โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ชมรมลึกลับอับแล้ว9/12/53
เด็กซ่าบ้านแสบ
#21
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 11:35:28

#21 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 11:35:28 ]






ไม่มีใครเข้ามาเลยหรอ


joykoja
#22
23-08-2010 - 13:28:21

#22 joykoja  [ 23-08-2010 - 13:28:21 ]




สนุกดีจ้า


I love Sim
#23
23-08-2010 - 16:26:15

#23 I love Sim  [ 23-08-2010 - 16:26:15 ]





พอพูดถึงแวมไพร์แล้วก็นึกถึงโรเบิร์ตขึ้นมาเลย



เด็กซ่าบ้านแสบ
#24
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 16:50:54

#24 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 16:50:54 ]






เอาอีกปะว่างๆจะอับมาฝากอีก


manya456
#25
23-08-2010 - 17:31:34

#25 manya456  [ 23-08-2010 - 17:31:34 ]





ตาลายหมด แต่อ่านหมดแหละ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#26
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 18:26:55

#26 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 18:26:55 ]






อ่านแล้ว อย่าหยุด กรุณาอ่านต่อ เพราะคุนได้โดนคำสาปนี้ไปแล้ว.... อ่านต่อเลย เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงในเทศบาล.ท่าเรือ เด็กคนนี้ชื่อนิ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สาม วันนั้นเป็นวันสอบซ่อม นิ้งได้มาที่ รร เพื่อที่จะสอบซ่อม ระหว่างที่รอเพื่อน ๆ อยู่นั้น นิ้ง ก้อเหลือบไปเห็นสิ่ง ๆ หนี่ง เขาเดินเข้ไปใกล้ ๆ กับสิ่ง ๆ นั้น มันคือกล่องใส่กระดาษกล่องหนึ่ง นิ้งนั้นไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เขาก้อได้เก็บกล่องนั้นไป หลังจากที่เขาสอบซ่อมเสร็จแล้ว นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อกลับบ้านทันที พวกเขาอยากรู้ว่าในกล่องนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ตกกลางคืนนิ้งและเพื่อน ๆ ก้อไปสนาม เดะเล่นและเปิดกล่อง ๆ นั้น ข้างในกล่องมีกระดาษสีดำเขียนอยู่หนึ่งแผ่น ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า * สวัสดี เราชื่อ"เปลวเทียน"เป็นเด็กนักเรียนคนนึง เราถูกฆาตกรโรคจิด ข่มขืนและค่าหมกอยู่ในป่าแห่งหนี่ง ที่นั่นหนาวเหน็บไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของมนุษย์ เราพยายามร้องให้คนมาช่วยแต่ก้อไม่มีคายมา ตอนนี้เราเหงาเหลือเกิน จะมีใครมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ้างไหม ถ้าเทอไม่อยากให้เราลากเทอมาอยู่เป็นเพื่อนกันเรา จากนี้ไปเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ขอให้เทอก็อปข้อความข้างบนนี้ ส่งต่อให้สื่ออะไรก้อได้ เป็นจำนวน 10 coppy แต่ถ้าเธอไม่ทำตาม อีก 7 ชั่วโมงนี้ฉันจะไปตามเทอมอยู่เป็นเพื่อน * หลังจากที่นิ้งได้อ่านนั้น เอก้อไม่เชื่อ และคิดว่ามีคนมาแกล้งเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ และไม่ยอมทำตาม 7 ชั่วโมงให้หลัง นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อตาย โดยที่ไม่มีสาเหตุ ***********************************- เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงขณะนี้ หมอและตำรวจยังไม่สามารถรู้ได้ว่า เด็กเหล่านั้นตายได้เช่นไร __________ ตอนนี้พวกเทอได้อ่านกระทู้นี้ ก้อคงได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด นั่นคือ เทอจะต้อง copy ข้อความนี้เป็นจำนวน 10 copy แต่ถ้าเทอไม่ทำตามที่เด็กคนนั้นขอ เทอจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อกับเด็กคนนั้น อีก 7 ชั่วโมงให้หลัง ขอให้พวกเทอทุกคนโชคดี (ปล ห้ามส่งมายังคนเดิมที่ส่งมาอีก ไม่งั้นจะรับโทษฐานคืน ตาย!!!!!)ต.ท่าเรือ อ.ท่าเรือ จ.อยุธย อ่านแล้ว อย่าหยุด กรุณาอ่านต่อ เพราะคุนได้โดนคำสาปนี้ไปแล้ว.... อ่านต่อเลย เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงในเทศบาล.ท่าเรือ เด็กคนนี้ชื่อนิ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สาม วันนั้นเป็นวันสอบซ่อม นิ้งได้มาที่ รร เพื่อที่จะสอบซ่อม ระหว่างที่รอเพื่อน ๆ อยู่นั้น นิ้ง ก้อเหลือบไปเห็นสิ่ง ๆ หนี่ง เขาเดินเข้ไปใกล้ ๆ กับสิ่ง ๆ นั้น มันคือกล่องใส่กระดาษกล่องหนึ่ง นิ้งนั้นไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เขาก้อได้เก็บกล่องนั้นไป หลังจากที่เขาสอบซ่อมเสร็จแล้ว นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อกลับบ้านทันที พวกเขาอยากรู้ว่าในกล่องนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ตกกลางคืนนิ้งและเพื่อน ๆ ก้อไปสนาม เดะเล่นและเปิดกล่อง ๆ นั้น ข้างในกล่องมีกระดาษสีดำเขียนอยู่หนึ่งแผ่น ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า * สวัสดี เราชื่อ"เปลวเทียน"เป็นเด็กนักเรียนคนนึง เราถูกฆาตกรโรคจิด ข่มขืนและค่าหมกอยู่ในป่าแห่งหนี่ง ที่นั่นหนาวเหน็บไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของมนุษย์ เราพยายามร้องให้คนมาช่วยแต่ก้อไม่มีคายมา ตอนนี้เราเหงาเหลือเกิน จะมีใครมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ้างไหม ถ้าเทอไม่อยากให้เราลากเทอมาอยู่เป็นเพื่อนกันเรา จากนี้ไปเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ขอให้เทอก็อปข้อความข้างบนนี้ ส่งต่อให้สื่ออะไรก้อได้ เป็นจำนวน 10 coppy แต่ถ้าเธอไม่ทำตาม อีก 7 ชั่วโมงนี้ฉันจะไปตามเทอมอยู่เป็นเพื่อน * หลังจากที่นิ้งได้อ่านนั้น เอก้อไม่เชื่อ และคิดว่ามีคนมาแกล้งเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ และไม่ยอมทำตาม 7 ชั่วโมงให้หลัง นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อตาย โดยที่ไม่มีสาเหตุ ***********************************- เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงขณะนี้ หมอและตำรวจยังไม่สามารถรู้ได้ว่า เด็กเหล่านั้นตายได้เช่นไร __________ ตอนนี้พวกเทอได้อ่านกระทู้นี้ ก้อคงได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด นั่นคือ เทอจะต้อง copy ข้อความนี้เป็นจำนวน 10 copy แต่ถ้าเทอไม่ทำตามที่เด็กคนนั้นขอ เทอจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อกับเด็กคนนั้น อีก 7 ชั่วโมงให้หลัง ขอให้พวกเทอทุกคนโชคดี (ปล ห้ามส่งมายังคนเดิมที่ส่งมาอีก ไม่งั้นจะรับโทษฐานคืน ตาย!!!!!)ต.ท่าเรือ อ.ท่าเรือ จ.อยุธย อ่านแล้ว อย่าหยุด กรุณาอ่านต่อ เพราะคุนได้โดนคำสาปนี้ไปแล้ว.... อ่านต่อเลย เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงในเทศบาล.ท่าเรือ เด็กคนนี้ชื่อนิ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สาม วันนั้นเป็นวันสอบซ่อม นิ้งได้มาที่ รร เพื่อที่จะสอบซ่อม ระหว่างที่รอเพื่อน ๆ อยู่นั้น นิ้ง ก้อเหลือบไปเห็นสิ่ง ๆ หนี่ง เขาเดินเข้ไปใกล้ ๆ กับสิ่ง ๆ นั้น มันคือกล่องใส่กระดาษกล่องหนึ่ง นิ้งนั้นไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เขาก้อได้เก็บกล่องนั้นไป หลังจากที่เขาสอบซ่อมเสร็จแล้ว นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อกลับบ้านทันที พวกเขาอยากรู้ว่าในกล่องนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ ตกกลางคืนนิ้งและเพื่อน ๆ ก้อไปสนาม เดะเล่นและเปิดกล่อง ๆ นั้น ข้างในกล่องมีกระดาษสีดำเขียนอยู่หนึ่งแผ่น ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า * สวัสดี เราชื่อ"เปลวเทียน"เป็นเด็กนักเรียนคนนึง เราถูกฆาตกรโรคจิด ข่มขืนและค่าหมกอยู่ในป่าแห่งหนี่ง ที่นั่นหนาวเหน็บไม่มีแม้แต่เสียงหายใจของมนุษย์ เราพยายามร้องให้คนมาช่วยแต่ก้อไม่มีคายมา ตอนนี้เราเหงาเหลือเกิน จะมีใครมาอยู่เป็นเพื่อนเราบ้างไหม ถ้าเทอไม่อยากให้เราลากเทอมาอยู่เป็นเพื่อนกันเรา จากนี้ไปเป็นเวลา 7 ชั่วโมง ขอให้เทอก็อปข้อความข้างบนนี้ ส่งต่อให้สื่ออะไรก้อได้ เป็นจำนวน 10 coppy แต่ถ้าเธอไม่ทำตาม อีก 7 ชั่วโมงนี้ฉันจะไปตามเทอมอยู่เป็นเพื่อน * หลังจากที่นิ้งได้อ่านนั้น เอก้อไม่เชื่อ และคิดว่ามีคนมาแกล้งเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ และไม่ยอมทำตาม 7 ชั่วโมงให้หลัง นิ้งและเพื่อน ๆ ก้อตาย โดยที่ไม่มีสาเหตุ ***********************************- เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จนถึงขณะนี้ หมอและตำรวจยังไม่สามารถรู้ได้ว่า เด็กเหล่านั้นตายได้เช่นไร __________ ตอนนี้พวกเทอได้อ่านกระทู้นี้ ก้อคงได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด นั่นคือ เทอจะต้อง copy ข้อความนี้เป็นจำนวน 10 copy แต่ถ้าเทอไม่ทำตามที่เด็กคนนั้นขอ เทอจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อกับเด็กคนนั้น อีก 7 ชั่วโมงให้หลัง ขอให้พวกเทอทุกคนโชคดี

(ปล ห้ามส่งมายังคนเดิมที่ส่งมาอีก ไม่งั้นจะรับโทษฐานคืน ตาย!!!!!)ต.ท่าเรือ อ.ท่าเรือ จ.อยุธ


นี้เป็นเรื่องจิงหรือไม่พิจารนะญาณนะ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-08-23 18:28:08

เด็กซ่าบ้านแสบ
#27
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 18:29:10

#27 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 18:29:10 ]







วันที่ ศุกร์ มิถุนายน 2550

พิมพ์หน้านี้ | ดูบล๊อกอื่นๆ ที่ OKnation


"แวมไพร์" หรือ "ผีดูดเลือด...."



"แวมไพร์" หรือ "ผีดูดเลือด...."
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แวมไพร์ (Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้เเสงแดด แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง


ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับ แม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี เช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการไว้ในโลง


เรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องเค้าท์แดร็กคูล่าร์ ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น


เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ อาจมีที่มาจากที่ทวีปอเมริกากลาง มีค้างคาวขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ดูดเลือดสัตว์ที่ใหญ่กว่าเป็นอาหารในเวลากลางคืน ซึ่งค้าวคาวชนิดนี้ก็ได้มีการเรียกชื่อว่า แวมไพร์ เช่นกัน


เด็กซ่าบ้านแสบ
#28
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 18:29:36

#28 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 18:29:36 ]







เพื่อนๆ คิดว่าแวมไพร์มีจริงมั้ย !!!
คือแบบว่า เราได้อ่านหนังสือเรื่อง วุ่นนัก! ได้รู้จักคุณแวมไพร์
แล้วเราก็เกิดอาการบ้าแวมไพร์ไพร์ แล้วเราก็ศึกษาอ่านะ จากเน็ตเนียแหละ
เน็ตบางครั้งมันก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือหรอก(เราว่า เพราะมันก็ดูไม่ค่อยนาเชื่อหรอกว่าแวมไพร์มันมีอยุจริง) เค้สว่ากันว่า แวมไพร์มีอยุจิงในสมัยเมือโบราณน่ะ

ว่าแต่ เพื่อนๆเชื่อหรือป่าวว่า มันมีจริงๆ??


เด็กซ่าบ้านแสบ
#29
เด็กซ่าบ้านแสบ
23-08-2010 - 18:31:07

#29 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 23-08-2010 - 18:31:07 ]






Poll#3274 : คุณคิดว่าแวมไพร์มีจริงไหม??

คือไรอ่ะ ไม่รู้จัก
ไม่มีอย่างแน่นอน
ใครจะไปรู้ล่ะเอ้อ!!
เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง
ต้องมีดิ


majee852
#30
23-08-2010 - 19:02:18

#30 majee852  [ 23-08-2010 - 19:02:18 ]




นี่ๆ ถามหน่อยดิ แวมไพร์ หล่อไหมอ่ะ ???



หวังคำตอบนะค่ะ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#31
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 07:50:28

#31 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 07:50:28 ]






ลักษณะแวมไพร์ หน้านตาหล่อเหมือนเทพพบุรสวยเหมือนนางฟ้าผิวขาวจั๋วตาแดงหรือนํ้าตาลทองเนื้อตัวเย็นเเชบแข้งแรงเร็วกว่าสายลม


เด็กซ่าบ้านแสบ
#32
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 07:53:19

#32 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 07:53:19 ]






แวมไพร์ถูกพระเจ้าสาปแช่งเอาไว้ว่า ต้องดูดเลือดมนุษย์เพื่อประทังชีวิต
และไม่สามารถที่จะเห็นพระอาทิตย์ได้ ถ้าแสงแดดส่องกระทบโดนตัวเขา
เขาก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปกับสายลม เพราะฉะนั้นแวมไพร์ก็ได้แต่ใช้ชีวิตในยามกลางคืน ไล่ล่าผู้โชคร้ายที่หลงเข้าไปในความมืด
วันหนึ่ง มีเทพผู้หนึ่งมาสู่ดินแดนแห่งมนุษย์ ใบหน้าเขาแลดูสวยยิ่งกว่าเทพอื่นๆใด
เขาคือบุตรที่พระเจ้าโปรดปรานมากที่สุด และเขาเดินทางมาสู่โลกก็เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย เขารักษาโรคเจ็บป่วยต่างๆให้คนนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ป่วยหนักใกล้ตายแล้วเขาเพียงแค่ยื่นมือมาแตะเบาๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ในพริบตา
เมื่อแวมไพร์ได้รับรู้ข่าวนี้ ก็ปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดามาหาท่านเทพ องค์เทพก็รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งที่มีคนมาหากลางดึก เขามองครั้งแรกก็รู้เลยว่าเป็นแวมไพร์ปลอมตัวมา แต่เขาก็อยากรู้ว่าทำไมแวมไพร์ถึงได้กล้าหาญถึงเพียงนี้
"ท่านมาหาเราด้วยเหตุใดหรือ?" องค์เทพถามอย่างแปลกใจ
"ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ ขอให้ท่านเทพช่วยรักษาข้าได้ไหม?"
แวมไพร์ตอบเช่นนี้ "เป็นเพราะโรคนี้ทำให้ข้าต้องหลบอยู่ในโลกที่มืดมน แต่...
เพียงสักครั้งก็ยังดี ข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามรุ่งอรุณ"

สิ่งนี้เป็นคำขอที่ยากนัก ถึงแม้องค์เทพจะเก่งมากเพียงใด ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ไปได้ แวมไพร์ไม่สามารถพบแสงแดดได้
ก็เพราะว่านั่นคือการลงโทษจากพระเจ้า ถ้าแวมไพร์ยังอยู่ในโลกนี้ก็จะต้องทนรับโทษไปไม่มีวันสิ้นสุด
"เราต้องขออภัยด้วย เราไม่สามารถทำได้"
"สักครั้งก็ไม่ได้หรือไร?"
องค์เทพเกิดความรู้สึกว่าแวมไพร์น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เขาปลอบใจแวมไพร์ว่า
"ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจ เรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
แวมไพร์เห็นด้วยกับความเห็นขององค์เทพ ทั้งสองนัดกันไว้ว่าในวันเพ็ญที่จะถึงนี้ ไปพบกันที่ปราสาทที่แวมไพร์ หลบอาศัยอยู่ เมื่อวันนั้นมาถึง องค์เทพก็ไปตรงตามเวลาที่นัดไว้ เขานั่งอยู่เคียงข้างแวมไพร์ เล่าความเกี่ยวกับตะวันรุ่งอรุณด้วยเสียงอ่อนโยน
เมื่อถึงเวลาที่เขาทั้งสองต้องแยกลากัน แวมไพร์ก็พูดกับองค์เทพอีกว่า
"ขออภัยที่ต้องขอร้องท่านอีกหน แต่เพียงสักครั้งก็ยังดี ข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามเที่ยงตรงบ้าง"
องค์เทพก็คงยังไม่สามารถทำตามที่แวมไพร์ขอได้ เขาก็จึงนัดแวมไพร์ให้พบกันในวันเพ็ญครั้งต่อไป
"ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจ เรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
เมื่อถึงวันเวลาที่นัดเอาไว้ แวมไพร์ก็นั่งรอองค์เทพอย่างกระสับกระส่าย
องค์เทพยืนอยู่ใต้แสงจันทร์อันนวลผ่อง ปีกที่ขาวบริสุทธิ์แลดูวาวระยับ
ราวกับว่าเขาได้ใส่ผ้าคลุมสีเงินอันสวยอย่างไม่มีที่ติดังนั้น ความงามขององค์เทพทำให้แวมไพร์มิอาจเอนสายตาไปทางอื่นใดได้ องค์เทพนั่งลงเคียงข้างแวมไพร์และพูดถึงตะวันที่ตั้งอยู่บนกลางท้องฟ้า รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ขององค์เทพทำให้แวมไพร์หลงใหลยิ่งนัก ดังนั้นแวมไพร์จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอร้องเป็นครั้งที่สาม
"ขออภัยที่ต้องขอร้องท่านอีกหน แต่เพียงสักครั้งก็ยังดี ข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามเย็นบ้าง"
"ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจ เรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
แวมไพร์และองค์เทพก็ยิ้มให้แก่กัน คราวนี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสัญญา เขาทั้งสองก็รู้ดีว่าจะมาพบกันในคืนวันเพ็ญครั้งต่อไป ต่างฝ่ายต่างก็เฝ้ารอการพบครั้งต่อไป ต่างฝ่ายต่างก็หวังให้พระจันทร์เต็มดวงเร็วๆ
ในที่สุดก็ถึงคืนวันเพ็ญ องค์เทพนั่งอยู่เคียงข้างแวมไพร์ดังเดิม พูดถึงเกี่ยวกับตะวันตกดิน เมื่อคำสนทนาจบลงแวมไพร์ก็เอ่ยปากถามองค์เทพด้วยเสียงระรัว "ขอบคุณท่านมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ถ้าเป็นไปได้
ท่านจะยอมรับฟังความฝันของข้าอีกสักอย่างจะได้ไหม?"
"เราจะพยายามทำถ้าเราทำได้"
"ข้าอยากจะพบท่านอีก ข้ารู้สึกว่าเพียงแค่ได้อยู่เคียงคู่กับท่าน แสงตะวันก็นับว่าเป็นเรื่องเล็กไม่ว่ายามรุ่งอรุณ, เที่ยงวันหรือยามเย็นก็ตาม ท่านแลดูสวยงามยิ่งกว่าแสงตะวันนัก" องค์เทพได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นมา "เราก็หวังที่จะทำให้ความฝันของท่านเป็นจริงแต่เราต้องยุติภาระในแดนมนุษย์ในวันรุ่งขึ้น และต้องกลับขึ้นไปสู่แดนสวรรค์ ไม่สามารถมาพบกับท่านได้อีก"
เมื่อแวมไพร์ได้ยินคำปฏิเสธขององค์เทพแล้ว ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา "อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เทียบกับที่นี่แล้ว สวรรค์คงเป็นดินแดนที่อบอุ่นและสว่างมากสินะ ข้าก็เป็นเพียงแค่ปีศาจที่อาศัยอยู่ในความมืดมนเท่านั้นนี่นาช่วงเวลาสั้นที่ได้อยู่กับท่านก็น่าจะเพียงพอแล้ว"
"ขอโทษนะ" องค์เทพออกไปจากปราสาทของแวมไพร์อย่างเศร้าใจ เขากลับไปสู่ดินแดนสวรรค์ของเขา
พระเจ้าสังเกตเห็นใบหน้าของบุตรที่ท่านโปรดปรานแลดูผิดปกติ จึงถามว่า "ลูกน้อย เจ้าคิดอะไรอยู่หรือไร?" ใจที่องค์เทพอาทรนั้นก็มีเพียงแต่แวมไพร์ที่โดดเดี่ยวคนนั้น
"ลูกอยู่ในแดนมนุษย์ได้พบกับแวมไพร์ตนหนึ่ง เขาอยากเห็นแสงตะวันมาก
แววตาของเขาบ่งบอกลูกว่าเขาอยู่อย่างเงียบเหงายิ่งนัก หลายร้อยปีที่ผ่านมาเขาต้องอาศัยอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากผู้คน และอยู่แต่ในความมือที่น่าเศร้าใจ" องค์เทพเอ่ยปากบอกความในใจเขาแก่พระเจ้า
"เพราะฉะนั้น ลูกอยากจะช่วยเหลือเขา อยู่ใกล้เคียงเขา พูดคุยกับเขา เมื่อลูกบอกกับเขาว่าไม่สามารถพบกันได้อีก ลูกรู้ว่าเขามองส่งลูกจากไปด้วยความอาลัยจนลับตาเขา"
"ลืมเขาเสียเถิด มันไม่มีค่าพอที่ลูกจะอาวรณ์อยู่ร่ำไป" พระเจ้ากำชับองค์เทพซ้ำแล้วซ้ำอีก เสมือนว่าพระเจ้ารับรู้แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า
"ลืมเขาเสียเถิด มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับความทรมานยิ่งกว่านี้"
องค์เทพยอมเชื่อฟังคำชี้แนะของพระเจ้าแต่โดยดี เขาตั้งใจว่าจะไม่นึกคิดอะไรเกี่ยวกับแวมไพร์อีก เขาหลบไปอาศัยอยู่ในส่วนลึกแห่งดินแดนสวรรค์อย่างเงียบๆคนเดียว ดำรงชีวิตไปตามปกติ มีเพียงว่าบางครั้งเขาจะปวดใจขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
ในแดนมนุษย์ แวมไพร์ก็เป็นเช่นเดียวกับองค์เทพ ทั้งๆที่องค์เทพบอกกับเขาว่าจะไม่กลับมาอีกแต่แวมไพร์ก็คงยังรอคอยอยู่อย่างเดียวดายทุกคืนวันเพ็ญเช่นเดิม
"ไม่แน่เขาอาจจะมาก็เป็นได้" แวมไพร์พึมพำเช่นนี้กับตัวเองเสมอ
แต่สิ่งที่ได้มาจากการรอคอยของเขาก็มีแต่ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากนั้นแวมไพร์ก็เปลี่ยนเป็นเฝ้ารอทุกคืนวัน เขานึกคิดไปว่าองค์เทพอาจจะเคยมาหาเขาและสวนทางกับเขาในเวลาที่เขาออกไปหากินเขาไม่ยอมออกไปดูดเลือดมนุษย์อีก ร่างกายเขาค่อยๆทรุดโทรมลงแรงพลังของเขานับวันก็ยิ่งอ่อนล้าลง เขาได้แต่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น รอคอยการกลับมาขององค์เทพ
เทพอื่นๆได้รับรู้สภาพความของแวมไพร์แล้ว ก็นำความนี้ไปแจ้งให้พระเจ้าทราบ
"บนท้องฟ้าไม่สามารถมีพระอาทิตย์และพระจันทร์ปรากฏขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน
ถ้าเขาทั้งสองต้องการจะอยู่ด้วยกันจริงๆ องค์เทพก็ต้องถูกกักขังอยู่ในราตรีเคียงคู่กับเขาตลอดไป" พระเจ้าไม่อาจทนเห็นบุตรที่ท่านโปรดปรานต้องไปอยู่กับแวมไพร์ในโลกที่มืดมนท่านได้สั่งกับบรรดาเทพทั้งหลายไม่ให้เข้าใกล้องค์เทพ และห้ามบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ให้เขารู้โดยเด็ดขาด
วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แวมไพร์ทรุดโทรมมากถึงขนาดว่ากลางคืนก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปไหนได้เมื่อเขาใช้พลังหมดแล้ว ก็จะหมดความรู้สึกตัวไป หลับไปจนกระทั่งพลังของเขาจะเพิ่มเติมจนเต็มจากแสงพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ในช่วงเวลานี้ เขาจะไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งความฝัน
แวมไพร์ได้แต่นอนหลับไปเรื่อยๆ ถึงแม้เวลาจะไม่รอใคร แต่อย่างน้อยในเวลาที่แวมไพร์ยังหลับอยู่เขาก็ไม่ต้องทรมานกับความคิดถึงที่เขามีแก่องค์เทพ จนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา
ถ้ามีใครมาจุดไฟเผาร่างเขาในเวลานี้ เขาก็จะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปโดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น เขาไม่กลัวว่าจะถูกทำลาย เขากลัวแต่ว่าเขาจะไม่ได้พบกับองค์เทพอีก เขามองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย บุคคลที่เขาคิดถึงและรอคอยอยู่ทุกค่ำคืนวันอาศัยอยู่บนชั้นบนสุดของท้องฟ้าที่กว้างไกลนี้ นั่นคือดินแดนของพระเจ้า
ดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ ไม่ใช่สถานที่ที่ปีศาจที่สกปรกและต่ำต้อยอย่างเขาหวังจะขึ้นไปอยู่ได้
องค์เทพตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ? คงจะร้องรำทำเพลง พูดคุยกับปวงเทพอย่างสนุกสนานก็เป็นได้ ไม่รู้ว่าเขายังจำได้หรือไม่ว่า เคยนั่งอยู่เคียงข้างเขาในคืนวันเพ็ญสามคืนนั้น?นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งในภาระทั้งหมดที่องค์เทพต้องทำ แต่สำหรับแวมไพร์แล้วความสุขที่เขาได้ในสามคืนวันเพ็ญนั้น สามารถลบล้างความทรมานที่เกิดจากต้องทุกทนอยู่กับความเหงามาหลายร้อยปีได้หมดสิ้น มีความทรงจำที่ดีๆของสมาคืนนั้นแล้ว จะให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกหลายร้อยปีก็ได้ แต่ทว่า... เขาคงจะไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดำรงชีวิตได้นานขนาดนั้น
ความเศร้าของแวมไพร์ ได้แปรเปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นส่งไปถึงใจขององค์เทพ เขาเก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของพระอาทิตย์และพระจันทร์ทุกคืนวัน บางครั้งเขาก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้สาเหตุเขารู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างในร่างกายเขาได้หายไป แล้วจะเรียกให้เขาลืมสิ่งนั้นทิ้งไปให้หมดได้อย่างไร?
สวรรค์นั้นดูขาวสะอาดจนเกินไป บรรดาเทพทั้งหลายในชุดหลากสี ความอ่อนโยนและรอยยิ้มเหล่านั้นดูเสมือนเป็นสิ่งที่หลอกลวง ความเงียบสงบก็ดูไร้ความจริง
ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้องค์เทพรู้สึกหมองใจจนอยากร้องไห้ออกมา แวมไพร์ผู้น่าสงสารเวลานี้คงแหงนหน้ามองท้องฟ้าคิดถึงเราใช่ไหมนะ? สิ่งเดียวที่ปกป้องเขาได้ก็มีแต่ความมืดแท้จริงแล้วเขานั้นบอบบางและโดดเดี่ยวมาตลอด แต่เรากลับหักหลังเขา ทิ้งเขาไว้คนเดียว ทั้งที่ๆเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรามากกว่าใครๆ
น้ำตาขององค์เทพไหลหยาดสู่พื้นดิน กลายเป็นฝนแห่งความเศร้าตกลงสู่ดินแดนมนุษย์
"เราอยากพบเขา" องค์เทพตัดสินใจดังนี้ แต่ถ้าไม่มีคำสั่งของพระเจ้า เขาไม่สามารถลงไปสู่ดินแดนมนุษย์ได้
เขาจึงคิดจะหลบออกไปทางปลายแดนสวรรค์ คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขากำลังจะหนีออกไป
พระเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเขา "บุตรที่ข้ารัก ทำไมเจ้าถึงอยากไปจากที่นี้หรือ?"
พระเจ้าถามเสียงอ่อนโยน "ถ้าเจ้าไปหาแวมไพร์ตนนั้นแล้ว จะต้องอยู่แต่ในความมืดเช่นเดียวกับเขา ไม่สามารถกลับคืนสู่แดนสวรรค์ได้อีก และอาจจะโดนประทุษร้ายจากผู้อื่นที่คิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับแวมไพร์
ศัตรูของพวกเขา มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก" "ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราก็ขอเป็นแสงสว่างแห่งเดียวในความมืดนั้นก็เพียงพอแล้ว
อย่างน้อยเราสามารถคอยส่องทางให้เขาได้" "ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถลืมเขาได้หรือไร?"
"ถ้าเขาไม่รอคอยเราอีกต่อไป เราก็จะตัดสินใจลืมเขาเสีย" "..." พระเจ้าเงียบไปครู่หนึ่ง
ท่านเห็นใจในการตัดสินใจขององค์เทพ และสงสารที่องค์เทพจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้าย
"ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าขออวยพรให้เจ้านะ บุตรน้อย ถึงแม้เจ้าไม่อาจกลับคืนมาสู่สวรรค์ได้อีก
แต่ข้าอนุญาตให้เจ้าดึงปีกของเจ้าทิ้ง ถ้าเจ้าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ถึงเวลานั้นข้าจะให้ความสงบแก่เจ้าตลอดไป" และแล้วองค์เทพก็ค่อยๆบินลงไปสู่ดินแดนมนุษย์
วันนั้นก็เป็นคืนวันเพ็ญพอดี เมื่อแวมไพร์เห็นองค์เทพปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ ถึงแม้ร่างกายเขาจะอ่อนเพลียมาก เขาก็ยังลุกขึ้นไปรอรับองค์เทพลงมาสู่พื้นดินด้วยความตื้นตันใจ
"ท่านจะอยู่ที่นี้ต่อไปหรือไม่?"
"เราไม่ต้องการจะไปไหนอีกแล้ว นอกจากอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป"
องค์เทพร้องไห้พลางโอบกอดแวมไพร์อย่างแนบแน่น และแล้วเขาทั้งสองก็เริ่มอาศัยอยู่ด้วยกันแต่แวมไพร์ก็คงยังอ่อนเพลียมาก เขาไม่สามารถลุกออกจากโลงศพไปไหนได้ องค์เทพได้แต่นั่งเฝ้าอยู่เคียงข้างเขา พูดคุยกับเขาเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในยามกลางคืน
"ท่านก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่าข้าไม่มีอะไรเลย ก่อนหน้าที่ได้พบท่าน ข้าไม่รู้ว่าข้าอยู่บนโลกนี้เพื่อใครและอยู่ไปทำไม
แต่ท่านทำให้ข้าได้เห็นและรับรู้ในสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน" แวมไพร์บอกกับองค์เทพเช่นนี้
"สถานที่นี้ดูงดงามมาก แต่มันก็ทำให้ข้าหวาดหวั่น ปีศาจอย่างข้ามิสมควรที่จะได้รับความสุขสำราญมากเช่นนี้
ข้าไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ไม่แน่ว่าความสุขที่ข้ามีอยู่อาจจะหายไปในพริบตาก็เป็นได้"
"ท่านกลัวมากหรือ?" องค์เทพยื่นมือสัมผัสมือที่เย็นเฉียบของแวมไพร์
"ข้ากลัวว่าเราจะจากกันไป พูดได้ว่าข้ากลัวว่าข้าจะต้องเสียท่านไป ตลอดกาล ข้ากลัวการมาถึงของวันนั้น"
"เราจะไม่จากท่านไปเป็นเด็ดขาด"
"ถ้าคนที่จากไปคือข้าล่ะ?"
"ท่านจะทำเช่นนั้นหรือ?"
"ไม่ ถ้าข้าจากไปแล้ว เหลือแต่ท่านอยู่คนเดียวได้อย่างไร ท่านก็ไม่สามารถกลับสู่สวรรค์ได้อีกแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้น เราสองคนจับมือกันไว้ตลอดนะ อย่าปล่อยเป็นอันขาดนะ"
องค์เทพจุมพิตมือของแวมไพร์อย่างแผ่วเบา และซบหน้าลงบนอุ้งมือของแวมไพร์
วันหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งได้หลงทางในป่าและเข้ามาถึงปราสาทของแวมไพร์
องค์เทพพาเด็กน้อยกลับไปสู่ในเมือง หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกไปว่าองค์เทพอาศัยอยู่ในเมืองบรรดานักบวชและชาวบ้านก็เดินทางไปหาองค์เทพ บ้างก็ขอให้องค์เทพช่วยรักษาโรคเจ็บป่วยให้องค์เทพก็ช่วยตรวจดูรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้านในยามกลางวัน ไม่คิดที่จะสนใจบรรดานักบวชทั้งหลาย
นักบวชคนหนึ่งที่เคยโดนองค์เทพปฏิเสธ แอบหลบเข้าไปในปราสาทในยามที่องค์เทพกำลังรักษาโรคอยู่ เขาพบแวมไพร์อาศัยอยู่ในปราสาท หลังจากนั้นข่าวลือก็กระจายไปทั่วบางคนว่าเทพองค์นี้อาศัยอยู่กับปีศาจก็คงจะไม่ใช่เทพที่ดีแน่นอน
บางคนก็ว่าองค์เทพอยู่กับปีศาจเพื่อที่จะล้างบาปให้ปีศาจตนนั้น
พวกข้าราชการในเมืองได้แอบตัดสินใจเอาไว้ เพราะว่าผู้คนต่างแดนที่นับถือองค์เทพได้เข้าเมืองมาเป็นจำนวนมาก ทำให้พวกเขากินกำไรไปได้ไม่น้อย แวมไพร์เป็นจุดด่างขององค์เทพ ไม่ว่าจะใช้วิธีใด พวกเขาก็จะกำจัดแวมไพร์ทิ้งไปให้ได้
พวกเขาได้ส่งนักบวชคนหนึ่งไปเฝ้ารออยู่ใกล้ๆปราสาท และใช้อุบายหลอกให้องค์เทพออกมา
"แย่แล้วท่านเทพ!! ท่านรัฐมนตรีป่วยหนักมาก ขอเชิญท่านไปตรวจดูท่านรัฐมนตรีให้หน่อย"
องค์เทพได้ยินแล้ว ก็มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมาอยู่ในใจ แต่เขาก็ตามชายคนนั้นออกไปจากปราสาทหลังจากนั้นนักบวชทั้งหลายบุกเข้าไปในปราสาท พร้อมกับไม้กางเขนและไม้แหลมอยู่ในมือ
พวกเขาล้อมแวมไพร์เอาไว้และสวดมนตร์ท่องคาถาต่างๆ เพื่อที่จะปลุกแวมไพร์ให้ตื่นขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แวมไพร์คงยังอ่อนเพลียมาก แต่เมื่อเขาเห็นสถานการณ์ที่อยู่ต่อหน้าเขาก็ต้องฝืนแรงหลบหนีภัย เขากัดคอฆ่านักบวชไปหลายคน เพื่อที่จะหาทางออกจากวงล้อม
องค์เทพล่ะ? โดนคนเหล่านี้จับไปแล้วหรือ? เขาอยู่ไหน? มีอันตรายหรือไม่?
แวมไพร์หลบหนีผู้ไล่ล่าทั้งหลาย เขารู้จักสถานที่นี้ดีกว่าใครๆ ไม่นานเขาก็ไปหลบอยู่ภายใต้ผ้าม่านผืนหนาในมุมมืดแห่งหนึ่ง
"เจ้าปีศาจล่ะ?"
"หนีไปได้เร็วจริงเชียว"
เสียงฝีเท้าของบรรดานักบวชวิ่งผ่านตัวเขาไป ...มนุษย์ที่น่าชัง!! ถ้าไม่ใช่ว่านี่เป็นเวลากลางวันข้าจะทำให้พวกเจ้าแต่ละคนตายอย่างอนาถ... แวมไพร์พอได้มีดูดเลือดคนไปหน่อยก็รู้สึกมีพลังฟื้นขึ้นมาบ้างเขาคิดวางแผนว่าเมื่อตะวันตกดินไปแล้วเขาจะพาองค์เทพหนีไปอย่างไร ทันใดนั้น แวมไพร์ก็สังเกตเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้สู่ตัวเขา...ถ้าข้าได้ดูดเลือดเด็กคนนี้แล้ว พลังของข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีก...เขามองดูเด็กน้อยอย่างเงียบๆ เด็กน้อยค่อยๆเข้ามาใกล้ตัวเขา และแล้ว
เขาก็อุดปากเด็กน้อยไว้และลากตัวเขาเข้าไปในที่มืด "อืม~อืม~อืม~"
เมื่อมองหน้าเด็กอย่างชัดๆ แวมไพร์ก็จำได้ว่าเขาคือเด็กที่องค์เทพเคยช่วยเหลือจากการหลงทางถ้าฆ่าเขาแล้ว องค์เทพคงจะเศร้าใจแน่นอน... คิดถึงนี่แล้วแวมไพร์ก็ปล่อยมือและพูดเบาๆว่า
"เจ้าไปเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้า"
เด็กน้อยเบิกตาโพลง ไม่เชื่อว่าตัวเขาจะโชคดีเพียงนี้ เขาล้มลุกคลุกคลานหนีไป
แต่สักพัก เด็กน้อยดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หันกลับมามองแวมไพร์อย่างเคียดแค้น
"เจ้าคือปีศาจที่ทำให้องค์เทพแปดเปื้อนไปด้วยความสกปรก กำจัดเจ้าทิ้งคือของขวัญที่ดีที่สุดที่ข้ามอบให้แก่องค์เทพ!!"
เด็กน้อยดึงผ้าม่านออกอย่างสุดแรง แวมไพร์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ต้องโดนแสงแดดสอดส่องเขาทั้งตัว...
องค์เทพรู้สึกปวดหน้าอกขึ้นมาโดยกะทันหัน เหมือนกับว่าโดนกระชากอะไรไปสักอย่างเขาปวดมากจนล้มฟุบลงกับพื้น ชายผู้นำทางถามองค์เทพอย่างตกใจ "ท่านเทพ ท่านเทพเป็นอย่างไรหรือ?"
องค์เทพรู้ว่ามีบางสิ่งที่ร้ายแรงเกิดขึ้น เขารีบย้อนกลับ กางปีกบินกลับไปสู่ปราสาท
ไม่ว่าชายผู้นั้นจะร้องเรียกอย่างไร เขาก็ไม่สนใจ ภายในปราสาทคล้ายกับว่ามีงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง
เด็กน้อยคนหนึ่งโดนผู้คนโยนขึ้นโยนลงด้วยความปีติ พวกเขาหัวเราะเฮฮา พูดชมถึงความกล้าหาญของเด็กน้อย
"ควรจะทำตราประทับให้เด็กน้อยผู้นี้นะ"
"เป็นเกียรติของพวกเราอย่างยิ่ง เจ้าปกป้องคนทั้งเมืองจากหายนะ"
"ดูสิ!! ท่านเทพมาแล้ว!!" มีคนเห็นองค์เทพยืนมองพวกเขาอยู่ไม่ไกล
บรรดาผู้คนพากันเดินเข้าใกล้องค์เทพ บอกกับองค์เทพด้วยความยินดี
"เด็กคนนี้ได้กำจัดปีศาจทิ้งไปแล้ว"
"ท่านเทพโปรดอวยพรให้เขาด้วย"
"นี่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ทำให้เรากำจัดปีศาจได้ เป็นเวลาที่น่าระทึกใจ พวกเราควรจะสลักหินบันทึกเก็บเอาไว้"
องค์เทพผลักผู้คนออก เขาวิ่งไปสู่กลางสนามที่ที่มีด้ายแดงล้อมบางสิ่งอยู่
ภายในวงล้อมนั้นมีเพียงแต่กองเถ้าธุลี เสียงระเบิดดังขึ้นในสมองเขา...
"ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ ขอให้ท่านเทพช่วยรักษาข้าได้ไหม?"
"...อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เทียบกับที่นี่แล้ว สวรรค์คงเป็นดินแดนที่อบอุ่นและสว่างมากสินะ..."
พระเจ้าผู้เป็นใหญ่ แวมไพร์เขาอยากพบเห็นแสงตะวันมากยิ่งนัก แต่ดูสิว่าแสงตะวันให้อะไรกับเขา?
องค์เทพร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น บรรดาชาวบ้านได้แต่มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี?
"เราไม่ต้องการจะไปไหนอีกแล้ว นอกจากอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป"
องค์เทพแลมองรอบๆอย่างสลดใจ แล้วก็ดึงปีกอันขาวบริสุทธิ์ที่กลางหลังเขาออกอย่างแรงเลือดของเขาทะยักไหลออกไม่ไม่หยุด ไหลรินลงบนเถ้าธุลีกองนั้น
องค์เทพล้มนอนลงบนกองธุลี และไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย
ลมคงจะรับรู้ถึงความรู้สึกขององค์เทพ พัดพาธุลีสีแดงปลิวไปตามสายลม
คงจะเป็นเพราะโดนลมพัดเถ้าเข้าตาก็เป็นได้ ผู้คนที่ล้อมรอบเดินจากไปพร้อมน้ำตา...
ถ้ามีกัลปาวสานจริงๆ...
ขอให้ฉันได้รักเธอ... ทุกๆวัน...ตลอดไป...
ถ้ากัลปาวสานไม่มีจริง...
ขอให้เวลาหยุดลงตรงนี้... วินาทีนี้ที่ฉันได้รักเธอ...


เด็กซ่าบ้านแสบ
#33
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 07:54:05

#33 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 07:54:05 ]






บริษัท แวมไพร์ จำกัด
ซอยสยามธรณี ถนนคู้บอน 27 159/301 (ซอย 5) หมู่บ้านวิลล่ารามอินทรา แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220
02-184 3024 – 081-7121898 (โทรศัพท์เคลื่อนที่)
เส้นทางค้นหาสถานที่ใกล้เคียงรายงานปัญหาเพิ่มเติม▼
ประเภท:
ร้านค้าปล..., ร้านค้าปล..., ร้านค้าปล..., ...
ชั่วโมงทำการ:
วันนี้ 9am – 5pm
รายละเอียด
‎พื้นที่ให้บริการ‎: ท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร Thailand และสถานที่ต...‎ - แสดง
‎การชำระเงินที่ยอมรับ‎: ชำระเงินสดขณะส่งมอบ...‎
‎อีเมล‎: pongpitak.nta@hotmail.com‎
เจ้าของธุรกิจ‎
รายละเอียดเพิ่มเติม »


เด็กซ่าบ้านแสบ
#34
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 07:55:35

#34 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 07:55:35 ]






แวมไพร์ หรือ ผีดูดเลือด
ผู้หญิงที่มาเลเซีย เชื่อกันว่า เสียชีวิต ในขณะ หรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด

ดูดเลือด หรือ แวมไพร์ (Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปิศาจ แม้ว่า ผีดูดเลือด จะอยู่ในร่างของมนุษย์ มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ มันคือคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลงมีชีวิตใหม่โดยดูดเลือดเป็นอาหาร สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือด ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน

ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะ หรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก

ศพถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก

ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ

ขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย

ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด

บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็น แวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน

แวมไพร์ มีจริงหรือ ?

บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล


ปลายพุทะศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ

ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์

ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย


เด็กซ่าบ้านแสบ
#35
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 07:56:29

#35 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 07:56:29 ]






แวมไพร์...เป็นอะไร....มันเป็นตัวอะไร....อยู่ที่ไหน...เกิดเมื่อไหร่...แล้วใครเป็นผู้สร้าง...เคยรู้หรือไม่?...บางคนก็ตอบไปตามความคิดที่ถูกปูพื้นฐานว่า มันก็เป็นเพียงแค่ ผีดูดเลือดที่ตายแล้วแล้วก็ฟื้นคืนชัพได้...บางคนก็บอกว่า เป็นผีหล่อๆเท่บาดใจ ผีสวยๆที่แสนเซ็กซี่...หรือ...บางคนบอกอีกแบบว่า...มันเป็นตัวที่มีลักษณะนิสัยเหมือนแดรกคูล่าแต่เพียงแค่ไม่ใช่พวกเจ้าชายก็เท่านั้น...

แล้วแวมไพร์ จำเป็นต้องอยู่ที่โรมาเนียเสมอไปเหรอ จำเป็นจะต้องดูดเลือดได้แค่เพศตรงข้ามเท่านั้นหรอ!
หากคิดอย่างนั้น ก็ลบไปจากสมองไปได้เลย แวมไพร์ที่รู้จักกันในวงกว้างน่ะ เป็นเพียงแค่สิ่งที่อาจอิงความจริง แต่ก็ใช่ว่าจะจริงเสมอไปนะ

เอาล่ะ! เรื่องที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้ ขอยืนยันเลยว่ามันเคยเกิดจริงๆในชีวิตของฉัน ก่อนที่จะอ่านนั้น ขอแจ้งก่อนที่จะอ่านเลยว่า

1.หากเป็นคนที่ขวัญอ่อน เป็นโรคประจำตัวอะไรซักอย่าง เป็นโรคจิต หรือ เผลอหลวมตัวซื้อมาอ่าน ก็จงปิดมันซะและให้คนอื่นไปเลย หรือไม่ก็โยนลงถังไปเลยก็ได้นะ ไม่ว่ากัน เพราะว่า เรื่องที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้ มันไม่ใช่เรื่องโสภาและน่าชื่นชมตามจินตนาการ และมันอาจทำให้คุณเสียเวลาในการทำมาหากินของตัวเอง

2.ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เอาไว้ทำให้คุณเพลิดเพลินได้ แต่อย่าว่าผู้ที่มีความเชื่ออยู่แล้วว่างมงายหรืองี่เง่า เพราะ มันจะทำให้เขารู้สึกแย่ที่คุณขัดจังหวะการอ่าน และบางครั้งอาจหยิบสิ่งใกล้ตัวทำร้ายคุณได้

3.สุดท้าย เมื่ออ่านจบแล้ว อย่าเอะอะโวยอะไรทั้งสิ้น จงเก็บไว้เป็นความลับในส่วนที่ลึกที่สุดในใจของคุณก็เพียงพอแล้ว
อ้อ ลืมบอกไป....

ก่อนอ่าน หายใจลึกๆเข้า ให้อนุภาคอากาศทุกอนูซึมแทรกไปที่ปอดและผ่อนลมหายใจ (ท่องบทสวดวันทามารีอาไว้ก็ดี) เพราะอาจจะทำให้คุณสะดุ้งทุกเวลา และที่สำคัญ

อย่าอ่านคนเดียวในห้องมืดเด็ดขาด!


เด็กซ่าบ้านแสบ
#36
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 08:01:34

#36 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 08:01:34 ]






แวมไพร์
จากไร้สาระนุกรมเสรี - อนึ่งบทความนี้ถูกแก้ไขได้โดยผู้ใช้ทั่วไป หากแป้กหรือเสื่อมประการใดทางเราไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น
แวมไพร์(Vampire) สิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่เมพอย่างเหนือมนุษย์โดยแท้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่จำเป็นต้องโซ้ยเลือด(หมา)เป็นอาหารและขี้ของมนุษย์เป็นกลับแกล้ม เมื่อหิว ..อาศัยอยู่ในที่มืด กลัวแสงสว่าง และเกลียดกระเทยกะกระเทียมอย่างแรง

หลังจากนั้นตัวอื่นๆก็เริ่มเกิดตามแวมไพร์ตนแรก เรียกว่าอย่างเป็นทางการว่า เป็นแวมไพร์ขั้นที่ 1


แวมไพร์ที่พัฒนาตัวเองไปจนถึงขั้นที่ 2


แวมไพร์ที่พัฒนาตัวเองไปจนถึงขั้นที่ 3 (ลักษณะเริ่มคล้ายคลึงกับมนุษย์)
[แก้ไข] แวมไพร์ที่พัฒนาตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ(แวมไพร์ในปัจจุบัน)

แวมไพร์ในปัจจุบัน(เป็นแวมไพร์ขั้นที่ 4)จะรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์อย่างโดยแท้ แต่จะมีสิ่งที่ผิดปกติคือมันจะมีเขี้ยวอันแหลมคม(เพื่อไว้สำหรับกัดขี้) แวมไพร์ในปัจจุบันนี้ได้เผยแผ่ไปยังหลากหลายประเทศ โดยจะอาศัยอยู่ตามบ้านร้างๆโทรมๆ เพราะไม่มีเงินจะไปซื้อเช่าบ้านกะคนเค้า ...แวมไพร์อยู่ได้ในเฉพาะที่มืดเท่านั้น

พิธีการสานต่อพลังแวมไพร์

แวมไพร์สามารถไปแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นได้ ผู้ที่คิดค้นพิธีแพร่เชื้อนี้ก็คือทั่นมหาเมพแวมไพร์หลอดซึ่งทรงเป็นบร๊ะแวมไพร์ตนแรกของโลก
พิธีการแพร่เชื้อคือการกัดที่บริเวณคอของใครคนใดคนหนึ่ง เพียงแค่กัดคอบุคคลนั้น คนผู้นั้นก็จะติดเชื้อโรคแวมไพร์และบ้าในที่สุด(ฤทธิ์ของโรคจะคล้ายๆกับโรคพิษสุนัขบ้า)


ง้างพร้อมกัด(และกินขี้!!)


พิธีสานต่อพลังแวมไพร์


ปฏิกิริยาผู้ที่โดนแวมไพร์กัด


ลักษณะของผู้ที่โดนกัดหลังจากนั้นราวๆ 1 ชั่วโมงถัดมา(เป็นแบบนี้ทุกคนและทุกเพศทุกวัย)
[แก้ไข] แวมไพร์พันธุ์พิลึกอรหันต์การันต์ยอ

แวมไพร์พันธุ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยแวมไพร์ฝรั่งเศษตระกูลมาร์คเกอร์ อพยพมาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นและอาศัยอยู่ที่นั่น จากนั้นได้มีลูกสาวชื่อ มาอากะ คางขิง คางขิงเป็นแวมไพร์ที่ไม่ดูดเลือด แต่เป็นแวมไพร์ที่ถ่ายเลือด โดยร่างกายของเธอจะผลิตเลือดอยู่บ่อยๆในปริมาณมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ร่างกายเธอเปลี่ยนไปอีกด้วย คางขิงไม่กลัวแสงสว่าง เธอสามารถกินกระเทียมและเยสกะกระเทยได้โดยไม่กลัว
เนื่องจากเป็นแวมไพร์ที่ประหลาดและเหนือกว่าใคร ทำให้เป็นแวมไพร์ที่น่ายกย่องที่สุด จึงมีบร๊ะคัมภีย์ฉบับของทั่นคางขิงโดยเฉพาะถูกตีพิมพ์ออกมา
ว่ากันว่า

แวมไพร์ผู้ชายจะหล่อลาก ส่วนผู้หญิงจะเซ็กซี่
แวมไพร์กัดที่อื่นก็ได้ถ้ามีเส้นเลือดใหญ่
แต่ที่นิยมให้กัดคอเพราะำเรื่องความดึงดูดทางเพศล้วนๆ (หาคนอ่านจนหลายเป็นวัฒนธรรมแวมไพร์ไปแล้วนั่นเอง)
แวมไพร์กินเหล้าไม่เมา
แท้จริงแล้วแวมไพร์ไ่ม่กลัวไม้กางเขน น้ำมนต์ กระเทียม ฯลฯ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#37
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 08:01:34

#37 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 08:01:34 ]






แวมไพร์
จากไร้สาระนุกรมเสรี - อนึ่งบทความนี้ถูกแก้ไขได้โดยผู้ใช้ทั่วไป หากแป้กหรือเสื่อมประการใดทางเราไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น
แวมไพร์(Vampire) สิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่เมพอย่างเหนือมนุษย์โดยแท้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่จำเป็นต้องโซ้ยเลือด(หมา)เป็นอาหารและขี้ของมนุษย์เป็นกลับแกล้ม เมื่อหิว ..อาศัยอยู่ในที่มืด กลัวแสงสว่าง และเกลียดกระเทยกะกระเทียมอย่างแรง

หลังจากนั้นตัวอื่นๆก็เริ่มเกิดตามแวมไพร์ตนแรก เรียกว่าอย่างเป็นทางการว่า เป็นแวมไพร์ขั้นที่ 1


แวมไพร์ที่พัฒนาตัวเองไปจนถึงขั้นที่ 2


แวมไพร์ที่พัฒนาตัวเองไปจนถึงขั้นที่ 3 (ลักษณะเริ่มคล้ายคลึงกับมนุษย์)
[แก้ไข] แวมไพร์ที่พัฒนาตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ(แวมไพร์ในปัจจุบัน)

แวมไพร์ในปัจจุบัน(เป็นแวมไพร์ขั้นที่ 4)จะรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์อย่างโดยแท้ แต่จะมีสิ่งที่ผิดปกติคือมันจะมีเขี้ยวอันแหลมคม(เพื่อไว้สำหรับกัดขี้) แวมไพร์ในปัจจุบันนี้ได้เผยแผ่ไปยังหลากหลายประเทศ โดยจะอาศัยอยู่ตามบ้านร้างๆโทรมๆ เพราะไม่มีเงินจะไปซื้อเช่าบ้านกะคนเค้า ...แวมไพร์อยู่ได้ในเฉพาะที่มืดเท่านั้น

พิธีการสานต่อพลังแวมไพร์

แวมไพร์สามารถไปแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นได้ ผู้ที่คิดค้นพิธีแพร่เชื้อนี้ก็คือทั่นมหาเมพแวมไพร์หลอดซึ่งทรงเป็นบร๊ะแวมไพร์ตนแรกของโลก
พิธีการแพร่เชื้อคือการกัดที่บริเวณคอของใครคนใดคนหนึ่ง เพียงแค่กัดคอบุคคลนั้น คนผู้นั้นก็จะติดเชื้อโรคแวมไพร์และบ้าในที่สุด(ฤทธิ์ของโรคจะคล้ายๆกับโรคพิษสุนัขบ้า)


ง้างพร้อมกัด(และกินขี้!!)


พิธีสานต่อพลังแวมไพร์


ปฏิกิริยาผู้ที่โดนแวมไพร์กัด


ลักษณะของผู้ที่โดนกัดหลังจากนั้นราวๆ 1 ชั่วโมงถัดมา(เป็นแบบนี้ทุกคนและทุกเพศทุกวัย)
[แก้ไข] แวมไพร์พันธุ์พิลึกอรหันต์การันต์ยอ

แวมไพร์พันธุ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยแวมไพร์ฝรั่งเศษตระกูลมาร์คเกอร์ อพยพมาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นและอาศัยอยู่ที่นั่น จากนั้นได้มีลูกสาวชื่อ มาอากะ คางขิง คางขิงเป็นแวมไพร์ที่ไม่ดูดเลือด แต่เป็นแวมไพร์ที่ถ่ายเลือด โดยร่างกายของเธอจะผลิตเลือดอยู่บ่อยๆในปริมาณมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ร่างกายเธอเปลี่ยนไปอีกด้วย คางขิงไม่กลัวแสงสว่าง เธอสามารถกินกระเทียมและเยสกะกระเทยได้โดยไม่กลัว
เนื่องจากเป็นแวมไพร์ที่ประหลาดและเหนือกว่าใคร ทำให้เป็นแวมไพร์ที่น่ายกย่องที่สุด จึงมีบร๊ะคัมภีย์ฉบับของทั่นคางขิงโดยเฉพาะถูกตีพิมพ์ออกมา
ว่ากันว่า

แวมไพร์ผู้ชายจะหล่อลาก ส่วนผู้หญิงจะเซ็กซี่
แวมไพร์กัดที่อื่นก็ได้ถ้ามีเส้นเลือดใหญ่
แต่ที่นิยมให้กัดคอเพราะำเรื่องความดึงดูดทางเพศล้วนๆ (หาคนอ่านจนหลายเป็นวัฒนธรรมแวมไพร์ไปแล้วนั่นเอง)
แวมไพร์กินเหล้าไม่เมา
แท้จริงแล้วแวมไพร์ไ่ม่กลัวไม้กางเขน น้ำมนต์ กระเทียม ฯลฯ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#38
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 08:02:42

#38 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 08:02:42 ]






คือไปเจอมาไม่อยากปั้มกระทู้มันรก

ศาสนาโดเรม่อน

ศาสนาโดเรมอน เป็นศาสนาแบบแมวนิยม(Nekoism) ชนิดมีเมพหลายองค์ โดยมีองค์เมพสูงสุดคือ มหาเมพโดเรม่อน และมีเมพีโดเรมี่เป็นเมพีสูงสุด ต้นกำเนิดของศาสนายังไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่ามาจากที่ใด แต่จากการศึกษาย้อนตำนานไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วซึ่งเป็นยุคที่ศาสนาถือกำเนิดขึ้น มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่าศาสนาโดเรม่อนมีต้นกำเนิดในประเทศยี่หุ่น โดยในบันทึกฉบับเก่าแก่กล่าวถึงองค์บร๊ะศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาที่มีพระนามว่า ท่าน Noobita
มหาเมพโดเรม่อน



มหาเมพโดเรม่อน


มหาเมพสำแดงอิทธิฤทธิ์ แก่บร๊ะศาสดา


ทามแมชีน เครื่องมือหากินอย่างหนึ่งของมหาเมพ
มหาเมพโดเรม่อน ได้ถูกยกย่องเป็นเมพสูงสุดในศาสนา พระองค์ทรงมีพระวรกายละม้ายคล้ายแมวตัวสีน้ำเงินที่ไม่มีหูและไม่มีนิ้วยกเว้นหางรูปทรง คล้ายกับลูกสนุ๊กเด้อ บางนิกายว่าท่านเป็นตัวทานูกิหรือแร็คคูนหรือไม่ก็ไฮยีน่า แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว มหาเมพโดเรม่อนในร่างแมวไม่มีหูแทบจะไม่มีเลย เป็นที่ยอมรับกันมากที่สุด ท่านแสดงปาฏิหาริย์เป็นครั้งแรกด้วยการปรากฏตัวออกมาจากลิ้นชักในห้องขององค์บร๊ะศาสดาโนบิตะ แม้ท่านมหาเมพโดเรม่อนจะปราศจากหูและนิ้วแต่ด้วยทิพยอำนาจของท่านแล้วความพิกลพิการนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจส่วนตัวของท่านแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ในตอนหนึ่งของคัมภีร์ ที่ท่านบร๊ะศาสดากล่าวสรรเสริญอิทธิฤทธิ์ของมหาเมพด้วยความอัศจรรย์ใจว่า "ไม่มีนิ้วแล้วยังหมุนโทรศัพท์ได้อีก" ซึ่งท่านมหาเมพก็ได้ตอบท่านศาสดาไปว่า "สุดติ่งไปเลยพี่!!!"
ตำนานการก่อกำเนิดมหาเมพนั้นยังเป็นที่คลุมเครือ บางตำรากล่าวว่า ยังมีองค์บร๊ะผู้สร้างอีก 1 องค์ สร้างมหาเมพโดเรม่อนและส่งท่านลงมาโปรดมวลมนุษย์ผ่านทางลิ้นชักศักดิ์สิทธิ์ บางตำรากล่าวว่า มหาเมพกำเนิดขึ้นมาเองจากความว่างเปล่า แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายยอมรับแน่ๆคือ ท่านมาจากสวรรค์ที่ชื่อว่า "ศตวรรษที่ 22" ซึ่งตำรานี้ระบุไว้ว่ามหาเมพโดเรม่อนนั้นพระองค์กำเนิดจากบริษัทและที่แน่นอนอีกอย่างคือเหลนของบร๊ะศาสดาโนบิตะส่งมาอบรมท่าน มหาเมพโดเรม่อนทรงโปรดปรานหญิงพรมจรรห์เป็นพิเศษ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องเซ่นสำคัญที่ขาดไม่ได้ในพิธีกรรมบวงสรวงองค์เมพ หากขาดซึ่งสาวหรมจรรห์ในสำรับแล้ว สาวกอาจเสี่ยงที่จะจุกท้องเนื่องจากถูกลงทัณฑ์ด้วยบ้องข้าวหลามหัวตัดของพระองค์ ที่ยิงสวนมาจากด้านหลังขาง สาวก ก้อเป็นได้
แม้องค์มหาเมพจะเป็นแมว แต่พระองค์ก็ยังทรงมีสายเลือดของจิงโจ้อีกด้วย ดังจะเห็นได้จากกระเป๋าหน้าท้องของพระองค์ซึ่งเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากกระบวนการวิวัฒนาการ(Evolution)นั่นเอง กระเป๋าหน้าท้องนี้ถูกเรียกด้วยความเคารพว่า "ถุงยาง" ซึ่งเป็นแหล่งอำนาจสำคัญที่สุดขององค์เมพ กระเป๋าใบนี้สามารถบรรจุสิ่งของวิเศษได้มากมายเหลือคณานับทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งไร้สาระและบัดสี
ค่าพลังของมหาเมพ

องค์บร๊ะศาสดาโนบิตะ



องค์บร๊ะศาสดาโนบิตะ


องค์บร๊ะศาสดาโนบิตะที่สอง กับ องค์บร๊ะมหาเมพไจโกะ คิดตรีน ภริยาคนปัจจุบัน
องค์บร๊ะศาสดาโนบิตะชื่อเดิมชื่อ โช ซง ฮุย(ได้กระทำการฮาราขี้รีตอนเรียนป.ตรี ที่ มหาลัยเวอจีเนียเทคพร้อมเพื่อนๆอีก32คน) เป็นผู้ริเริ่มศาสนาโดเรม่อนในยี่หุ่น ท่านเริ่มเผยแพร่ศาสนาตั้งแต่ท่านยังเป็นนักเรียนชั้นประถม ภายหลังที่ท่านมหาเมพมาสถิตในบ้านขององค์ศาสดาแล้ว องค์ศาสดาก็เริ่มสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้เป็นที่ประจักษ์ เช่น การทำข้อสอบได้คะแนนเต็ม การล่องหนเข้าไปดูเพื่อนสาวอาบน้ำ การว่ายน้ำเก่งแบบผิดธรรมชาติ การเอาชนะจอมมารทาเกชิ การมีของเล่นมหัศจรรย์ยิ่งกว่าคู่แข่งคนสำคัญซูเนโอะ การเอาชนะศึกระหว่างท่านกับสุนัขคู่อริ การแกล้งบร๊ะมารดา เป็นต้น ภายหลังขึ้นมหาลัยได้กระทำการสอบเข้า มหาลัยเวอจีเนียเทคที่ประเทศสหรัฐอเมริกาสำเร็จ(เพราะได้ของวิเศษของมหาเมพโดเรม่อนจึงทำข้อสอบได้) และได้สัญญาว่าจะกระทำการฮาราขี้รีตัวเอง พร้อมเพื่อนๆอีกทั้งมหาลัยไปเฝ้ามหาเมพ แต่ทว่าเมื่อถึงเพลาที่เหมาะสมกลับส่งคนไปเยี่มมหาเมพได้แค่ 33 คน(ได้กระทำการเผยแพร่บร๊ะศาสนาได้สำเร็จแค่ 33 คน) ด้วยดุ้นปืน 2 กระบอกพร้อมดุ้นกระสุน 4 แม๊กเต็มลูกขนาด 9มม.ท่านได้กระทำการเสียสละอย่างใหญ่หลวงเราขอมอบพระนามให้ท่านว่า "สมเด็จพระเดจพระคุณนายพลฯม.ร.ว. ร.ป.ภ น.พ.ศ.จ.บร๊ะเจ้าโนบิฮุย โดเรโซ ซุง ณ.เวอจีเนียเทค"
องค์บร๊ะศาสดาที่ 3 แห่งศาสนาโดเรม่อน

หลังจากที่พระมหาศาสดาโนบิตะ ที่2 หรือนายสมยาย ซื้อตู้เย็น ทำความผิดเป็นหุ่นเชิดให้แก่ท่านผู้โน่น บร๊ะเจ้าจึงจับให้นายสมยาย ซื้อตู้เย็นสึกทันที ไม่นานนักก็มีการแต่งตั้งบร๊ะศาสดาองค์ใหม่ขึ้น นั่นคือ "ท่านเปรม" ผู้เข้ามาเสียบอย่างหน้าด้านๆ ผู้ตรัสรู้แล้ว เมื่อปีโดเรม่อนศักราชที่ 555555 ท่านเปรมได้ไปนั่งบำเพ็ญเพียรในผับแห่งหนึ่ง แล้วเกิดไฟไหม้ผับแห่งขึ้น ท่านเปรมจึงตรัสว่า "หากกุตรัสรู้แล้วขอไฟอย่าไหม้กุ!!"ทันใดนั่นเอง มหาเมพ"โดเรม่อน ก็ได้ปรากฎกายออกมาแล้วใช้ ถุงยางอนามัยวิเศษช่วยชีวิตบร๊ะศาสดามาได้ หลังจากท่านเปรมได้ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาโดเรม่อน ในไร้สาระนุกรมและได้เป็นสมาชิกที่คนหนึ่งชื่อ electricviper จึงพบกับข้อมูลที่น่าสนใจ และหลังจากนั้น ด้วยความหน้าด้านของท่านจึงตั้งตนเป็นศาสดา และปกครองแบบเผด็จกู และยังไม่พอท่านยังสั่งให้สาวกในศาสนาเรียกท่านว่า "ท่านเปรม"อีกด้วย


องค์บร๊ะศาสดาที่3มีความหล่อเหลามาก
ข้อมูลของท่านศาสดา 1.เล่นdota noob 2.เล่นวินนิ่ง ใช้ แมนยู แต่กลับแพ้ซาอุดิอาระเบีย (computer very easy) 3.ท่านอยู่หาดใหญ่ 4.ท่านเป็นชายแท้ 5.ท่านหล่อ 6.ท่านมีskill ดังนี้ ชื่อ ท่านเปรม สาย int str 555 agi 555 int 555555
บร๊ะคัมปี



"บร๊ะคัมปีเล่มแรกฉบับแปลเทย"
บร๊ะคัมปีหรือบันทึกคำสอนของศาสนานั้น มีผู้เขียนไว้เป็นจำนวนมาก แต่ที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นของแท้และไม่มีย้อมหนูแน่นอน
(ไม่ใช้คำว่าย้อมแมวเนื่องจากเป็นการหมิ่นองค์มหาเมพ)ก็คือบร๊ะคำปีที่เขียนโดย อาจารย์ กูลิโกะ จี. แอล. เค. กูลิโกะ กำตด ในคำปีนั้นแบ่งเป็นหลายเล่มและหลายหมวดหมู่ เคยได้รับการสังคายนาโดยสำนักพิมพ์ต่างๆ มาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับการสังคายนาครั้งล่าสุดนั้นเรียกว่า "ลิขสิทธิ์ถูกต้อง" นอกจากการบันทึกคำสอนในคำปีในรูปแบบตัวอักษรแล้ว ยังมีการบันทึกเป็นภาพเคลื่อนไหวสำหรับออกอากาศทางโทรสารและจำหน่ายในโทรภาพอีกด้วย แต่เนื้อหาในสื่อบางประเภทโดยเฉพาะภาพเคลื่อนไหวอาจทำให้ผู้ศึกษาคำปีไม่ได้รับแก่นกะโหลกใจกลางของขี้เลี่อยแท้แห่งคำสอนเท่าที่ควร เนื่องจากในบางประเทศมีการเซนโง่บั้นท้ายร่องเต๋อและอวัยวะเพศสืบพันธ์ขององค์บร๊ะศาสดาโนบิตะ ซึ่งนับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับศาสนิกชนในประเทศดังกล่าวที่พลาดโอกาสจะได้อ้วกอาเจียนยลโฉมพระวรกายขององค์ศาสดาเป็นบาบตา


"บร๊ะคัมปีเล่มฉบับแปลล๊าว"
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา



"องค์มหาเมพจุติ" ภาพศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนิกชน


"องค์มหาเมพจุติ" ปางที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนา "ฅนเหล็กน้อยหัวใจเพชร"


"องค์มหาเมพจุติ" ปางพิโรธ


"องค์มหาเมพจุติ" ปางเทพธิดา


องค์มหาเมพจุติ" ปางบร๊ะเจ้าจอร์ช
โดร่าลึงค์ เป็นวัตถุมลคลเเทนเครื่องเพศเเห่งบร๊ะเจ้าโดเรม่อน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวโดเรม่อนนิกชนสักการะบูชา
ลิ้นชัก เป็นประตูวิเศษที่องค์เมพใช้เสด็จผ่านระหว่างโลกนี้และโลกหน้า โดเรม่อนศาสนิกชนจะใช้ลิ้นชักเป็นที่เก็บอัฐิของคนตายเพราะเชื่อว่า ลิ้นชักจะเป็นประตูที่จะนำผู้ตายไปอยู่รับใช้องค์มหาเมพ
โดรายากิ เป็นอาหารที่สงวนไว้สำหรับองค์มหาเมพเท่านั้น ชาวโดเรม่อนศาสนิกชนจะไม่กินโดรายากิไม่ว่ากรณีใดๆ แต่อาจจะมียกเว้นในกรณีที่ไม่มีอย่างอื่นให้กิน
แมวตัวเมีย ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า นอกจากแมวตัวเมียเป็นตัวแทนของมหาเมพีโดเรมี่แล้ว ยังเป็นตัวแทนถึงรักแรกขององค์มหาเมพโดเรม่อนอีกด้วย ดังนั้น ในครอบครัวของโดเรม่อนศาสนิกชนจะเลี้ยงแมวตัวเมียไว้อย่างน้อย 1 ตัวเพื่อเป็นการแสดงถึงความรักระหว่างคู่ภรรยาและสามี แมวตัวนี้จะต้องถูกดูแลประคบประหงมอย่างดี ดังนั้นบางประเทศที่นิยมนำแมวตัวเมียไปแห่ขอฝนจึงนับเป็นศัตรูกับโดเรม่อนศาสนิกชนอย่างเลี่ยงไม่ได้
จิงโจ้ เนื่องจากจิงโจ้เป็นบรรพบุรุษของมหาเมพ จิงโจ้จึงนับเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย โดเรม่อนศาสนิกชนที่พอมีฐานะจึงนิยมเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อสักการะจิงโจ้เป็นประจำทุกปี
หมีโคอาล่า เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากสนิทกันกับจิงโจ้นั่นเอง
เลขศูนย์ (0) เลขศูนย์เป็นเลขอาถรรพณ์ในศาสนาโดเรม่อน เป็นจุดกำเนิดของทุกตัวเลขเนื่องจากศูนย์บวกเลขอะไรก็ได้เลขนั้น และยังเป็นตัวเลขที่เกี่ยวโยงกับชีวิตขององค์บร๊ะศาสดาโนบิตะอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาประกาศผลสอบ
ประเทศยุ่นปี่เป็นประเทศศักสิทธิ์เพราะฉนั้นทุกท่านที่เข้าร่วมศาสนาแล้วควรไปอย่างน้อย5ครั้งในชีวิต
บร๊ะคัมภีร์ในปัจจุบันได้เผยแพร่ไปทั่วโลกสามารถหาอ่านได้ตามร้านหนังสือเช่าทั่วไปหรือสามารถชื้อบร๊ะคัมภีร์ได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำ(หมวดการ์ตูน)ทั่วไป บร๊ะคัมภีร์ได้ถูกตีแผ่เป็นหลายภาษา ทุกคนสามารถหาอ่านได้ในราคาถูก
กฎ/ข้อห้ามในศาสนา

ศาสนิกชนห้ามแต่งตัวเลียนแบบองค์มหาเมพหรือบร๊ะศาสดาเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจจะต้องตกนรกที่เต็มไปด้วยหนูไปชั่วกัปชั่วกัลป์
การใส่ที่คาดผมหูแมว หรือการติดอะไรก็ตามที่มีลักษณะเหมือนหูแมวไว้บนหัว ถือเป็นการลบหลู่องค์เมพอย่างให้อภัยไม่ได้ เพราะเป็นอดีตอันเลวร้ายที่มิอาจลืมได้ขององค์เมพ (หากเป็นศาสนิกชนหญิงอาจได้รับการยกเว้นหากใส่แล้วแลดู "โมเอะ" แต่หากเป็นศาสนิกชนชายต้องห้ามเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใดๆโดยเฉพาะศาสนิกชนชายที่มีกล้ามมากๆ)
ห้ามถกเถียงกันในหมู่ผู้นับถือว่าองค์เมพเป็นแมวหรือทานูกิกันแน่ ว่าอย่างไรก็ตามนั้น เพราะองค์เมพอาจทรงพิโรธได้โดยเฉพาะคนที่กล่าวว่าองค์เมพเป็นตัวทานูกิ
ห้ามศาสนิกชนหลงรักแมวตัวเมียเด็ดขาด แมวตัวเมียจะสงวนไว้ให้มหาเมพเท่านั้น แต่การหลงรักสุนัขตัวเมียเป็นที่ยอมรับได้
ศาสนิกชนใดที่มีชื่อว่า "ทาเกชิ" หรือ "ไจแอนท์" ห้ามร้องเพลงด้วยประการทั้งปวง เพราะถือว่า บุคคลชื่อดังกล่าวไม่ได้เกิดมาเพื่อร้องเพลง
หนูเป็นศัตรูขององค์มหาเมพ หากพบเจอหนูที่ใดให้กำจัดเสียให้สิ้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงอีหนู การบูชายัญด้วยหนูไม่ทำให้เป็นที่พอพระทัย ควรใช้โดรายากิแทน
ศาสนิกชนใดสามารถทำคะแนนสอบได้เข้าใกล้ศูนย์มากที่สุด ย่อมเป็นการแสดงถึงศรัทธาและความจงรักภักดีต่อองค์บร๊ะศาสดามากเท่านั้น
ห้ามเลี้ยงแมวที่หูไม่กุดเพราะมหาเมพโดเรม่อนก็หูกุดเหมือนกันแล้วถ้าไม่ตัดก็เท่ากับดูหมิ่น หากเลี้ยงแล้วต้องตัดหูทิ้งหากไม่ตัดศาสนิกชนต้องถูกตัดจู๋(ส่วนของผู้ชาย)หากเป็นหญิงจะต้องโดนตัดนม-หัวนม เจ็ดชั่วโคตร
ควรไปยุ่นปี่สัก5ครั้งในชีวิตเพราะจะได้บุญมหาศาล(บุญตา)และผู้ที่เข้าศาสนาจะต้องทำการซื้อหนังสือ...มาไว้ที่ศาลของบร๊ะศาสดาทั้ง2พระองค์จะได้บุญและช่วงสุดท้ายในชีวิตจะได้ไปเฝ้ามหาเมพและองค์บร๊ะศาสดาถึงสววรค์
นักบวชในศาสนาโดเรม่อน


โดราต๊อง

โนบิแต๋ว

เหล่าสาวกหลากสี
โดราต๊อง และโนบิแต๋ว คือนักบวชในศาสนาโดเรม่อน มีจุดประสงค์เพื่อสร้างไทม์แมชชีนเพื่อจะได้ข้ามเวลาำไปพบกับองค์ศาสดา มีวิธีการบวชดังนี้
ใส่ชุดดังรูป
เดินเข้าไปในร้านเช่าการ์ตูน เลือกร้านที่คนเยอะๆ และเช่าการ์ตูนโดเรม่อนทั้งชุด
ชูนิ้วกลางใส่เจ้าของร้าน พร้อมกล่าวว่า "มึงรู้ไหม กูลูกใคร?" 5 ครั้ง จากนั้นตะโกนดังๆ ว่า "เก๋าเจอได้"
ผู้คนในร้านก็จะไล่กระทืบคุณ ให้คุณวิ่งเข้าไปซ่อนในถังขยะ
เมื่อส้นตีนของผู้คนทะลุฝาถังขยะเข้าสู่หน้าคุณ
คุณ จะต้องรีบ ชูนิ้วกลางใส่พวกมันอีก หนึ่ง ที แล้วพูดออกมาดังๆว่า "แม้วบิดาท่าน" แล้วให้รีบหลบที่เดิมเป็นจบพิธี


ตัวทานูกิที่มักถูกสับสนว่าเป็นองค์เมพ
ปัจจุบันนักบวชศาสนาโดเรม่อนมีสำนักปฎิบัติอยุ่ที่โรงพยาบาลศรีทันย่า และตามสถานกักกันต่างๆ นักบวชเหล่านี้จะกินตัวทานูกิเป็นอาหาร เพราะเข้าใจว่ากินแล้วจะมีพลังเหมือนองค์เมพ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#39
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 08:03:33

#39 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 08:03:33 ]






 273556


เด็กซ่าบ้านแสบ
#40
เด็กซ่าบ้านแสบ
24-08-2010 - 08:04:58

#40 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 24-08-2010 - 08:04:58 ]






โนบิเทย
 273558


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2010-08-24 08:05:21


ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 10th May 2025 05:35

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ