตัวเป็นมนุษย์ประหลาดดังกล่าว และจนบัดนี้การเล่นพิเรนทร์นี้ยังคงดำเนินต่อไปแล้วดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น เป็นลำดับ จึงอยากขอให้ผู้ว่าการเมืองหยุดการกระทำเช่นนี้ เมื่ออ่านจบก็สียงดังจากประชาชนโดยรอบอย่างมากที่ออกมาให้การตรงว่าพบเห็น มนุษย์ประหลาดเช่นกันและก่อให้เกิดเสียงตอบรับอย่างมากในหมู่ประชาชน เช้าวันต่อมา มนุษย์ประหลาดผู้นี้ได้ถูกตั้งชื่อในหนังสือพิมพ์ว่า "แจ็ค ข้อเท้าสปริง" (Spring Heeled Jack) และกลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่วอังกฤษในเวลานั้น เพราะมีการร้องทุกข์จากผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก และมีบางคนเกิดคดีที่ว่านี้นอกกรุงลอนดอนด้วย

เมื่อสถานการณ์ลุกลามถึงระดับนี้แล้ว ทางสก็อตแลนด์ยาร์ดก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้ เนื่องจากมันมีผลต่อจิตวิทยาของชาวลอนดอนด้วย ซึ่งถ้าจิตใจของประชาชนหวาดกลัวสิ่งลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้จะส่งผลต่อ การดำเนินชีวิตในส่วนรวมด้วย อีกทั้งอังกฤษในเวลานั้นก็ใช่ว่าจะเป็นประเทศที่สงบสุขเรียบร้อยนัก เพราะเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติฝรั่งเศส และการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียก็ยังมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา อนาคตการครองราชย์ยังไม่แน่ไม่นอน บวกกับเป็นช่วงลัทธิทุนนิยมเริ่มเข้ามาส่งผลทำให้เกิดความแตกต่างฐานะคนรวย กับคนจนอย่างมาก พวกขุนนางมีชีวิตที่หรูหรากินดีอยู่ดี ส่วนชนชั้นกรรมกรต่างลำบากในการหากินและพวกขอทานที่ ไร้ที่อยู่อาศัย ดังนั้น การปรากฏตัวของแจ็ค ข้อเท้าสปริง มีทั้งข้อดีและไม่ดีปะปนกัน ในด้านไม่ดีคือมันสร้างความเดือดร้อนต่อสังคม ส่วนด้านดีคือมันกลายเป็นหัวข้อข่าวที่โด่งดังและนิยมในสมัยนั้น มันเป็นข่าวที่ทำให้ผู้คนได้ลืมความต่ำต้อยของฐานะ และเริ่มโด่งดังจนบางคนยกย่องเป็น ฮีโร่ หรือ ขวัญใจของประชาชน ด้วยซ้ำ เหมือนในกรณีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นต้น

ซึ่งในปี ค.ศ. 1837 ที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงออกอาละวาดนั้น กรมตำรวจลอนดอนพึ่งถูกตั้งขึ้นมาเพียง 9 ปี จึงยังไม่มีประสบการณ์มากนักในฐานะองค์กรตำรวจ ทำให้การจับตัวแจ็ค ข้อเท้าสปริงนี้เป็นไปได้ยากลำบากมาก และพฤติกรรมที่มักปรากฏตัวอย่างผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไม่ปรากฏตัวที่เดิมจึงไม่สามารถวางกำลังล้อมจับได้ เมื่อตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้ กลุ่มประชาชนจึงอาสาสมัครมาเป็นคนตรวจตรายามค่ำคืนเอง โดยมี ผู้มีชื่อเสียงอย่าง เวลลิงตัน อาเธอร์ เวลเลสลีย์ ที่เป็นนายพลในสงครามนโปเลียน ซึ่งสามารถเอาชนะนโปเลียนได้ที่วอเตอร์ลูในเบลเยี่ยม ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกตรวจตรายามค่ำคืนด้วยเช่นกัน โดยหวังว่าจะจับตัวแจ็ค ข้อเท้าสปริงให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจที่จะทำได้ ต่อมามีคนเสนอรางวัลนำจับแจ็ค ข้อเท้าสปริงเป็นจำนวนเงินกว่า 100 ปอนด์ หากสามารถจับตัวแจ็ค ข้อเท้าสปริงได้ จนต้องเพิ่มเงินรางวัลขึ้นถึง 1 พันล้านปอนด์
[แก้] ผู้ต้องสงสัย
ภาพวาดของ เฮนรี่ เดอ ลา บัว เบเรสฟอร์ด มาร์ควิสแห่งวอเตอร์ฟอร์ด ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นแจ็ค ข้อเท้าสปริง (ค.ศ. 1840)

มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าผู้ที่เป็นแจ็ค ข้อเท้าสปริงนั้น เป็นขุนนางชาวไอริชที่ชื่อ เฮนรี่ เดอ ลา บัว เบเรสฟอร์ด ซึ่งเป็นมาร์ควิสแห่งวอเตอร์ฟอร์ด

วอลเตอร์เกิดในปี ค.ศ. 1811 และในปี ค.ศ. 1837 ที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกนั้นเขาอายุ 26 ปี และเป็นโสด บิดาของเขา คือ มาร์ควิสจอห์น เบเรสฟอร์ด นั้นเป็นขุนนางที่ร่ำรวยมหาศาลและถือครองที่ดินผืนใหญ่ในไอร์แลนด์และ อังกฤษ เฮนรี่ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวจึงถูกเลี้ยงดูอย่างฟุ่มเฟือยหรูหราจนทำ ให้เขาเป็นคนนิสัยเสียและชอบแกล้งผู้คนอย่างเกินเหตุ

วอลเตอร์เป็นชายที่มีหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาและมีผมสีดำ เขาอาศัยอยู่บ้านพักตากอากาศในกรุงลอนดอนเวลานั้น จุดเด่นเขาคือดวงตาที่กลมโต เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่และชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา ตอนสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่วิทยาลัยอีตันในวินด์เซอร์ เขาเคยถูกจับเพราะรวมหัวพวกเพื่อนคอยยืนอยู่บนหลังอาคารเรียนเพื่อดัก ปัสสาวะรดหัวอาจารย์ที่เดินผ่านมา และในสมัยเรียนที่อ็อกซฟอร์ดเขาก็เคยถูกลอบทำลายโดนคนกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจน เขารู้สึกเจ็บใจและได้แก้แค้นโดยการจัดการพังบ้านของชายที่เป็นตัวการนั้น พังยับ

นอกจากนี้วอลเตอร์ยังขึ้นชื่อเรื่องด้านกีฬาด้วย เขาเคยถูกเลือกเป็นฝีพายยอดเยี่ยมในการแข่งขันพายเรือของออกซฟอร์ด และอีกด้านหนึ่งเขายังเป็นนักพนันตัวยงอีกด้วย จากความที่เขาหน้าตาดีทำให้เขาเป็นหนุ่มเนื้อหอม จนทำให้ชาวลอนดอนรู้จักเขาไปทั่วในฐานะขุนนางเสเพลที่ไม่เกรงกลัวใคร เขาถูกตำรวจจับเป็นว่าเล่นฐานชกต่อยชาวบ้าน ในตอนที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงปรากฏตัวและมีบัตรสนเท่บอกว่าชายส้นเท้านั้นเป็นขุนนางเสเพล ปลอมตัวแกล้งคนนั้น ตำรวจเองก็เพ่งเป้าไปที่เขาก่อนอันดับแรก

แต่กระนั้นวอลเตอร์ก็มิได้ใส่ใจข่าวดังกล่าว เขายังคงดำเนินการแกล้งแผลง ๆ ให้คนอื่นเดือดร้อนต่อไป เช่น เขาเป็นลูกค้าประจำบ่อนพนันและซ่องโสเภณี เขามักเมาหัวราน้ำและพูดตลกด้วยคำผรุสวาทกับเสเพลและหญิงขายบริการเป็นประจำ เขาเคยนำสุนัขพันธุ์บลัดฮาวด์ไปที่โบสถ์เพื่อให้มันวิ่งไล่กัดบาทหลวง และเคยนำลาไปนอนบนเตียงของแขกที่มาพักโรงแรมเพื่อให้แขกตกใจด้วย และยังมีพฤติกรรมแผลง ๆ หลุดโลกอีกหลายอย่าง เช่น การปล่อยให้รถไฟ 2 ขบวนวิ่งชนกันจนเสียหายอย่างหนัก ในขณะที่เขาหัวเราะชอบใจ เป็นต้น

ซึ่งในขณะที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงปรากฏตัวนั้น วอลเตอร์ก็ไม่ได้ออกมาพบปะสังสรรค์กับใครอีกเลยโดยอ้างว่าป่วย ซึ่งการที่ชายที่แข็งแรงจะเจ็บป่วยเป็นเวลานานนั้นถือว่าแปลกพอสมควร บรรดาเพื่อนของเขาสงสัยว่าวอลเตอร์อาจแกล้งป่วยเพื่อแอบทำอะไรสักอย่างที่พิ เรนอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้ อีกทั้งมีพยานที่อ้างว่าเคยเห็นใต้ผ้าคลุมของแจ็ค ข้อเท้าสปริงนั้นปักตัวอักษร W อยู่ด้วย ซึ่งมันมาจากคำนำหน้าคำว่า วอเตอร์ฟอร์ด (Waterford) นั้นเอง ประกอบกับวอลเตอร์มีเพื่อนที่เรียนสาขาจักรกลในออกซฟอร์ดอยู่ด้วย จริงไม่น่าแปลกแต่อย่างใดถ้าวอลเตอร์จะให้เพื่อนคนนั้นแอบสร้างขาสปริงให้ อย่างลับ ๆ ก็เป็นได้

กระทั่งวอลเตอร์แต่งงานเมื่ออายุ 31 ปี เขาก็ไม่เคยเล่นอะไรแผลง ๆ อีกเลย ในชีวิตปั้นปลายในปี ค.ศ. 1859 วอลเตอร์ก็เสียชีวิตเนื่องด้วยอุบัติเหตุขี่ม้าล่าสัตว์ ส่งผลให้เขาคอหัก และจบชีวิตลงในขณะเขามีอายุ 48 ปี ซึ่งแจ็ค ข้อเท้าสปริง ก็หยุดอาละวาดในปี ค.ศ. 1904 ในลิเวอร์พูล จึงเชื่อว่าเขาไม่ใช่แจ็ค ข้อเท้าสปริง



izone1234
#54
16-09-2010 - 18:28:27

#54 izone1234  [ 16-09-2010 - 18:28:27 ]




เรื่องราวของแจ็ค ข้อเท้าสปริง เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1836 ตรงกับรัชสมัยการครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย โดยในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุได้เพียง 18 พรรษา โดยนักธุรกิจผู้หนึ่งกำลังเดินกลับบ้านในเวลากลางคืนใน ขณะเดินทางกลับบ้าน ทันใดนั้นเองเขาก็ได้พบชายประหลาดคนหนึ่งกำลังก้าวกระโดดอยู่เหนือหัวของเขา ก่อนที่จะหายไปในความมืด ซึ่งในขณะนั้น ยังไม่ปรากฏแจ็ค ข้อเท้าสปริง นี้ทำร้ายใคร

ในขณะนั้น มหานครลอนดอนยังไม่ได้มีการจัดระเบียบตัวเมืองให้เป็นระเบียบร้อยเหมือน ปัจจุบันแต่อย่างใด ถนนหนทางยังไม่มีการราดยางมะตอย บริเวณแถบใจกลางเมืองเต็มไปด้วยโรงงานและบ้านพักของคนงาน นับว่าค่อนข้างจอแจพอสมควร ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นแหล่งอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยมิจฉาชีพ, โจร, โสเภณีและยาเสพย์ติด มีคดีอาชญากรรมประเภทลักจี้ชิงปล้น หรือฆ่าข่มขืน เกิดขึ้นประจำ ๆ การให้แสงสว่างในตัวเมืองในยามค่ำคืนมีเพียงแต่อาศัยแสงจันทร์, แสงเทียนและตะเกียงน้ำมันเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพลบค่ำขึ้นมาเมื่อใด หลายสถานที่จึงกลายเป็นสถานที่เปลี่ยว
ภาพวาดแจ็ค ข้อเท้าสปริง ที่กระโดดข้ามประตู ซึ่งเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกจากการพบเห็นโดยนักธุรกิจ

แจ็ค ข้อเท้าสปริงนั้นปรากฏเป็นคดีความครั้งแรกในตอนเย็นของวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1837 หลังจากกรมตำรวจลอนดอนก่อตั้งได้ 8 ปี เมื่อ พอลลี่ อดัม อายุ 17 ปี เป็นสาวเสิร์ฟของกรีนแมนอินโรงแรมในย่านแบล็คอีธ กำลังเดินไปออกเดทกับ ลูกชายของเจ้าของบริหารโรงแรมในงานเทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยว พอลลี่ได้เดินทางลัดตรงเนินเขาในยามค่ำคืนและเปล่าเปลี่ยวปราศจากผู้คน อีกทั้งสถานที่ที่เธอเดินผ่านนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นที่แขวนคอนัก โทษในสมัยโบราณทำให้เพิ่มความหวาดกลัวแก่เธอได้เป็นอย่างดี และเมื่อเธอเดินถึงจุดที่ตั้งของหินก้อนใหญ่ที่ถูกเรียกว่า ไวท์ฟิลด์เมาท์ ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเงาดำขึ้นออกจากหลืบหินนั้นและมันฉีกเสื้อผ้าของเธอจน ขาดวิ่นเผยให้เห็นทรวงอกก่อนที่มันจะเอามือมาจับหน้าอก และก่อนที่มันจะทำอะไรล่วงเกินกว่านั้น พอลล่าก็ร้องหวีดสุดเสียง จนเจ้าของเงาดำนั้นตกใจ ก่อนที่มันจะผละออกจากพอลลี่พร้อมกับเอามือเท้าสะเอวและพ่นไฟสีเงินออกมาและ กระโดดหนีไปในความมืด เมื่อพอลลี่เห็นมันไปแล้วเธอก็โล่งใจและสลบคาพื้นก่อนที่จะถูกคนผ่านทางช่วย เอาไว้และส่งตัวไปยังโรงพยาบาล และเมื่อเธอฟื้นขึ้นมา เธอเล่าเรื่องที่เธอเห็น ซึ่งต่อมาก็โด่งดังจนกลายเป็นปากต่อปาก แต่ว่าในตอนนั้นเป็นเพียงแค่คดีพยายามข่มขืนในทางเปลี่ยวหรือการกลั่นแกล้ง ของวัยรุ่นขี้เมาจากงานฉลองมากกว่า
[แก้] เป็นที่โด่งดัง
ภาพวาดการประชุมพิจารณคดีเกี่ยวกับคดีแจ็ค ข้อเท้าสปริง (ค.ศ. 1840)

จากนั้น เรื่องราวของแจ็ค ข้อเท้าสปริง ก็ได้ถูกกล่าวอ้างถึงอีกหลายรายและหลายที่ เช่น ในเมืองเชฟฟิลด์และลิเวอร์พูล โดยเหยื่อมีลักษณะคล้ายกัน คือ เป็นหญิงสาวสวยวัยรุ่น และถูกลวนลามคล้าย ๆ กัน แต่ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำอื่นใดนอกเหนือจากนี้ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ติดใจทื่จะสอบสวนแต่อย่างใด

จนกระทั่งในปีถัดมา ในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1838 เรื่องนี้ถูกยกหัวข้อขึ้นในที่ประชุมพิจารณาคดีในกรุงลอนดอน ปรากฏมีประชาชนชาวลอนดอนยอมฝ่าหิมะเพื่อ ไปสภาเมืองอย่างแน่นขนัด ผู้ว่าการเมืองได้แจ้งรายงานการบริหารงานเทศบาลและจากนั้นก็มีการอภิปราย เกี่ยวกับญัตติต่าง ๆ ที่ชาวเมืองเสนอมา สุดท้ายก็เป็นการอนุมัติจากศาล และช่วงสุดท้ายของการประชุมนั้นผู้ว่าได้หยิบบัตรสนเท่ที่ ส่งมาจากผู้หญิงคนหนึ่ง และได้ให้ตัวแทนอ่านออกเสียงต่อต่อหน้าฝูงชน เป็นเรื่องการแจ้งความเรื่องมนุษย์ประหลาดที่ตระเวนหลอกผู้หญิงตกใจกลัวใน แถบชานเมืองกรุงลอนดอน จดหมายฉบับนี้ยังบอกว่ามนุษย์ประหลาดผู้นี้ คือ ขุนนางคนหนึ่งที่เล่นพนันขันต่อกับเพื่อนผู้ชื่นชอบการกลั่นแกล้งคนว่า "กล้าแต่งตัวเป็นปีศาจหรือเป็นผีแล้ว ตระเวนไปหลอกตามบ้านคนหรือเปล่า" และเพื่อนคนนั้นก็ตกลงรับคำท้าและปลอมตัวเป็นมนุษย์ประหลาดดังกล่าว และจนบัดนี้การเล่นพิเรนทร์นี้ยังคงดำเนินต่อไปแล้วดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น เป็นลำดับ จึงอยากขอให้ผู้ว่าการเมืองหยุดการกระทำเช่นนี้ เมื่ออ่านจบก็สียงดังจากประชาชนโดยรอบอย่างมากที่ออกมาให้การตรงว่าพบเห็น มนุษย์ประหลาดเช่นกันและก่อให้เกิดเสียงตอบรับอย่างมากในหมู่ประชาชน เช้าวันต่อมา มนุษย์ประหลาดผู้นี้ได้ถูกตั้งชื่อในหนังสือพิมพ์ว่า "แจ็ค ข้อเท้าสปริง" (Spring Heeled Jack) และกลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่วอังกฤษในเวลานั้น เพราะมีการร้องทุกข์จากผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก และมีบางคนเกิดคดีที่ว่านี้นอกกรุงลอนดอนด้วย

เมื่อสถานการณ์ลุกลามถึงระดับนี้แล้ว ทางสก็อตแลนด์ยาร์ดก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้ เนื่องจากมันมีผลต่อจิตวิทยาของชาวลอนดอนด้วย ซึ่งถ้าจิตใจของประชาชนหวาดกลัวสิ่งลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้จะส่งผลต่อ การดำเนินชีวิตในส่วนรวมด้วย อีกทั้งอังกฤษในเวลานั้นก็ใช่ว่าจะเป็นประเทศที่สงบสุขเรียบร้อยนัก เพราะเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติฝรั่งเศส และการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียก็ยังมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา อนาคตการครองราชย์ยังไม่แน่ไม่นอน บวกกับเป็นช่วงลัทธิทุนนิยมเริ่มเข้ามาส่งผลทำให้เกิดความแตกต่างฐานะคนรวย กับคนจนอย่างมาก พวกขุนนางมีชีวิตที่หรูหรากินดีอยู่ดี ส่วนชนชั้นกรรมกรต่างลำบากในการหากินและพวกขอทานที่ ไร้ที่อยู่อาศัย ดังนั้น การปรากฏตัวของแจ็ค ข้อเท้าสปริง มีทั้งข้อดีและไม่ดีปะปนกัน ในด้านไม่ดีคือมันสร้างความเดือดร้อนต่อสังคม ส่วนด้านดีคือมันกลายเป็นหัวข้อข่าวที่โด่งดังและนิยมในสมัยนั้น มันเป็นข่าวที่ทำให้ผู้คนได้ลืมความต่ำต้อยของฐานะ และเริ่มโด่งดังจนบางคนยกย่องเป็น ฮีโร่ หรือ ขวัญใจของประชาชน ด้วยซ้ำ เหมือนในกรณีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นต้น

ซึ่งในปี ค.ศ. 1837 ที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงออกอาละวาดนั้น กรมตำรวจลอนดอนพึ่งถูกตั้งขึ้นมาเพียง 9 ปี จึงยังไม่มีประสบการณ์มากนักในฐานะองค์กรตำรวจ ทำให้การจับตัวแจ็ค ข้อเท้าสปริงนี้เป็นไปได้ยากลำบากมาก และพฤติกรรมที่มักปรากฏตัวอย่างผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไม่ปรากฏตัวที่เดิมจึงไม่สามารถวางกำลังล้อมจับได้ เมื่อตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้ กลุ่มประชาชนจึงอาสาสมัครมาเป็นคนตรวจตรายามค่ำคืนเอง โดยมี ผู้มีชื่อเสียงอย่าง เวลลิงตัน อาเธอร์ เวลเลสลีย์ ที่เป็นนายพลในสงครามนโปเลียน ซึ่งสามารถเอาชนะนโปเลียนได้ที่วอเตอร์ลูในเบลเยี่ยม ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกตรวจตรายามค่ำคืนด้วยเช่นกัน โดยหวังว่าจะจับตัวแจ็ค ข้อเท้าสปริงให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจที่จะทำได้ ต่อมามีคนเสนอรางวัลนำจับแจ็ค ข้อเท้าสปริงเป็นจำนวนเงินกว่า 100 ปอนด์ หากสามารถจับตัวแจ็ค ข้อเท้าสปริงได้ จนต้องเพิ่มเงินรางวัลขึ้นถึง 1 พันล้านปอนด์
[แก้] ผู้ต้องสงสัย
ภาพวาดของ เฮนรี่ เดอ ลา บัว เบเรสฟอร์ด มาร์ควิสแห่งวอเตอร์ฟอร์ด ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นแจ็ค ข้อเท้าสปริง (ค.ศ. 1840)

มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าผู้ที่เป็นแจ็ค ข้อเท้าสปริงนั้น เป็นขุนนางชาวไอริชที่ชื่อ เฮนรี่ เดอ ลา บัว เบเรสฟอร์ด ซึ่งเป็นมาร์ควิสแห่งวอเตอร์ฟอร์ด

วอลเตอร์เกิดในปี ค.ศ. 1811 และในปี ค.ศ. 1837 ที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกนั้นเขาอายุ 26 ปี และเป็นโสด บิดาของเขา คือ มาร์ควิสจอห์น เบเรสฟอร์ด นั้นเป็นขุนนางที่ร่ำรวยมหาศาลและถือครองที่ดินผืนใหญ่ในไอร์แลนด์และ อังกฤษ เฮนรี่ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวจึงถูกเลี้ยงดูอย่างฟุ่มเฟือยหรูหราจนทำ ให้เขาเป็นคนนิสัยเสียและชอบแกล้งผู้คนอย่างเกินเหตุ

วอลเตอร์เป็นชายที่มีหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาและมีผมสีดำ เขาอาศัยอยู่บ้านพักตากอากาศในกรุงลอนดอนเวลานั้น จุดเด่นเขาคือดวงตาที่กลมโต เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่และชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา ตอนสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่วิทยาลัยอีตันในวินด์เซอร์ เขาเคยถูกจับเพราะรวมหัวพวกเพื่อนคอยยืนอยู่บนหลังอาคารเรียนเพื่อดัก ปัสสาวะรดหัวอาจารย์ที่เดินผ่านมา และในสมัยเรียนที่อ็อกซฟอร์ดเขาก็เคยถูกลอบทำลายโดนคนกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจน เขารู้สึกเจ็บใจและได้แก้แค้นโดยการจัดการพังบ้านของชายที่เป็นตัวการนั้น พังยับ

นอกจากนี้วอลเตอร์ยังขึ้นชื่อเรื่องด้านกีฬาด้วย เขาเคยถูกเลือกเป็นฝีพายยอดเยี่ยมในการแข่งขันพายเรือของออกซฟอร์ด และอีกด้านหนึ่งเขายังเป็นนักพนันตัวยงอีกด้วย จากความที่เขาหน้าตาดีทำให้เขาเป็นหนุ่มเนื้อหอม จนทำให้ชาวลอนดอนรู้จักเขาไปทั่วในฐานะขุนนางเสเพลที่ไม่เกรงกลัวใคร เขาถูกตำรวจจับเป็นว่าเล่นฐานชกต่อยชาวบ้าน ในตอนที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงปรากฏตัวและมีบัตรสนเท่บอกว่าชายส้นเท้านั้นเป็นขุนนางเสเพล ปลอมตัวแกล้งคนนั้น ตำรวจเองก็เพ่งเป้าไปที่เขาก่อนอันดับแรก

แต่กระนั้นวอลเตอร์ก็มิได้ใส่ใจข่าวดังกล่าว เขายังคงดำเนินการแกล้งแผลง ๆ ให้คนอื่นเดือดร้อนต่อไป เช่น เขาเป็นลูกค้าประจำบ่อนพนันและซ่องโสเภณี เขามักเมาหัวราน้ำและพูดตลกด้วยคำผรุสวาทกับเสเพลและหญิงขายบริการเป็นประจำ เขาเคยนำสุนัขพันธุ์บลัดฮาวด์ไปที่โบสถ์เพื่อให้มันวิ่งไล่กัดบาทหลวง และเคยนำลาไปนอนบนเตียงของแขกที่มาพักโรงแรมเพื่อให้แขกตกใจด้วย และยังมีพฤติกรรมแผลง ๆ หลุดโลกอีกหลายอย่าง เช่น การปล่อยให้รถไฟ 2 ขบวนวิ่งชนกันจนเสียหายอย่างหนัก ในขณะที่เขาหัวเราะชอบใจ เป็นต้น

ซึ่งในขณะที่แจ็ค ข้อเท้าสปริงปรากฏตัวนั้น วอลเตอร์ก็ไม่ได้ออกมาพบปะสังสรรค์กับใครอีกเลยโดยอ้างว่าป่วย ซึ่งการที่ชายที่แข็งแรงจะเจ็บป่วยเป็นเวลานานนั้นถือว่าแปลกพอสมควร บรรดาเพื่อนของเขาสงสัยว่าวอลเตอร์อาจแกล้งป่วยเพื่อแอบทำอะไรสักอย่างที่พิ เรนอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้ อีกทั้งมีพยานที่อ้างว่าเคยเห็นใต้ผ้าคลุมของแจ็ค ข้อเท้าสปริงนั้นปักตัวอักษร W อยู่ด้วย ซึ่งมันมาจากคำนำหน้าคำว่า วอเตอร์ฟอร์ด (Waterford) นั้นเอง ประกอบกับวอลเตอร์มีเพื่อนที่เรียนสาขาจักรกลในออกซฟอร์ดอยู่ด้วย จริงไม่น่าแปลกแต่อย่างใดถ้าวอลเตอร์จะให้เพื่อนคนนั้นแอบสร้างขาสปริงให้ อย่างลับ ๆ ก็เป็นได้

กระทั่งวอลเตอร์แต่งงานเมื่ออายุ 31 ปี เขาก็ไม่เคยเล่นอะไรแผลง ๆ อีกเลย ในชีวิตปั้นปลายในปี ค.ศ. 1859 วอลเตอร์ก็เสียชีวิตเนื่องด้วยอุบัติเหตุขี่ม้าล่าสัตว์ ส่งผลให้เขาคอหัก และจบชีวิตลงในขณะเขามีอายุ 48 ปี ซึ่งแจ็ค ข้อเท้าสปริง ก็หยุดอาละวาดในปี ค.ศ. 1904 ในลิเวอร์พูล จึงเชื่อว่าเขาไม่ใช่แจ็ค ข้อเท้าสปริง



famecd123
#55
16-09-2010 - 18:45:34

#55 famecd123  [ 16-09-2010 - 18:45:34 ]




Vampire มันอาจจจะเป็นโรคชนิดหนึ่งก็ได้ครับ
แบบว่า ติดโรคแล้วทำให้เป็นบ้า(ประมาณนั้น- -)
ก็เลยไปไล่กัดคน พอคนโดนกัด ก็จะเกิดประสาทหลอน แล้วก็คิดไปเองว่า โดนกัด แล้วกลายเป็นแวมไพร์ อาจจะคล้ายกรณีมนุษย์หมาป่าก็ได้นะครับ
คือ เป็นโรคจิต หรือ ประสาทหลอน
แล้วไล่ฆ่าคน แล้วก็กิน(มนุษหมาป่า)


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-09-16 18:45:56

-PeTcHzA-
#56
30-09-2010 - 18:20:16

#56 -PeTcHzA-  [ 30-09-2010 - 18:20:16 ]




อยากจะไปเจอทำไมแวมไพร์ อยู่นี่ตนหนึ่งไม่เห็นมีใครมาสนใจเลย


หยก_อิอิ
#57
หยก_อิอิ
06-10-2010 - 13:51:02

#57 หยก_อิอิ  [ 06-10-2010 - 13:51:02 ]




ไม่ปวดมือบ้างเลยงัยคนเขียนเนี่ย


เด็กซ่าบ้านแสบ
#58
เด็กซ่าบ้านแสบ
20-10-2010 - 10:54:38

#58 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 20-10-2010 - 10:54:38 ]






quote : หยก_อิอิ
ไม่ปวดมือบ้างเลยงัยคนเขียนเนี่ย
บ่อปวด


เพชรบูรณ์
#59
เพชรบูรณ์
15-03-2011 - 22:07:51

#59 เพชรบูรณ์  [ 15-03-2011 - 22:07:51 ]




ผม นี่ แหละ ลูกครึ่ง แวมไพร์


The Sniper Death
#60
15-03-2011 - 22:10:14

#60 The Sniper Death  [ 15-03-2011 - 22:10:14 ]






ถ้าสมมุติว่า แวมไพร์เลิดดูดเลือด แล้วกินแต่ผักละ
คุณคิดว่าจะเป็นยังไง



ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 5th July 2025 10:43

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ