โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
รวมเรื่องลึกลับ ตำนาน และความหลอน [เลิกอัพกระทู้นี้ถาวร]
เด็กซ่าบ้านแสบ
#261
เด็กซ่าบ้านแสบ
01-04-2012 - 20:32:23

#261 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 01-04-2012 - 20:32:23 ]






ตาย!!


Nebula Eva
#262
02-04-2012 - 07:02:12

#262 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 07:02:12 ]





ค่ายนรก เอาชวิตซ์




      Auschwitz Concentration Camp ค่ายกักกันเอาชวิตซ์ โดยคำว่า "เอาชวิตซ์ ( Auschwitz )" เป็นภาษาเยอรมัน ที่ใช้เรียกเมือง Oswiecim ที่อยู่ทางเหนือของโปแลนด์ ( Poland ) ที่ถูกยึด และผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน เอาชวิตซ์ เป็นชื่อเรียกรวมของค่ายกักกันขนาดใหญ่ 2 แห่ง และค่ายย่อยอีก 36 แห่ง ค่ายเอาชวิตซ์ ถูกใช้เป็นที่สังหารหมู่ชาวยิว และยิปซี เพียงเพราะ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เห็นว่าพวกนี้ ไม่มีผิวสีขาว ผมสีทอง และนัยน์ตาสีฟ้าเหมือนตน ซึ่งเป็นสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ จึงทำการรวบรวมชาวยิว และชาวยิปซี จากทุกพื้นที่ในอณานิคมของตน ส่งมาทำลายที่ค่ายเอาชวิตซ์ กว่า 1.1 ล้านคนที่ต้อง ตาย ในค่ายเอาชวิตซ์

ค่ายเอาชวิตซ์ ประกอบไปด้วย

      ค่ายเอาชวิตซ์ 1 ถูกสร้าง เดือน มิถุนายน 1940 และถือเป็นค่ายหลัก เพื่อเป็นที่กักกัน ชาวโปแลนด์ ( พื้นที่ค่าย คือ จุดสี่เหลี่ยมสีส้มเล็กอันกลาง )
      ค่ายเอาชวิตซ์ 2 หรือ Birkenau ถูกสร้างใน เดือนตุลาคม 1940 เพื่อช่วยบรรเทาความแออัดของ ค่ายเอาชวิตซ์ 1 สร้างเพื่อเป็น โรงฆ่า ( Extermination Camp ) โดยเฉพาะ สำหรับชาวยิว ( ที่ตั้งค่าย คือ พื้นที่สีส้มอันใหญ่ ด้านซ้าย )
      ค่ายเอาชวิตซ์ 3 หรือ Birkenau ส่วนนี้จะเป็นค่ายย่อยประมาณ 36 ค่าย ที่อยู่กระจากยตัวอยู่โดยรอบ ผู้ที่ถูกกักกันอยู่ที่นี้โดยมากจะเป็น พวกนักโทษ และชาวโปแลนด์ อาจจะเป็นเชลยที่ค่อนข้างโชคดีกว่าพวกที่ถูกกักกันไว้ที่ ค่ายเอาชวิตซ์ 1 และ 2 เนื่องจากจะถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยมี ชาวยิว เนื่องจากชาวยิวจะถูกกักไว้ที่ค่าย 1 และ 2 เพื่อรอการทำลายทิ้ง ( ที่ตั้งค่าย คือ สี่เหลี่ยมสีส้มด้านขวามือ )

ค่ายเอาชวิตซ์ 1


1 Commandant House
      บ้านพักของผู้บัญชาการ ค่ายเอาชวิตซ์ ซึ่งผู้บัญชาการค่ายคนแรกคือ Rudolf Höss จนกระทั้งถึง ปี 1943 จึงเปลี่ยนมาเป็น Arthur Liebehenschel และ Richard Baer ตามลำดับ และบาปกรรมก็ติดจรวด ภายหลังเยอรมันแพ้สงคราม Rudolf Höss ถูกกองทัพอังกฤษจับไ้ด้จาก การที่ภรรยาของเขาเป็นผู้ชี้ที่หลบซ่อนตัวของเขาให้แก่กองทัพอังกฤษ และเขาถูกตัดสินประหารชีวิต โดยการแขวนคอที่หน้าค่าย เอาชวิตซ์นั้นเอง


รูปถ่่ายนาย Rudolf Höss



บ้านพักของ Rudolf Höss ที่อยู่ข้างค่ายกักกันเอาชวิตซ์


2 Commandant Offiec
      เป็นสถานที่ทำงานของเหล่านายทหารระดับสูงของค่ายเอาชวิตซ์

3 administration office
      เป็นสถานที่ทำงานของทหารเยอรมันระดับล่างลงมา

4 SS hospital
      โรงพยาลของหน่วยเอส.เอส. สำหรับพวกนาซีนั้นมันคือโรงพยาบาล ที่แสนดี สะดวก สบาย ในการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่สำหรับเหล่าเชลย คนพิการ และชาวยิว มันคือ แห่งรวม ผีห่าซาตาน จากนรก ที่อยู่ในคราบของ หมอ โดย หมอเหล่านี้จะไปทำการทอลอง ที่เหี้ยมโหด ณ บล็อก 10

เหล่าทูตมรณะ ในคราบของ หมอ

นายแพทย์ โจเซฟ เมงเกเล ( Dr.Josef Mengele )
      นายแพทย์หนุ่ม รูปงาม แต่จิตใจดุจดัง ปีศาจ ผู้จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมิวนิก ( Munich University ) ด้วยวัยเพียง 24 ปี เขาเป็นสมาชิกพรรคนาซีเมื่องปี ค.ศ. 1937 ได้รับฉายาว่า เทพแห่งความตาย ( Angel of Death ) เนื่องจากเป็นผู้ตัดสินว่าเชลยที่ถูกขนส่งมาโดยทางรถไฟ เมื่อลงมาสู่ค่ายเอาชวิตซ์ โดยเขาจะเป็นคนชี้ว่า คนนี้ไปอยู่ทางซ้าย คนนี้ไปทางขวา ( ซ้าย คือ ถูกส่งเข้าสู่ ห้องรมแก๊สพิษ ขวา ถูกนำไปใช้แรงงาน หรือรอเป็นหนูทดลองต่อไป ) ความโหดเหี้ยมของ หมอโจเซฟ นั้นถึงขั้นที่ว่า ครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์เหาระบาดในค่าย หมอโจเซฟได้ออกคำสั่งให้ ทำการควบคุมการแพร่ระบาดโดยการเผาที่พักที่มีการระบาด ไปพร้อมกับผู้ป่วยที่เป็นเหาทั้งเป็น และยังมีความเชี่ยวชาญในการใช้ แก๊สพิษไซคลอน บี ในการสังหารหมู่ ตัวพ่อ ของค่ายเอาชวิตซ์ โดย การทดลอง สุดสยองที่เขาได้ทำไว้ มีดังนี้
      การทดลองเกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกาย ทางพันธุกรรม
      การเปลี่ยนสีตา โดยการฉีดสารเคมีเข้าสู่ลูกตาของเด็ก
      การสูญเสียอวัยวะ แขน ขา ทั้งความสามารถในการทนความเจ็บปวด การรักษา แน่นอนการทดลอง ก็จะนำเชลย มาตัด แขน ตัดขา กันสด เฝ้าดูการว่าจะทนพิษบาดแผลได้นานเท่าไร ? ที่เวลาต่างๆ ต้องใช้การช่วยเหลือ หรือประถมพยาบาลอย่างไร จึงสามารถช่วยชีวิตได้ทัน
      เหยื่อที่ หมอโจเซฟ ชื้นชอบที่สุด คือ ฝาแฝด และคนแคระ มีฝาแฝดประมาณ 14 คู่ที่ต้องจบชีวิต โดยมือของ หมอโจเซฟ

       รูปครอบครัว Ovitz ทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน ตระกูลนี้มีพี่น้อง 10 คน 7 คน เป็นคนแคระ ทั้ง 12 ชีวิตถูกจับส่งเข้าสู่ค่ายเอาชวิตซ์ เมื่อ หมอโจเซฟ พบครอบครัว Ovitz เขาคิดว่าพระเจ้าได้ประทานสิ่งหายากยิ่งให้แก่เขา 2 ใน 12 เสียชีวิตในการทดลอง ที่เหลือโชคดีที่การทดลองยังไม่ทันจบ เยอรมันก็แำพ้สงครามก่อนจึงรอดชีวิตมาได้

      รูปกำลังเริ่มทดลอง



แพทญ์หญิง เฮอร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์ ( Dr. Herta Oberheuser )
หมอเฮอร์ทา ทำการทดลองเกี่ยวกับการรักษาบาดแผล ที่เกิดจากสงคราม ซึ่งการที่จะได้ตัวอย่างที่เหมาะสมต่อการทดลองต้องใช้เวลานาน เธอจึงสร้างบาดแผลต่างที่ต้องการขึ้นมา โดยการ ผ่าร่างกายของเชลย ให้เกิดบาดแผล แล้วใ่ส่ เศษดิน ต้นไม้ใบหญ้า เศษกระจก เศษเหล็ก เป็นการจำลองแผลจากสงครามขึ้น ขอจนอับแสบอย่างรุนแรง แล้วทำการรักษา ด้วยตัวยาสูตรต่างๆ

      รูปบาดแผลที่ขาของเหยื่อ
      ส่วนบาดแผลไฟไหม้ เธอก็ทำเหมือนเช่นเดิน เธอจะกีดร่างกายเหยื่อ แล้วใส่สาร Phosphorous ลงในแผล แล้วจุดไฟ จะเกิดการลุกไหม้อย่างแรง ทำให้เกิดแผลไฟไหม้รุนแรง
      หลังสิ้นสุดสงคราม เธอถูกดำเนินคดีในฐานะอาชญากรสงคราม ที่ศาลทหารในนูเรมเบิร์ก ( Nuremberg ) ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี แต่เนื่องจากปฏิบัติตัวดีจึงได้รับการลดโทษ และปล่อยตัวในปี 1952 หลังจากได้รับการปล่อยตัวเธอแอบไปประกอบอาชีพเป็นแพทย์ แต่เชลยสงครามไปพบเข้า จึงได้แจ้งความร้องเรียน จนเธอถูกยึดใบอนุญาตประกอบวิชา


5 Main Gate
      ประตูทางเข้าหลัก ของ ค่ายเอาชวิตซ์ ซึ่งปากประตูมีข้อความว่า " ARBEIT MACHT FREI " เป็นภาษาเยอรมัน มีความหลายว่า " การทำงานจะไปสู่อิสระภาพ "

การทำงานจะไปสู่อิสระภาพ ( ARBEIT MACHT FREI ) เหล่าเชลยคงไม่ทราบว่า อิสระภาพที่เหล่านาซีเยอรมัน จะมอบให้นั้นก็คือ " ความตาย "

6 Kitchen
      โรงครัว ของ ค่ายเอาชวิตซ์ เป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในค่าย ใช้ที่จัดให้นั้นน้อยเสียจนเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น ทั้งยังไม่มีคุณค่าทางโถชนาการเลย จะเห็นได้จากร่างกายของเชลยในค่ายที่ผ่ายผอมเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น หากว่าถามว่าแต่ละวันเหล่าเชลย ได้รับอาหารคนละเท่าไร ?
      ขนนปัง 350 กรัม ต่อวัน
      น้ำที่ทำกลิ่นรสเลียนแบบ กาแฟ ( ersatz coffee ) ตอนเช้าครึ่งลิตร
      ซุปผักกาด กับ มันฝรั่ง 1 ลิตร ตอนเที่ยง โดยในซุปจะมีเนื้ออยู่ประมาณ 20 กรัม
โดยเฉลี่ยเหล่าเชลยจะได้รับ พลังงานจากอาหารประมาณวันละ 1,300-1,700 แคลลอรี/วัน

      ภาพถ่่าย เยี้องจากประตูทางเข้าหลัง จะเห็นรั้วไฟฟ้า ตั้งอยู่รายล้อมค่าย ถึงสองชั้น และอาคารที่เห็นอยู่ด้านหลังคือโรงครัว จะสังเกตเห็นปล่องครัวเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก

7 Slolen Stuff Warehouse
      โกงดังเก็บของ ที่ได้จากการยึดมาจากเชลย หรือจากศพของผู้เสียชีวิต เช่นฟันทอง จะถูกนำไปหลอม และนำส่งกลับเยอรมัน แต่ของมีค่าบางส่วนก็ถูกพวก SS ยักยอกไป

      รูปภาพ หนึ่งในโกดังเก็บเสื้อผ้า ที่เต็มจนล้นทะลักออกมานอกประตู และถ้าสังเกตที่หน้าต่างเล็กด้านซ้ายก็อัดเต็มไปด้วยเสื้อผ้า คงจินตนาการได้ว่าจำนวนเหยื่อผู้เสียชีวิตนั้นมากมายขนาดไหน

8 Death Wall or Black Wall
      ผนังแห่งความตาย หรือ ผนังดำ ผนังนี้ตั้งอยู่บนลานระหว่างเรือนนอนสองหลังคือ บล็อก 10 กับ บล็อก 11 ผนังนี้เป็นอีกหนึ่ง สถานที่ สุดสยอง ภายในค่ายเอาชวิตซ์ เพียงชั่วเวลาสั้นจากปี 1940 ถึง 1944 ระยะเวลาเีพียง 4 ปี ผนังแห่งนี้เป็นพยาน ของแห่งความโหดเหี้ยมของเหล่านาซีเยอรมัน กว่า 20,000 ศพ โดยผนังนี้จะเป็นบริเวณที่ใช้เป็น ลานประหารโดยการยิงกระสุนเข้าบริเวณกระดูกต้นคอข้อสุดท้ายที่ต่อกับกระโหลก โดยเพชรฆาต สองหมื่นศพผู้นี้มีชื่อว่า " Rapportfürher Gerhard Palitsch " เหยื่อของมันมีไม่เว้นแม้แต่ เด็ก และผู้หญิง
ที่มาของ ชื่อ ผนังดำ เนื่องจาก ผนังค่ายสร้างจากอิฐ จะมีฉากสร้างจากท่อนไม้ บุหน้าด้วยไม้ค็อกทาด้วยสีดำ เนื่องจากพวกนาซีกลัวว่าผนังอิฐสวย ของ พวกเขาจะเป็นรอยจากกระสุนปืน

      ภาพวาด ผนังแห่งความตาย เมื่อเหยื่อถูกยิงทิ้ง เหล่าเชลยจะยกศพไปวางกองกันไว้

      เป็นผนังแห่งความตายในปัจจุบัน เมื่อนักท่องเที่ยวมาเยือนก็มักจะมีการนำ ดอกไม้ มาไว้อาลัยให้แก่ผู้ล่วงลับ

G Gas Chamber and Crematory
      ห้องรมแก๊สพิษ และเตาเผาศพ หนึ่ง ในอีกสถานที่ สุดสยอง ในค่ายเอาชวิตซ์ เนื่องจากพวกนาซีรู้สึกเสียดายลูกกระสุน ที่ต้องเสียไปในการยิงชาวยิวทิ้ง ซึ่งพวกเขาคิดว่ามันไม่คุ้มเสียเลยที่ต้องแลกระหว่าง กระสุน 1 นัด กับ 1 ชีวิตชาวยิว จึงคิดหาวิธีที่สามารถกำจัดชาวยิวได้ครั้งละมาก และต้องถูกด้วย และห้องรมแก๊สพิษ คือคำตอบ และห้องรมแก๊สพิษห้องแรก ก็ถูกออกแบบโดยดัดแปลงโรงเรือนที่สร้างจากอิฐ และให้ชื่อว่า The Little Red House หรือ บ้านเล็กสีแดง

      a พื้นที่ให้เชลยรอก่อนเข้าห้องรมแก๊สพิษ
      b ห้องกองเถ้ากระดูกที่เหลือจากการเผา และห้องล้างทำความสะอาด
      c บริเวณพื้นที่รมแก๊สพิษ
      d ห้องเผาศพที่เสียชีวิตจากการรมแก๊สพิษ
      e ปล่องควัน ที่เหลือจากการเผาศพ
      f ห้องเก็บถ่านหิน และเชื้อเพลิงสำหรับเผาศพ
      g ออฟฟิซผู้คุม
      Plan ซ้ายจะเป็นแปลนห้องดังเดิมที่สร้างเมื่อปี 1942
      Plan เป็นแปลนห้องรมแก๊สพิษ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เนื่องจากพวกนาซีได้เผาทำลายห้องรมแก๊สเพื่อทำลายหลักฐานความชั่วร้ายของตนเอง

      เป็นตัวอาคารห้องรมแก๊สพิษ

      เป็นประตูทางเข้าสู่ ห้องรมแก๊สพิษ

      พื้นที่ที่เหล่าเหยื่อชาวยิว จะถูกส่งเข้าเพื่อเป็นที่ตาย โดยการรมด้วยแก๊สพิษ

      บริเวณหลังคาของห้องรมแก๊สพิษ ที่เห็นเป็นปล่องเหล็กมีฝาปิดคือ ช่องสำหรับหย่อนแก๊สพิษลงไปภายในห้องเพื่อฆ่าชาวยิว

      เมรุเผาศพ เหยื่อที่ถูกรมแก๊สพิษ เสียชีวิต ส่วนที่เห็นอยู่ด้านหน้าเมรุ คือรถเข็นศพ

      เป็นรูปเหยื่อกำลังถูกลำเลียงเข้าสู่เมรุ

9 Barrack
      โรงนอน ภายในค่ายเอาชวิตซ์มีโรงนอนอยู่ 28 หลัง ( โดยโรงนอนเหล่านี้จะถูกเรียกว่า บล็อก ( Block ) )โดยแต่ละหลังมีเชลยกว่า 1,000 คนอาศัยอยู่อย่างแออัดโดยอาคารจะเป็นอาคาร 2 ชั้น ภายในอาคารมีแต่พื้นที่สำหรับวางเตียงนอนแบบ 3 ชั้นมีพื้นที่เีพียงเสือกตัวนอนได้เท่านั้น เนื่องจากอากาศที่ถ่ายเทไม่สะดวก และอุณหภูมิที่ต่ำ และสภาพสุขอนามัยที่ต่ำมาก ทำให้ในทุกรุ่งเช้า เชลยที่ตายจากไปทุกวัน ในระหว่างนอนหลับ

      ภาพโรงนอนในปัจจุบัน

      สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเชลยหญิง ที่ต้องแออันกันอยู่ในเตียง 3 ชั้น

10 Block 10
      บล็อก 10 เป็นเป็นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นห้องทดลองนรก ของค่ายเอาชวิตซ์ ผู้ที่เข้าที่ บล็อก 10 นั้นจะถูกทำการทดลองต่างๆ ได้รับทุกข์แสนสาหัส บ้างก็เสียชีวิต และนี้คือหนึ่งในการลองนรก สุดสยอง

      Hypothermia Experiment เชลยจะถูกแช่ในน้ำเย็นจัด หัวหน้าการทดลองนี้คือ นายแพทย์ ซิกมุนด์ ราสเชอร์ ( Sigmund Rascher ) และผลการทดลองทำให้ทราบเป็นครั้งแรกว่า ถ้าอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ต่ำกว่า 25 เซลเซียส มนุษย์จะเสียชีวิต ทั้งยังศึกษาถึงการช่วยชีวิตด้วยวิธีต่างสำหรับผู้ที่เกิดอาการ เกิดสถาวะหนาวจัด (Hypothermia) จึงการทดลองมีทั้งการ การส่องด้วยหลอดไฟความร้อน การฉีดน้ำร้อนเข้าสู่กระเพาะ ลำไส้ การให้ความร้อนโดยร่างกายโดยใช้เชลยหญิงให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วย การแช่ในน้ำร้อน (ซึ่งเป็นวิธีที่ดีทีุ่สุด) การทดลองนี้เป็นหนึ่งที่จะนำไปสู่การบุกยึดรัชเซีย ซึ่ง ฮิตเลอร์รู้ดีว่า ศัตรูสำคัญของการบุกยึดรัชเซียคือความหนาวเย็น

      โฉมหน้านายแพทย์ ซิกมุนด์ ราสเชอร์ ( Sigmund Rascher ) ถ่ายคู่กับลูก

      High Altitude การทดลองความกดอากาศสูง โดยการนำเชลยไปอยู่ในห้องควบคุมแรงดัน แล้วทำการลดแรงไปเรื่อยเพื่อจำลองสภาพความสูงที่ 20,000 เมตรจากพื้นดิน และลดปริมาณออกซิเจนในอากาศ พร้อมทั้งมีการบันทึก ผลการทดลองที่ความดันต่าง จนถึงความดันสุดท้ายที่เหยื่อเสียชีวิต การทดลองนี้ทำเพื่อหาระบบป้องกันนักบินขับไล่ของเยอรมัน จากการดีดตัวออกจาก เครื่องบิน

      Mustard gas experiments การทดลองผลของมัสทาร์ทแก๊ส ผลจากการได้รับพิษ การรักษาพยาบาล

      ผลจากการได้รับมัสทาร์ทแก๊ส โดยไม่สวมหน้ากากกันแก๊สพิษ

      ทหารแคนนาดา ที่ถูกแก๊สมัสทาร์ท จะเห็นว่าเกิดบาดแผลพรุพองทั่วร่างกาย

11 Block 11
      บล็อก 11 เป็นอีกหนึ่งอาคาร สุดสยอง ที่สร้างเพื่อเิป็นคุก และห้อง ทรมาน เนื่องจากเชลย ที่ถูกส่งเข้ามาที่บล็อก 11 นั้นเพื่อเป็น การทำโทษ และทรามานด้วยวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้

      Standing Cell คุกยืน นักโทษจะถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาด 1.2 x 1.2 เมตร ( 1.5 ตารางเมตร ) ครั้งละอย่างน้อย 4 คน ซึ่งมันแคบจนไม่สามารถขยับตัวได้ ทุกคนจะต้องยืนอยู่อย่างนั้นตลอดการคุมขัง

      Starvation cells คุกอดอาหาร เป็นคุกหมายเลขที่ 21 ใครที่โดนจับมาขังยังห้องนี้ ก็คือได้รับโทษตาย เนื่องจากหลังจากถูกนำขัง นักโทษจะไม่ได้รับ น้ำ หรือ อาหาร อีกเลยจนกว่าจะเสียชีวิต

      ประตูทางเข้า

      ภายในคุกอดอาหารจะเห็นว่ามีเครื่องเซ่นมากมายเนื่องจากห้องนี้เป็นห้องที่ Saint Maximillian Kolby มรณภาพ

เครดิต : http://wowboom.blogspot.com/2009/08/auschwitz-concentration-camp.html


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-02 07:03:59
nanaavril


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#263
02-04-2012 - 07:17:50

#263 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 07:17:50 ]





โครงกกระดูกผีดูดเลือด




      ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 กาฬโรค ( Plague ) ได้ระบาดในอิตาลี ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประชาชนยังมีความเชื่อเรื่องภูตผี ปีศาจ จึงเชื่อว่าเหตุของโรคร้ายเกิดจากผีดูดเลือด ( Vampire ) จึงการค้นพบนี้จึงเป็นหลักฐานยืนยันในความเชื่อนี้ในยุคกลาง สิ่งที่พบคือโครงกระดูกบางส่วน และกระโหลกศีรษะของผู้หญิงคนหนึ่ง ทีถูกก้อนอิฐขนาดใหญ่ยัดไว้ในปาก ซึ่งมันเป็นวิธีการของหมอผีที่ใช้กับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีดูดเลือด เพราะเชื่อว่าวิธีการดังกล่าวจะสามารถหยุกยั้งการแพร่กระจายของโรคร้ายได้ โครงกระดูกนี้ และโครงกระดูกอื่นถูกค้นพบที่ หลุมศพผู้ติดเชื้อกาฬโรค บนเกาะ Lazzaretto Nuovo ประเทศอิตาลี ซึ่ง Borrini นักโบราณคดีที่ขุดค้นกล่าวว่า " พวกเราโชคดีมากที่ค้นพบหลุมฝังศพ และโครงกระดูก ในยุคกลางแห่งนี้เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าการในการรักษาศพในยุคนั้นไม่ค่อยดีทำให้ไม่ค่อยเหลือหลักฐานอะไรจากยุคนั้นมากนัก"



โครงกระดูกผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคถูกฝังไว้เป็นจำนวนมาก



กรอบสีเหลืองนั้นคือตำแหน่งที่ตั้งของเกาะ Lazzaretto Nuovo ใกล้เมือง Vanice ประเทศอิตาลี (Italy)


เครดิต : http://news.nationalgeographic.com/news/2009/03/090310-vampire-graves.html

quote :
ขณะนี้......คุณโดนเรปนี้ดักแล้วล่ะ



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
thae33001
#264
02-04-2012 - 08:21:41

#264 thae33001  [ 02-04-2012 - 08:21:41 ]





อยากอ่านเรื่องแบบ เอเลี่ยน UFO จัง



Get Excited
Nebula Eva
#265
02-04-2012 - 08:35:58

#265 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 08:35:58 ]





quote : thae33001

อยากอ่านเรื่องแบบ เอเลี่ยน UFO จัง


ได้ค่ะ เดี๋ยวหาให้นะคะ^^



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เอ็ดเวิร์ด
#266
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:40:05

#266 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:40:05 ]





ตามคำขอเรป264 ถ้าแย่งอีฟ ขอโทษละกันนะ

โครงกระดูกมนุษย์บนดวงจันทร์


เรื่องราวที่ถูกปกปิดมานานหลังจากการไปเยือนดวงจันทร์ด้วยยาน Apollo 11 ของอเมริกา จากภาพถ่ายของยานลูนาร์โมดูล (Lunar Module) ได้พบสิ่งแปลกประหลาดที่เป็นภาพของโครงกระดูกมนุษย์บนดวงจันทร์ !!! โดยจากคำกล่าวอ้างและจากภาพถ่ายมากกว่าพันใบของ Dr.Kang Mao-Pang นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวจีน ซึ่งแถลงเรื่องนี้ที่ปักกิ่ง และเป็นผู้เคยทำงานให้กับองค์การนาซ่า (NASA) เป็นผู้ที่ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้และแสงดรูปภาพที่ว่า บางภาพเป็นภาพรอยเท้าเปล่าประทับอยู่บนผิวดวงจันทร์ ไม่ใช่ภาพแบบที่นาซ่าเคยนำออกมาแสดงแต่อย่างใด Dr.Kang กล่าวว่าเป็นภาพที่นำมาจากการสำรวจดวงจันทร์ครั้งนั้น โดยเค้าอ้างว่าได้มาจากผู้ปฏิบัติการ Apollo 11 ในนาซ่า แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวตน และไม่ใช่ได้มาจาก 3 คนนั้น (นีล อาร์มสตรอง, เอ็ดวิน (บัซ) อัลดริน และ ไมเคิล คอลลินส์ ) เขากล่าวว่าคนที่ให้ทั้งข้อมูลและรูปถ่ายเหล่านี้ไม่มีชื่ออยู่ปฏิบัติการครั้งนั้นด้วยซ้ำไป "ทางอเมริกานั้นปกปิดเรื่องนี้ และซ่อนมันเอาไว้กว่า 20 ปีมาแล้วทั้งยังเก็บโครงกระดูกมนุษย์ไว้อย่างลับๆ จนบัดนี้ และอเมริกานั้นไม่คิดว่าคนอื่นพิเศษพอจะแบ่งบันข้อมูลต่างๆ ที่มีให้" ส่วนทางอเมริการนั้นก็ไม่ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องรูปภาพถ่ายมากกว่า 1,000 เหล่านี้แต่อย่างใด จากภาพถ่ายของรอยเท้าเปล่าของมนุษย์และโครงกระดูกบนผิวหน้าดวงจันทร์นั้น รายละเอียดแสดงให้เห็นถึงว่าคนเหล่านั้นสวมกางเกนยีนส์ !?!?!?!


บางทีอาจเป็นไปได้ว่ากระดูกเหล่านี้อาจถูกขนมายังดวงจันทร์ด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งซากโครงกระดูกเหล่านั้นถูกแยกออกเป็นส่วนๆ Dr.Kang กล่าวว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ว่ามันอายุเท่าใดถ้าไม่ได้ทำการวิเคราะห์มันโดยตรง และกล่าวว่าเขายังครอบครองทั้งรูปถ่ายและเอกสารจดหมาย ที่ซึ่งระบุเกี่ยวกับภารกิจบนดวงจัทร์และโครงกระดูกว่ามันเป็นโครงกระดูกมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย บางทีอาจจะเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกพิภพที่ทำการลักพาตัวมนุษย์ไปเพื่อทดลอง พอเสร็จการทดลองแล้วร่างของมนุษย์ทดลองอาจจะถูกนำมาทิ้งบนดวงจันทร์ก็เป็นได้ เอกสารที่เขานำมากกล่าวอ้างนั้นประทับตรา "ลับที่สุด" บนเอกสารนั้นระบุวันที่ 3 ส.ค.1969 นั่นหมายความว่าหลังจากที่ยาน Apollo 11 กลับสู่โลกได้ 2 สัปดาห์หลังที่ นีล อาร์มสตรอง และ บัซ อัลดรินและไมเคิล คอลลินส์ได้ไปเหยียบดวงจันทร์(ไมเคิลไม่ได้ลง) ในวันที่ 20 ก.ค. 1969 ซึ่งรายงานจากการไปดวงจันทร์ส่วนใหญ่จะถูกขีดทับจนไม่สามารถอ่านได้ แต่ก็พออ่านได้ความว่าสิ่งมีชีวิตนอกพิภพมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ทางนาซ่าเองก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้โดยกล่าวว่าไม่มีการปกปิดอะไรทั้งสิ้น และปฏิเสธต่อหลักฐานของดอกเตอร์ชาวจีนผู้นั้น และกล่าวว่าทุกอย่างทางเราก็แสดงไปให้ดูแล้วยังไม่ยอมเชื่อกันอีก ครับ ก็อยู่ในเรื่องราวบทตำนานของทฤษฎีสมคบคิดและเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ก็ไม่เป็นรู้แน่นอนว่าทางนาซ่าหรือ Dr.Kang จะเป็นผู้ที่โกหกต่อชาวโลก ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินดีกว่าครับ

เครดิต/ขอบคุณเว็บนี้นะครับ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-02 09:41:34
thae33001


เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#267
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:43:23

#267 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:43:23 ]





อันนี้ก็เกี่ยวกับ UFOนะ

บุรุษชุดดำ (MEN IN BLACK)



ก็คงจะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีนะครับ กับ บุรุษชุดดำ หรือ MIB อย่างที่เราคุ้นเคยกับหนังของทางด้านฮอลลีวู้ดกันมาทั้งสองภาค ที่เป็นหน่วยงานลับ (Secret Agent) ที่ปกป้องโลกจากเหล่าเดนจักรวาล (Protecting the world from the scums of the universe คำโปรยจากหนังภาคแรกครับ แหะ แหะ ภาคสองก็ same planet new scums อิอิ ) ในหนังนั้น MIB เป็นพระเอกครับ คอยปกปิดและปกป้องภัยจากบรรดาเหล่าเอเลี่ยนที่อาศัยอยู่ในโลกและเอเลี่ยนที่ไม่ประสงค์ดีต่อโลก และมีเทคโนโลยีและอาวุธที่ก้าวหน้ามาก เพื่อคอยรับมือกับเหล่าบรรดาเอเลี่ยนทั้งหลาย แต่ในความเป็นจริงหรือเรื่องราวอีกด้านหนึ่งล่ะ ??…

ว่ากันว่า MIB นั้นน่ะมี 2 พวกครับ ดังจะกล่าวถึงต่อไปซึ่ง MIB พวกแรกนั้นเป็นเหล่าบุรุษที่ร่ำลือกันว่าเป็นเหล่าชายที่ใส่สูทสีดำ เชิ้ตขาว รองเท้าหนังดำใส่ชุดดำทั้งชุดว่างั้น แต่จะมีผู้หญิงอยู่ด้วยอย่างในหนังหรือเปล่าอันนี้ยังเป็นที่สงสัยครับ ทำการเก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวกับ UFOs ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มี UFOs ตก หรือมีวัตถุประหลาดอยู่ ซึ่งมักจะมาถึงอย่างรวดเร็วเสียด้วย และจะมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้ที่เห็นจานบินหรือปรากฏการณ์ประหลาดในเวลาเพียงไม่นาน แล้วทำการพูดคุยด้วยในลักษณะที่ว่าจงอย่าพูดเรื่องที่เห็นออกไป ถ้าพูดด้วยดีๆ แล้วเกิดไม่รู้เรื่องกัน ทีนี้ละครับ เป็นเรื่อง MIB จะทำการ "ข่มขู่" ต่อผู้ที่เห็น UFOs ทันที โดยมักจะเป็นประโยคหรือคำพูดประมาณว่า "จงอย่าเอาเรื่องนี้พูดไปเชียวนะ ถ้าเกิดพูดไป ทางเราไม่อาจรับรองความปลอดภัยให้" และอีกสารพัดคำขู่แล้วเค้าก็จากไป ครับ เป็นใครเจออย่างนี้ไม่กลัว ก็ต้องนับว่าแน่ละ ส่วนมากพยานจะกลัวครับ แต่ก็มีอยู่มากที่ไม่กลัวซ้ำยังนำเรื่อง UFOs ไปโพทนาซะอีกแน่ะ หลายคนหายตัวไปดื้อๆ ครับ หลังจากที่คุยไปทั่วว่าเห็น UFOs ซ้ำยังถ่ายรูปเอาไว้ได้หรือมีหลักฐานซะอีกแน่ะ

แต่ก็ไม่มีทางเอามาเปิดเผยว่ามี "อะไร" อยู่ในครอบครองจริงหรือเปล่าตลอดกาล หุ หุ หุ ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากฝีมือ MIB จริงหรือเปล่า แต่ก็มีพยานพอที่จะเห็นเหตุการณ์อีกจนได้แหละน่าว่า เห็นชายใส่ชุดดำขับรถวนเวียนแถวบ้านของผู้ที่หายตัวไป ครับ ก็ว่ากันไป แล้วจริงๆ MIB มีหน้าที่อะไร แล้วบุคคลเหล่านี้มีตัวตนจริงหรือเปล่า ? จากหลักฐานและเอกสารของทางหน่วยงานราชการลับของอเมริกา ก็พอที่จะยืนยันว่า พวกเค้า "อาจจะ" มีตัวตนอยู่จริงๆ และเป็นหนึ่งในหน่วยย่อยของโครงการ MJ 12 ที่ชื่อว่า หน่วย Delta ตามที่พี่โซนิคนำเสนอไปแล้ว ซึ่งทำหน้าที่เป็นกองกำลังให้กับหน่วย NRO (NRO หรือ National Recon Organization มีสำนักงานที่รัฐโคโลราโด รับผิดชอบทางด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดจากมนุษย์ต่างดาว

(ขอเรียกอย่างนี้ดีกว่า ไม่ใช่ภาคต่อของหนังนะครับ ) หน่วยนี้แหละที่เป็นพวกที่มักจะพูดจา "ข่มขู่และกรรโชก" ต่อพยานที่เห็นหรือรู้เรื่องจานบินเลย ไม่ได้มีการพูดด้วยดีๆ ก่อนเหมือนกับ MIB พวกแรก "จำไว้ นายไม่ได้เห็นอะไรทั้งสิ้น หรือถ้าคิดว่าเห็นก็จงเงียบไว้ซะ ถ้าแพร่งพรายหรือไปบอกใครละก็ นายไม่ได้เห็นพรุ่งนี้อีกแน่นอน" แน่ะ เจออย่างนี้เข้าไปยิ่งกว่าที่ MIB พวกแรกซะอีก และจากแหล่งข้อมูลเค้าว่ากันว่าพวกพยานที่มักจะหายตัวไปก็เป็นฝีมือ MIB2 กลุ่มนี้แหละครับ พยานบางคนที่เจอกับ MIB2 กลุ่มนี้แล้วก็แอบเปิดเผยข้อมูลเล็กน้อยว่า "พวกเขาใส่ชุดดำทั้งชุดแล้วก็ตัวสูงมาก แต่เวลาเดินดูเก้งก้าง คล้ายกับเหมือนคนเพิ่งหัดเดิน และพูดจาเหมือนไม่ค่อยคล่องในภาษา(อังกฤษ) ซ้ำยังใช้คำผิดๆ อีกด้วย" เป็นคำกล่าวจากสตรีผู้หนึ่งที่มีประสบกับบุรุษชุดดำ แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรที่มากไปกว่านี้ จริงๆ แล้ว MIB2 นี่จะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่ในร่าง "ชุดมนุษย์" ได้มั๊ย ? พอเป็นไปได้ครับ ว่ากันว่าน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวพันธุ์ "Greys" หรือ "Grays" ที่มีลักษณะหัวโต ตาดำใหญ่ ผิวสีเทา ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดนั่นเอง ที่อาศัยอยู่ใน "สูทมนุษย์" ว่าพวกเนี้ยอ่ะแหละที่ดำเนินแผนการลับๆ อย่างหนึ่งในโลกของเราโดยได้ร่วมมือกันกับหน่วยงานหนึ่งของอเมริกา หน่วยงานนั้นมีฉายาว่า Big Brother ครับ CIA (Central Intelligent Agency) นั่นเอง แต่จะเป็นแผนอะไรนั้น ติดตามได้ตอนท้ายครับ

ว่ากันว่ามนุษย์ต่างดาวพันธุ์เนี้ย (อาจจะมีพันธุ์อื่นอยู่ด้วย แต่ยังไม่มีข้อมูลเท่าไหร่) มาอาศัยอยู่บนโลกนี้นานแล้วครับไม่ต่ำกว่า 50-70 ปี โดยอาศัยอยู่ในคราบมนุษย์ ซึ่งจากคำกล่าวของบางแหล่งข้อมูลกล่าวว่าจะเป็นชาวยุโรป สูงประมาณ 180 ซม. นัยน์ตาสีฟ้า ผมสีทอง หูต่ำกว่านัยน์ตา เป็นลักษณะคร่าวๆ ครับ ซึ่งที่กรุงเทพฯ เรานี่ก็มีมาอาศัยอยู่แล้วไม่ต่ำกว่า 50 ตน ทั่วโลกก็ไม่ต่ำกว่า 500 (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยครับ เป็นเพียงข้อมูลของทางฝรั่งเค้า ไม่มีการยืนยันว่าจริงเท็จประการใด ) นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานลับหรือองค์การที่เรียกกันว่า Council of Alien Relations, CAR ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ว่ากันว่ามีบทบาทในการยอมให้เอเลี่ยนมาอาศัยอยู่บนโลกได้ !!!! และเป็นอีกหน่วยงานลับอยู่ในโครงการ MJ และคอยจัดให้บรรดาเอเลี่ยนไปอยู่ในแต่ละรัฐหรือแต่ละประเทศโดย หน่วยงานนี้จะมีสมาชิกหรือสาขาย่อยในต่างประเทศด้วย ซึ่งจะมาประชุมกันทุกๆ 2 ปีเพื่อตรวจตราดูความเรียบร้อยของเอเลี่ยนแต่ละกลุ่มหรือแต่ละตน




และแน่นอนครับว่าย่อมมีสิ่งแลกเปลี่ยน เทคโนโลยีคือสิ่งที่ CAR ต้องการจากเอเลี่ยนเพื่อเป็นการยอมให้เอเลี่ยนมาอาศัยอยู่ได้ และบางทีถึงขั้นยอมให้บรรดาเอเลี่ยนเหล่านั้นจับตัวผู้คนไปบ้างเพื่อทำการทดลอง แต่ก็นำมาปล่อยกลับที่เดิมครับและแน่นอน บุคคลเหล่านั้นจะจำอะไรไม่ค่อยได้ครับ รู้เพียงแต่ว่าตัวเองนั้นหายตัวไป 2-3 วันหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว อ้อ CAR นั้นจะมีหุ่นยนต์สายลับที่เรียกว่า Reptoids เอาไว้สอดส่องเหล่าเอเลี่ยนด้วยครับ เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางหรือกระทำการอันล่วงละเมิดข้อบังคับของ CAR ครับ ก็เป็นเรื่องราวคร่าวๆ ของ MIB และ CAR ดูเหมือนว่าทั้งสองหน่วยนี้จะมีหน้าที่ที่ค่อนข้างคล้ายกันบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดซะทีเดียว

เครดิต


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-02 09:46:42


เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#268
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:46:04

#268 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:46:04 ]





เรื่องนี้ไม่แน่ใจเกี่ยวกับUFOหรือเปล่าแต่ค่อนข้างคล้าย

Caddy Cadborosaurus


Cadborosaurus หรือเป็นที่รู้กันจักในชื่อ แคดดี้ "Caddy" (ไม่ใช่คนแบกถุงกอล์ฟ นะ หึ หึ) เป็นสัตว์ลึกลับจากท้องทะเลอีกชนิดหนึ่งที่มีการกล่าวขานกัน แคดดี้ได้ชื่อมาจากการพบเห็นครั้งแรกที่ Cadboro Bay ในปี ค.ศ.1933 โดยนาย Frederick Kemp และจากนั้นรายงานพบเห็นมันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกับว่ามีรายงานการจับตัวมันได้ในแบบเป็นๆ

นักวิทยาศาสตร์สองคนที่มีความสนใจในตัวแคดดี้และมักจะใช้เวลาว่างออกตามหาตัวมันอยู่เสมอคือ Paul LeBlond กับ Ed Bousfield ซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับแคดดี้มากว่า 20 ปี ทั้งคู่ได้บันทึกรายงานการพบเห็นที่น่าใจต่างๆ เอาไว้ และสอบถามจากชาวประมงหรือชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นเกี่ยวกับข้อมูล ลักษณะ และจุดที่แคดดี้มักจะไปปรากฏตัวเสมอๆ และเก็บหลักฐานต่างๆ เอาไว้เพื่อที่จะค้นหาความจริงในการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของมัน โดยการค้นหาตามชายฝั่งหรือจุดที่ได้รับรายงานด้วยอุปกรณ์ถ่ายรูปอิเล็กทรอนิกส์และโซนาร์ต่างๆ เพื่อให้ได้รูปของมัน แต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานเพิ่มเติมที่น่าพอใจนัก

ในปี 1969 ข่าวลือของแคดดี้เริ่มโหมสะพัดมากขึ้นจนมีนักวิทยาศาสตร์ นักท่องเที่ยว และนักสำรวจ รวมไปถึงผู้ที่สนใจในเรื่องสัตว์ประหลาดต่างพากันเดินทางมายัง Cadboro Bay เพื่อหวังที่จะได้เห็นตัวของมันสักครั้ง ก็มีทั้งผู้ที่สมหวังและผิดหวังแต่ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏที่แน่นอนแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแต่รูปมัวๆ ระยะไกลหรือไม่ก็รูปใบไม้หรือท่อนไม้ตามน้ำมาเท่านั้น

ที่ทะเลสาบ Victoria บริเวณใกล้กับ Cadboro Bay ก็มีรายงานการพบเห็นสัตว์ลึกลับเช่นกันเริ่มมาจากปี ค.ศ.1950 จากคำบอกเล่าของ James T. Brown นายตำรวจที่พบเห็นมันได้รายงานลักษณะของมัน "มันเหมือนกับงูขนาดใหญ่ ที่มีความยาวราว 35-40 ฟุต ไม่ใช่สัตว์ทะเลหรือสัตว์ชนิดใดที่ผมเคยเห็นมา คล้ายลมา สิงโตทะเลผสมกัน" ไม่ใช่เพียงแต่นายตำรวจผู้นี้เท่านั้นที่เห็นมันเพียง ภรรยาและลูกสาวของเขาก็ได้เห็นเจ้าสัตว์ลึกลับนี้เช่นกันตอนเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบ "ตอนแรกมันปรากฏอยู่ข้างหน้าเราออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เหมือนว่ามันจะรู้ตัวว่าเราเห็นมันและดำลงหายไป และโผล่มาอีกทีไกลออกไปราว 150 หลา ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที" ความสามารถในการว่ายน้ำของมันจะต้องไม่ธรรมดาทีเดียว อยู่ในขั้นเร็วถึงเร็วมาก "หัวมันเหมือนงู ผลุบโผล่อยู่ 5-6 ครั้ง ยาวประมาณ 6-7 ฟุตจากหัวถึงลำคอ สีของมันออกดำๆ และมันก็ดำน้ำหายไป" ครอบครัว Brown กล่าวอีกว่าได้เห็นมันอย่างชัดเจนถึง 3-4 ครั้งด้วยกัน และรายงานการพบเห็นที่ชัดเจนอีกครั้งก็มาจากครอบครัว Montgomery จาก Vancouver ซึ่งตอนที่เห็นเจ้าแคดดี้นั้น Jack และภรรยาของเขากำลังตกปลาอยู่ใกล้กับ Vancouver Island เจาสัตว์ลึกลับก็โผล่หัวสี่เหลี่ยมของมันออกมาจากผิวน้ำใกล้กับเรือของพวกเขาและก็ดำลงน้ำหายไป




ต่อมาในปี 1957 ก็มีการพบเห็นจาก Cecelia Smith ผู้เขียนคอลัมน์ในหนังสือ Vancouver Sun Cecelia และ Job สามีของเธอได้เห็นเจ้าสัตว์ลึกลับอยู่ทางด้านใต้จากเรือออกไป "เราเห็นคลื่นขนาดใหญ่สูงขึ้นจากน้ำเหมือนมีอะไรทะยานตัวขึ้นมาอย่างเร็ว เจ้าสิ่งนั้นมันมีขนาดที่ใหญ่มาก น่าจะประมาณ 40 ฟุตได้ตอนที่เราเห็นมันขึ้นมาทีแรก แต่พอเห็นมันอย่างชัดเจน ขนาดของมันไม่น่าจะต่ำกว่า 70 ฟุต หัวของมันแบนและเหมือนกับรูปร่างเพชร ดูแล้วคล้ายกับงู มันตีน้ำกระจายด้วยหางสีดำของมันอย่างกับตกใจอะไรแล้วก็ดำน้ำหายไป เราพยายามมองหามันแต่ก็ไม่เห็นมันอีก"

ในปี 1973 ที่ The Naden Harbour Whaling Station ที่เกาะควีนชาลอต (Queen Charlotte Islands) ก็มีการรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกและไม่เคยเห็นมันมาก่อน โดยคำบอกเล่าของคนชำแหละเนื้อปลาที่เจอซากของมันในท้องปลาวาฬ มีความยาว 10 ฟุต หัวเหมือนอูฐ ตัวยาวเหมือนงู มีครีบและหาง และได้ถูกถ่ายภาพและส่งตัวอย่างเนื้อที่เหลืออยู่ไปวิเคราะห์ที่ The Fisheries Station ที่ Manaimo แต่เกิดการสูญหายของตัวอย่างเนื้อระหว่างทาง คงเหลือแต่ภาพถ่ายที่ไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัดว่ามันเป็นซากของตัวอะไรกันแน่ ตำนานของแคดดี้ก็ยังคงลึกลับต่อไป ในเวลาต่อมาภาพถ่ายชุดนี้ก็ได้นำไปตีพิมพ์โดยกัปตัน William Hagelund ในหนังสือ "Whales No More" (ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นชายผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก ในฐานะที่จับแคดดี้ตัวเป็นๆ ได้) และไม่เพียงเท่านั้น รูปภาพที่เหลือก็ได้นำไปตีพิมพ์อยู่ในหนังสือของ Paul LeBlond เรื่อง "Cadborosaurus : Survivors of the Deep" อีกด้วย แม้จะยังไม่มีการจับตัวแคดดี้และนำมาออกแสดงหรือพิสูจน์ได้อย่างเป็นทางการ แต่กระนั้นรายงานการพบเห็นแคดดี้ก็มีออกมาอย่างสม่ำเสมอและในปี 1998 ก็มีพบจากครอบครัว Mock ซึ่ง Tim และ Laurice Mock เคยพบกับมันมาก่อนหน้านั้นแล้วในปี 1996 ซึ่งครอบครัวนี้พบกันมันถึง 3 ครั้งด้วยกัน

ต่อๆอีกครับ

กัปตัน Hagelund



มาว่ากันต่อเรื่องของกัปตัน Hagelund ผู้ซึ่งเป็น 1 ใน 2 คนที่จับตัวแคดดี้เป็นๆ เอาไว้ได้ ตอนที่พาครอบครัวไปล่องเรือเล่นที่รอบๆ เกาะ Gulf Island ของ British Columbia และพอถึงเวลาใกล้ค่ำกัปตัน Hagelund ได้ทอดสมอไว้ใกล้กับ Pirate's Cove บริเวณ Decourcey Island และพอความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ก็เริ่มมีเสียงประหลาดที่คล้ายกับเสียงกระดานโต้คลื่นหรืออะไรสักอย่างที่ดูเหมือนกำลังเล่นน้ำอยู่ เขาทนต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวเลยลุกออกไปดูที่มาของเสียงนั้น และก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกกำลังว่ายน้ำอยู่ที่ผิวน้ำ และจ้องมาที่ตัวเขาขณะที่อยู่บนเรือ เขาตัดสินใจที่จะจับมันทันที และไม่รู้สึกกลัวหรือเป็นอันตรายกับสัตว์ประหลาดตัวนี้เลยแม้แต่น้อย



จากการคาดคะเนของกัปตัน มันมีความยาวราว 16 นิ้วหรือเพียงฟุตกว่า จึงเพียงพอที่กัปตันจะใช้ตาข่ายจับมันเอาไว้ได้ และจับมันใส่ในถังพร้อมกับตักน้ำทะเลใส่ไว้ด้วย จากนั้นเขาจึงพิจารณามันอย่างละเอียดอีกครั้ง ตัวมันหุ้มด้วยหนังที่หนา หัวคล้ายกับม้า จมูกยาวเหมือนปลาโลมา ขนมีสีเหลืองอ่อนๆ ลำตัวเหมือนกับสิงโตทะเล และมีหาง ที่คล้ายกับปลาโลมา เจ้าสัตว์ลึกลับตัวนั้นได้ส่งเสียงดังอยู่ตลอดเวลาหลังจากที่โดนขัง กัปตันได้ตัดสินใจที่จะส่งมันไปยัง The Fisheries Station เพื่อวิเคราะห์ว่ามันเป็นสัตว์ชนิดหรือประเภทไหน...

แต่กัปตันคิดว่ามันอาจจะไม่รอดถ้าอยู่ในที่ที่มีอากาศจำกัดในการหายใจ เช่นในถังที่เขาจับมันไว้ และได้นำมันออกไปยังทะเลอย่างไม่เต็มใจนัก ก็เป็นที่น่าเสียดายสำหรับโอกาสที่จะได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของมันสำหรับคนอื่นๆ ส่วนอีกคนที่มีรายงานว่าจับแคดดี้ได้นั้นคือ Phyllis Harsh ผู้อาศัยอยู่ที่เกาะ John's Island ในปี 1991 ก็ได้ปล่อยลูกของแคดดี้กลับสู่ทะเลหลังจากที่พิจารณามันจนพอใจแล้ว ในรายงานไม่ได้บอกว่าเขาจับมันมาจากไหนและอย่างไร เพียงแต่บอกว่าได้ตัวมาจากชายฝั่งทะเลขณะที่มันติดสาหร่ายอยู่ มีเพียงภาพถ่ายของมันในแต่ละอิริยาบถเท่านั้น นอกจากนั้น Phyllis Harsh ยังเคยพบโครงกระดูกของสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนไดโนเสาร์ที่รังของนกอินทรีย์อีกด้วย จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเห็นแคดดี้ที่โตเต็มวัยนั้นกล่าวว่ามันมีลักษณะยาวประมาณ 100 ฟุต และจากการสังเกตจุดพบเห็นแคดดี้นั้นดูเหมือนมันจะอาศัยอยู่หรือเดินทางไปมาระหว่าง Vancouver Island และ Mainland




ก็เป็นสัตว์ลึกลับในตระกูลไดโนเสาร์เช่นเดียวกับเนสซี่และเพื่อนร่วมสายพันธุ์ของมัน จากการพบเห็นแคดดี้และสัตว์ลึกลับที่ทะเล Victoria อาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นสัตว์ตัวเดียวหรือฝูงเดียวกันที่อาศัยอยู่ในบริเวณ Cadboro Bay ที่เดินทางไปมาระหว่างสถานที่ทั้งสอง ทำไมสัตว์ลึกลับที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกันนี้ถึงมีรายงานการพบเห็นอยู่ทั่วโลก ?? เป็นไปได้หรือว่ามันเหลือรอดมาจากยุคน้ำแข็งหรือเมื่อหลายล้านปีก่อนได้เยอะขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเพียงฝูงเดียวที่เหลือรอดอยู่ แล้วเดินทางไปยังทะเลสาบและทะเลทั่วโลกด้วยหนทางที่มันเสาะหาเจอ อาจเป็นอุโมงค์ใต้น้ำหรืออะไรสักอย่างที่เชื่อมต่อกันได้ หรือบางทีอาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ซ้อนกันของมิติเวลาที่ซ้อนทับกันพอท ีและฉายภาพที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายล้านปีก่อนมาแล้วให้เราเห็นอีกครั้งโดยบังเอิญ ก็ยังลึกลับต่อไปกับตำนานสัตว์ประหลาด จนกระทั่งวันหนึ่งข้างหน้าในอนาคตความจริงก็อาจจะปรากฏขึ้นมาไขปริศนานี้ก็เป็นได้ "myth is always myth"

เครดิต



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#269
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:48:50

#269 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:48:50 ]





วิหารบนดาวอังคาร



CT ตอนนี้จะพาทุกท่านไปยังดาวอังคารครับ ไปชมเรื่องราวอันน่าพิศวงและความช่างคิด ที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ของฝรั่งเค้าอีกตามเคย กับหัวข้อนี้ไง "ทฤษฎีสมคบคิด" ตอนที่ 4 ของ Series

ดังที่เคยเป็นข่าวมาเป็นระยะๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของดาวอังคารหรือดาวแดงของบางท่าน บนดาวอังคารมีอะไร ? อเมริกาตอบคำถามนี้ด้วยการส่งยานไปสำรวจดาวอังคารมานานนับเป็นร้อยปีแล้วครับ หลังจากที่เรา(หมายถึงทางอเมริกา) พิชิตดวงจันทร์ได้ ดาวอังคารก็เป็นเป้าหมายต่อไป นับมาตั้งแต่การสำรวจนับครั้งไม่ถ้วน เช่น ยานมารีเนอร์ (Mariner) ยานไวกิ้ง 1,2 (Viking) สำรวจเมื่อปี ค.ศ. 1976 ต่อมาในปี 1996 ก็ส่งยาน Mars Global Surveyor ไปอีก และในปีเดียวกันกับยาน Mars Pathfinder ซึ่งก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่าบรรดาภาพถ่ายนับพันใบที่ส่งมายัง NASA เป็นไปได้หรือกับการที่ส่งทั้งยานอวกาศ ดาวเทียมและยานสำรวจไปตั้งมากมาย แต่กลับสิ่งที่เราได้รู้เพิ่มเติมภายหลังจากการสำรวจแต่ละครั้ง ก็ไม่ได้มากมายไปกว่าการสำรวจมหาสมุทรหรือท้องทะเลในโลกเราเลย เค้าอาจจะรู้แต่เราไม่รู้ ? แต่ก็ไม่แน่ครับว่าทาง NASA อาจจะ "ซุกซ่อนและปกปิด" อีกครั้งตามความถนัดของทางพี่เค้าเองอีกหรือเปล่า ?



ทางดาวอังคารนั้นก็มีดาวบริวารเหมือนกันครับหรือที่เราเรียกว่าดวงจันทร์ของดาวอังคารอยู่ 2 ดวง ชื่อโฟโบส (Phobos) กับ ไดโมส (Deimos) มีรูปร่างเกือบกลมและมีขนาดเล็กมาก เล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกเราเสียอีก ว่ากันว่าแต่เดิมเนี่ยดวงจันทร์ทั้งสองดวงเนี้ยไม่ใช่ดาวบริวารของดาวอังคาร แต่อาจจะถูกแรงดึงดูดของดาวอังคารจับเอาไว้ตอนมันโคจรผ่านเข้ามาแล้วก็เลยกลายเป็นดาวบริวารไป และโคจรอยู่ใกล้กับดาวอังคารมากจนเห็นได้ชัด แต่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นมานานกี่แสนกี่ล้านปีมาแล้ว ก็ยังไม่อาจทราบได้

บริเวณที่อเมริกาชอบส่งบรรดายานสำรวจหรือดาวเทียมถ่ายภาพระยะไกลทั้งหลายแหล่ไปนั้น เป็นส่วนที่เรียกกันว่า "ไซโดเนีย (Cydonia)" ทำไม๊ ทำไมถึงชอบไป Landing บริเวณนี้กันนักหนาล่ะ สำรวจทีไรก็ไซโดเนีย หรือไม่ก็ไม่ไกลจากบริเวณนั้นไปเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพียงพิกัดหรือบริเวณที่เหมาะแก่การสำรวจเท่านั้น แต่ !! ถ้ามีบางสิ่งอยู่ตรงบริเวณนั้นล่ะ ? บางสิ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ในเวลานี้หรืออาจจะตลอดไปตราบเท่าที่ทางอเมริกาจะสามารถทำได้ แล้วมันคืออะไรละ ? จำได้มั๊ยครับว่าบริเวณ Cydonia นั้นมีอะไรอยู่ ใช่แล้ว มันคือรูปภาพหน้าคนที่เราเรียกกันว่า "Face on Mars" หินที่ก่อตัวจนเป็นรูปหน้าคน บังเอิญหรือว่ามีอะไรหรือใครไปสร้างเอาไว้บนนั้น ได้มีการพิสูจน์กันว่าแท้ที่จริง "Face on Mars" คืออะไรกันแน่ เป็นเพียงภาพหินธรรมดาที่บังเอิญแสงและเงาทำให้เกิดภาพเช่นนี้ขึ้นมา หรือว่ามันเป็นสิ่งก่อสร้างของสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาบนดวงดาวนั้น หลายท่านอาจจะเคยผ่านตากับภาพชุดนึงที่เค้าว่าเป็นภาพถ่ายจากทางด้านข้างหรือทางด้านอื่นๆ ของ "Face on Mars" นี้ แล้วได้มีการสรุปออกมาว่า มันเป็นเพียงภาพก้อนหินใหญ่ธรรมดาที่โดนเล่นตลกด้วยแสงเงา จนเป็นรูปร่างหน้าคนขึ้นมา แต่ก็มีบรรดานักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์บางท่าน รวมไปถึงนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญและบรรดาชายขี้สงสัยทั้งหลายไม่เห็นด้วยและได้แย้งเอาไว้ว่า มันจะง่ายไปหน่อยหรือเปล่า กับการที่จะสรุปว่ามันเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาที่ไม่มีอะไรหรือบังเอิญเกิดขึ้นจากธรรมชาติ โดยอาศัยบทสรุปเพียงภาพถ่ายจากทางด้านข้างหรือด้านอื่นที่ไม่ใช่ภาพด้านบน "ลองมองลายเส้นนาซก้าจากบนดินซิ คุณเห็นอะไรมั๊ย ? วิหารต่างๆ ละ ทำไมต้องสร้างให้มันใหญ่โตด้วย เพื่ออะไร ? แล้วปิระมิดหรือบรรดาสิ่งก่อสร้างโบราณที่ใหญ่ยักษ์ทั้งหลายล่ะ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเหตุผลใด ? เพื่อบูชาและเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการเคารพและเพื่อให้พระเจ้าของเขามองเห็นได้ง่ายยังไงล่ะ เมื่อเทพเจ้าของพวกเขาเสด็จหรือมองลงมาจากท้องฟ้า" ครับ ก็ว่ากันไป




เมื่อมีการสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้นั่นย่อมแสดงว่าบนดาวอังคารย่อมมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาอาศัยหรือ "เคยอาศัย" อยู่บนนั้น ดังที่อาจจะรู้กันแล้วว่าบนดาวอังคารนั้นไม่ได้มี "Face on Mars" เพียงหน้าเดียว ที่ถูกควรจะเป็น "Faces on Mars" มากกว่า ใช่ครับยังมีอีกใบหน้าหนึ่งนอกจากใบหน้าที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกัน แต่มีลักษณะที่เล็กกว่าและอยู่ถัดไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (แต่ก็เป็นกิโลแน่ะ) ดวงจันทร์สองดวงนี้กับใบหน้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่า ? เป็นประเด็นที่มีการขบคิดของบรรดาผู้ที่(อยาก)รู้ กันครับ

แล้วสรุปกันออกมาว่า มันน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นมาเพื่อสักการะหรือบูชาต่อดวงจันทร์ทั้งสองดวง โอ้โฮ ! ช่างสรุปกันได้น่าสนใจทีเดียว เอ ลองฟังไว้ก็ไม่เสียหลายนี่นา ว่าแล้วก็ฟังหรือดูกันเลย ขอย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1976 ที่ NASA ส่งยานไวกิ้ง (Viking) ไปถ่ายภาพดาวอังคาร หนึ่งในหลายๆ ภาพนั้นเป็นภาพของก้อนหินเป็นรูปร่างที่มีองค์ประกอบต่างๆ เช่น ดวงตา จมูก ปากและที่ครอบศีรษะหรือบางทีอาจจะเป็นหัว อยู่อย่างชัดเจน พูดกันง่ายๆ ว่ามันดูเหมือนใบหน้าของสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายกับมนุษย์ !!!

เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ก็เป็นข่าวไปทั่วโลกว่าพบสิ่งก่อสร้างหรือใบหน้ามนุษย์บนดาวอังคาร แต่ทาง NASA ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลหรือรายละเอียดมากไปกว่าที่เราทราบกัน ทั้งภายหลังยังพยายามออกมาชี้แจงรวมทั้งนำภาพถ่ายอื่นๆ จากทางด้านข้างและด้านอื่นให้ดูว่ามันไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าหินหรือภูเขาก้อนหนึ่งเท่านั้น เอ มันก้อแปลกๆ นาทำอย่างนี้ จนกระทั่งได้มีการวิเคราะห์และตรวจสอบกันจากทางทั้งนักดาราศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญและนักสืบเอกชน (ไปเกี่ยวไรด้วยว๊า -_-'') และนำมาตีแผ่ต่อสื่อ รวมทั้งต่อว่าทาง NASA ว่าปกปิดข้อมูลที่แท้จริงเอาไว้ และทาง NASA ก็ได้ออกมาโต้กลับว่า ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ นี่น๊า จะไม่เชื่อกันบ้างหรือไง มันก็เป็นเพียงก้อนหินเท่านั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเล๊ย และจากภาพถ่ายของดาวอังคารแถบบริเวณ Cydonia เค้าว่าถ้าสังเกตให้ดีบนภาพจะมีจุดอยู่ 4 จุด ถัดจาก "Face on Mars" ออกไปหรือก็คือมันล้อมรอบ "Face on Mars" อยู่นั่นเอง ซึ่งเค้าว่ากันว่าแต่ละจุดเปรียบได้กับมหาปิระมิดของอียิปต์ ซึ่งเราก้อได้ทราบกันไปบ้างแล้วใช่มั๊ยครับ ว่ามีการค้นพบสิ่งก่อสร้างที่คล้ายกำแพงเมืองและปิระมิด (Pyramid) รวมไปถึง สฟิงซ์ (Sphinx) บริเวณนั้นด้วย มาว่ากันต่อเรื่องจุดนั้นมีการเรียงตัวเป็นมุมทั้ง 4 และล้อมรอบด้วยกลุ่ม ปิระมิดเล็กๆ ที่ไม่เล็กเสียทีเดียว โดยทั้งบริเวณนี้กินเนื้อที่ไปกว่าหนึ่งไมล์หรือราว 1.6 กิโลเมตรโดยประมาณ แถมทั้งหมดนี่ยังมีการเรียงตัวที่เป็นเส้นตรงซะอีกแน่ะ

ซึ่งเค้าว่ากันว่ามันดันเหมือนกับจุดศูนย์กลางกองบัญชาการของเพนทากอน (Pentagon) หรือกระทรวงกลาโหมของอเมริกาเพียงแต่เพนทากอนนั้นมีอยู่ 5 มุม อุ อุ อุ แต่ก็คล้ายกับ "Face on Mars" ที่ล้อมรอบด้วยจุดหรือปิระมิดเหล่านี้เช่นกัน !!! หรือที่เรียกจดศุนย์กลางนี้ว่า "The Center Point" ทีนี้เราลองไปทางตะวันตกจาก Cydonia อีกหน่อยก็จะเจอกับหินที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับหัวแครอทหันไปทางใต้ อันนี้ละครับที่เค้าว่ามันคล้ายกว่าใบหน้าของสิ่งมีชีวิตมากกว่าอันแรกเสียอีก !! ซึ่งประกอบไปด้วยสองตา ริมฝีปากและคาง แม้แต่สันจมูกด้วยซ้ำไป รวมจากองค์ประกอบมันแล้วเป็นอะไรที่คล้ายใบหน้ามาก แต่ทว่าไม่น่าจะใช่ใบหน้าของมนุษย์อย่างเราๆ แน่นอนเลยครับ กับ "The Second Face" เป็นชื่อที่เรียกกันของสิ่งนี้


เอาละครับทีนี้เรามาถึงข้อมูลที่ทฤษฎีนี้ว่ากันไว้เมื่อตอนต้นว่า สิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่และทำไมชาวดาวอังคาร (Martians) ถึงสร้างมันขึ้นมา ?? คำตอบที่เค้าว่าเอาไว้ก็คือ มันถูกสร้างเพื่อให้เป็นวิหารไว้สำหรับเคารพและสักการะบูชาต่อดวงจันทร์ทั้งสองของดาวอังคาร !! โดยชาวดาวอังคารก็เคยถูกมาเยือนด้วยสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาจากระบบสุริยะที่ไกลออกไป และสั่งสอนศิลปะวิทยาความรู้ให้แล้วก็จากไป เช่นเดียวกันกับที่อาจจะเกิดขึ้นบนโลกเรานี้กับอารยธรรมโบราณต่างๆ !?!?! และผลพวงนั้นก็ทำให้เกิด Cydonia Complex ขึ้นมาเพื่อที่จะพยายามติดต่อและเพื่อเป็นที่สักการะของเหล่าชาวดาวอังคารต่อพระเจ้าของพวกเขานั่นเอง ด้วยการสร้างใบหน้าให้หันขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อให้พระเจ้าของเค้ารู้ว่าพวกเขากำลังคอยการกลับมาของพระองค์อยู่ ฟังแล้วคุ้นๆ มั๊ยครับเหมือนกับหลายอารยธรรมบนโลกนี้เอาเสียจริง มันจะเป็นการบังเอิญที่เกินไปหรือเปล่า




ถ้าเกิดครั้งหนึ่งบนดาวอังคารเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่และมีอารายธรรมอยู่บนนั้น ดังที่เคยกล่าวไปแล้วว่า ชาวอังคารอาจจะเคยถูกเยือนด้วยสิ่งมีชีวิตและทรงปัญญากว่าพวกเขาตอนนั้น แล้วก่อนหน้าที่จะมีผู้มาเยือนละ ? มันหมายถึงว่าในขณะนั้นพวกเค้าอาจมีเทคโนโลยีและความรู้ที่อาจยังล้าหลัง เหมือนยุคบรรพบุรุษของเราในยุคหินหรือยุคที่ยังมีความเชื่อต่อพระเจ้า และสิ่งที่มองไม่เห็นก็อาจเป็นได้ และเมื่อมีผู้มาเยือนจากฟากฟ้าแล้วสั่งสอนวิทยาความรู้ให้แล้วก็ทรงเสด็จกลับไปยังบนฟ้า และนึกว่าดวงจันทร์เป็นที่ที่พระองค์ทรงเสด็จลงมา ก็เลยสร้างวิหารและปิระมิดขึ้นมาตามที่กล่าวไว้ข้างต้น อย่างนี้เปรียบได้กับอารยธรรมส่วนใหญ่บนโลกเราทื่มีการสักการะบูชาต่อดวงจันทร์ หรือว่าเราจะเดินตามรอยชองชาวดาวอังคารอีกคำรบนึง ? มาดูตัวอย่างบรรดาอารยธรรมที่มีการสักการะบูชาต่อสิ่งบนฟ้ากันดีกว่าครับ ชาวอียิปต์โบราณบูชาพระอาทิตย์และดวงดาว ชาวสุเมเรียนเคารพและบูชาดวงจันทร์ ชาวกรีกและโรมันนับถือต่อดวงดาวต่างๆ หลายๆ อย่างที่มองไม่เห็นและน่าเชื่อถือจะกลายเป็นพระเจ้าของพวกเขาไปในที่สุด แล้วถ้าเกิดชาวดาวอังคารเคยทำอย่างนี้มาก่อนละ ? กับดวงจันทร์ที่คิดว่าพระเจ้าอาศัยอยู่บนนั้นและคอยพิทักษ์รักษาพวกเขาอยู่ Cydonia Complex เลยกลายเป็นคำตอบในเวลาต่อมาจาก "The First Face" สร้างขึ้นเพื่อสักการะต่อดวงจันทร์โฟโบส และ "The Second Face" ต่อไดโมส "Deimos"




นอกจากนี้ยังมีในส่วนความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ของตรีโกณระหว่าง Cydonia Complex ที่ลงตัวกันอย่างเหมาะเจาะกับระบบวงโคจรของดวงจันทร์ทั้งสอง เมื่อเปรียบเทียบมาเป็นอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน เหมือนดังปิระมิดของอียิปต์ที่มีอัตราส่วนหลายๆ อย่างไปตรงกันกับความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์เช่น จำนวนขั้นของปิระมิดเมื่อนำมาคำนวณทางคณิตศาสตร์ (ขอโทษขะรับ ผมจำไม่ได้ว่ายังไงแล้ว -_-''') จะได้ออกมาเท่ากันกับจำนวนวันของโลกคือ 365 วันและระยะทางระหว่างจากโลกไปดวงดาวต่างๆ ก็มีบอกอยู่ (อันนี้ลองหาอ่านกันดูนะขะรับ ผมจำได้แค่นี้ง่ะ -_-''') ก็เป็นข้อมูลระหว่างดวงจันทร์ทั้งสองดวงและ Cydonia Complex ที่เค้าว่าเอาไว้ อ้อ มีทิ้งท้ายนิดนึงครับ "เป็นไปได้ที่หินเพียงก้อนนึงอาจจะดูเหมือนใบหน้าได้ แต่เป็นไปได้ยากที่หินหลายๆ ก้อนมารวมตัวกันแล้วมีลักษณะคล้ายสิ่งก่อสร้างและใบหน้า รวมไปถึงกับระบบโคจรของดวงจันทร์ที่มีความลงตัวกันทางคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะเมื่อรายละเอียดมันค่อนข้างที่จะสมบูรณ์"

ครับ... ทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวของวิหารบนดาวอังคารจากแนวคิดและการวิเคราะห์ของทางฝรั่งเค้า ที่ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากอารยธรรมโบราณของโลกเราไม่น้อยเลย แต่ถ้าครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นบนโลกเราจริงๆ ล่ะ ???

เรากำลังเดินตามรอยชาวอังคารกระนั้นหรือ ?

เครดิต



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#270
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:49:56

#270 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:49:56 ]





มนุษย์ดาวอังคาร เกรย์


Greys หรือ Grays เป็นชื่อเรียกมนุษย์ต่างดาวที่เราคุ้นเคยกันดี ที่มีลักษณะหัวโต ดวงตาสีดำใหญ่ไร้หนังตา ริมฝีปากบาง แขนยาว และผิวสีเทาซีด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เกรย์" ว่ากันว่าเกรย์นั้นเป็นชาวอังคารแต่อาศัยและสร้างอาณานิคมอยู่ใต้ดิน เพราะบนพื้นดินนั้นไม่อำนวยต่อการอาศัยอยู่ ทางเข้าไปยังนครของพวกเกรย์ที่อยู่ใต้ดินนั้นจะมีอุโมงค์ขนาดใหญ่ลึกลงไปถึงใจกลางดาว ถ้าใครเคยผ่านตาภาพลักษณะเหมือนอุโมงค์ใต้ดินที่นาซ่าถ่ายมาได้ คงพอจะนึกออกนะครับส่วนที่อยู่อาศัยของเกรย์นั้น จะเป็นลักษณะเหมือนยานอวกาศหรือยานยังชีพสำหรับตัวเองหรือครอบครัว ซึ่งจะใช้ไปไหนมาไหนได้ง่ายและสะดวก แต่ก็จะมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นสถานที่สำคัญๆ อยู่ด้วย แต่ปัจจุบันพวกเขายังอาศัยอยู่ในใต้ดินของดาวอังคารหรือเปล่า อันนี้ไม่เป็นที่แน่ชัด หรือว่า……..ตอนนี้พวกเขากำลังจะหาบ้านใหม่ !!!


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากข่าวการพบเห็นจานบิน ปรากฏการณ์ประหลาด ในโลกเราอยู่เสมอและรายงานการพบเห็นปรากฏเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีจนถึงปัจจุบัน จากข้อมูลบางแหล่งได้รายงานว่า ส่วนหนึ่งของพวกเกรย์ได้เริ่มมาอาศัยอยู่บนโลกของเราบ้างแล้ว และรัฐบาลได้พยายามสร้างความเชื่อต่อสาธารณะชนให้พยายามคิดว่าเอเลี่ยนนั้นไม่เป็นอันตราย และพยายามริเริ่มมีนโยบายของการรับเอเลี่ยนเข้ามาอยู่ในโลกอย่างลับๆ และโครงการในอนาคตเพื่อเป็นการเตรียมการสร้าง New World Order หรือ NWO (ไม่ใช่กลุ่มนักมวยปล้ำ นะ หึ หึ หึ) หรือ นโยบายการจัดระเบียบของโลกใหม่ให้ทุกอย่างเป็นระบบหรือระเบียบมากขึ้น เพื่อง่ายและสะดวกต่อการควบคุมพลเมืองหรือประชาชน (อาจคล้าย The Matrix นา) โดยรัฐบาลได้พยายามสร้างสภาวะทางสังคมที่เอื้ออำนวยต่อเกรย์ ให้สามารถอาศัยได้เมื่อพวกเขามาถึง โดยจากการอาศัยพลังของสื่อเพื่อชักนำและชักจูงประชาชนทีละเล็กน้อย เพราะเหตุนี้เราถึงมีภาพยนตร์ เช่น ID 4 Men in Black X-Files ET รวมไปถึงการ์ตูน นิตยสาร ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีรูปของเกรย์ติดอยู่ ให้คุ้นเคยกับการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวหรือเอเลี่ยน และเพื่อดึงดูดและโน้มน้าวใจของประชาชน




รัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของพวกเกรย์หรือเพียงแต่จะใช้พวกเขา เพื่อปฏิบัติการอย่างอื่นใดต่อไปในอนาคตหรือไม่ ? คำตอบไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ในอนาคตเมื่อรัฐบาลเตรียมการทุกอย่างเสร็จสำหรับพวกเกรย์แล้ว เกรย์จะเริ่มสลัดเกราะหินที่ปกคลุมส่วนผิวยานออกและจะเริ่มมุ่งหน้ามายังโลกทันที และเกรย์ก็จะใช้โปรแกรมที่พัฒนามากว่าร้อยปี โดยโปรแกรมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ปกครองโลกเราและทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่รู้ว่าเป็นโปรแกรมประเภทใด แต่อาจจะคล้ายแบบ mind control ก็ได้ขะรับ เป็นการควบคุมเราให้อยู่ในปกครองของเกรย์และรับใช้ต่อพวกเขา ซึ่งว่ากันว่าในขณะนี้มียานอวกาศลำมหึมาลอยอยู่ในอวกาศห่างจากโลกออกไป ซึ่งมันแฝงตัวอยู่ในรูปของดาวเคราะห์หรือที่เราเรียกกันว่าดาวหาง "Hale Bopp" แต่จริงๆ แล้วมันคือสถานีอวกาศขนาดยักษ์ ซึ่งมีเกรย์กว่า 300 ล้านอาศัยอยู่เพื่อรอการครอบครองโลก และคุมเชิงอยู่นอกโลกเพื่อรอเวลาพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่เป็นมิตรแก่มวลมนุษย์แต่อย่างใด เป้าหมายของเกรย์คือมุ่งครองดวงดาวของเราและใช้ทรัพยากรจากดาวของเราเพื่อเป็นที่อาศัยอยู่เท่านั้น วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ อนาคตหมู่มวลมนุษย์ชาติจะเป็นยังไงต่อไป ก็จับตาคอยรอดูกันต่อไปก็แล้วกัน แต่ถ้าวันนั้นมาถึงก็ "May The Force Be With You"

เครดิต


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-02 09:50:33


เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#271
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:52:28

#271 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:52:28 ]





ยานอวกาศยักษ์ที่ดาวเสาร์


รู้สึกUFO จะมีหลายตอนแฮะ

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 1996 Dr.Norman Bergrun นักวิทยาดาราศาสตร์อวกาศของทางองค์การนาซ่าได้จับภาพยานอวกาศขนาดมโหฬารได้ โดยจากกล้องฮับเบิล (Hubble Space Telescope) ขณะกำลังส่องดูความเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์น้อยที่โคจรอยู่บริเวณวงแหวนดาวเสาร์ และแล้วก็พบเจอกับสิ่งประหลาดเข้าจึงได้ส่งคำสั่งไปยังดาวเทียมให้ทำการบันทึกภาพบริเวณนั้นไว้ จากรูปถ่ายที่ได้มาจากดาวเทียมสำรวจนั้นปรากฏสิ่งหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกับยานพาหนะขนาดใหญ่โตติดมาด้วย โดยลักษณะของมันดูคล้ายกับยานอวกาศทรงซิการ์ ที่ดูเหมือนกำลังโคจรอยู่บริเวณรอบวงแหวนดาวเสาร์ ทางนาซ่าเองก็ประหลาดใจมากเพราะไม่เคยปรากฏว่ามีการพบเจอสิ่งประหลาดหรือ UFOs ขนาดยักษ์แบบนี้ที่บริเวณดาวเสาร์มาก่อน แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าทางนาซ่าสามารถถ่ายภาพเจ้ายานอวกาศลำนี้ไว้ได้เพียงแค่ 2 ใบแรกเท่านั้น เพราะว่าภาพถ่ายใบต่อๆ มาก็ไม่ปรากฏว่ามีรูปยานอวกาศลำนี้ติดอยู่ในรูปเสียแล้ว จึงสันนิษฐานว่ามันน่าจะเคลื่อนที่ไปจากบริเวณนั้นในช่วงเวลาที่ดาวเทียมกำลังถ่ายภาพ

ไม่ใช่แค่นั้นครับ จากตอนต้นที่กล่าวไว้ว่ามันมีขนาดความยาวจากหัวถึงท้ายที่เรียกได้ว่ามโหฬารเลยทีเดียว แต่อยู่ๆ ก็หายไปจากสายตาของกล้องฮับเบิลและดาวเทียมในเวลาไม่ถึงวินาที !!! แสดงว่ายานลำนี้หรือสิ่งนี้ต้องมีความเร็วที่สูงมาก จากการประมาณความเร็วจากนักวิทยาศาสตร์ได้ให้ความเห็นว่ามันจะต้องมีความเร็วในการเคลื่อนที่ที่สูงมาก จนภาพถ่ายมุมกว้างจากกล้องฮับเบิลนั้นยังจับภาพได้เพียง 2 ใบ จากการถ่ายภาพต่อเนื่องกันและบริเวณที่จับภาพไว้ได้นั้นมีเนื้อที่ประมาณเกือบ 30 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกต่อภาพหนึ่งใบ !!! จึงคาดว่ายานอวกาศนั้นน่าจะมีการเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วในทันทีจนไม่ปรากฏในรูปใบต่อมาหรือบริเวณอื่นใดในภาพ หรือที่คาดกันว่ามันอาจจะใช้ความเร็วแสงในการเคลื่อนที่จากไปตรงที่มันอยู่ !! หรือมีอีกกรณีหนึ่งคือมันหายตัวไปหรือมีเครื่องพรางตนเองทำให้ยานล่องหน แต่ที่น่าตกใจไม่ใช่เพียงแค่นั้น ที่สำคัญเมื่อทางนาซ่าลองคำนวณขนาดของมันจากรูปถ่ายทั้ง 2 ใบและเปรียบเทียบขนาดกับวงแหวนของดาวเสาร์กับโลกของเราแล้วพบว่า ขนาดยานอวกาศลำนี้มีความยาวเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกเราหรืออาจจะใหญ่กว่าเลยทีเดียว !! โดยพวกข้อมูลและรูปภาพเหล่านี้ภายหลังได้ตีพิมพ์ลงนิตยสาร "Science News vol. 149 No.5 p.71" ในเวลาต่อมาอีกระยะหนึ่ง โดยทาง Dr.Norman และทางนาซ่าเองก็ไม่ได้ความเห็นอะไรมากนัก



อีก 8 เดือนต่อมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 1996 ทางนาซ่าก็สามารถจับภาพของยานอวกาศลำนี้ได้อีกครั้ง และที่สำคัญมันโคจรอยู่ที่บริเวณที่ไม่ห่างไปจากเดิมคือแถววงแหวนดาวเสาร์ คราวนี้สามารถจับภาพได้ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 12 วัน โดยมันแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงตำแหน่งในการเคลื่อนเลย จนกระทั่งถึงวันที่ 22 สิงหาคม มันก็หายไปอีก ก็ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมอะไรไปมากกว่าภาพถ่ายครั้งก่อนของมันและข้อสันนิษฐานต่างๆ ที่เพียงแต่เห็นมันเป็นเวลานานขึ้นเท่านั้นเอง ยานอวกาศลำนี้มาทำอะไรที่บริเวณวงแหวนของดาวเสาร์ ?? แค่ผ่านมา จอดซ่อมยาน เติมเสบียงหรือว่ากำลังปฏิบัติการอะไรซักอย่างหนึ่ง หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางธรรมดา ที่รูปร่างบังเอิญคล้ายกับรูปร่างของยานอวกาศเท่านั้น ?

ทาง Dr.Norman ก็ได้ออกมากล่าวว่ามันไม่ใช่ดาวเคราะห์หรืออุกกาบาตแน่นอน เพราะจากรูปทรงเลขาคณิต รวมไปถึงการปรากฏตัวและหายตัวไปแบบฉับพลันทั้งยังตำแหน่งในการโคจรแล้ว มันไม่ได้โคจรแบบสะเปะสะปะเลยหรือลอยอยู่เฉยๆ แบบดาวเคราะห์น้อย แต่มีวิถีโคจรที่ค่อนข้างมั่นคงและค่อนข้างรักษาระยะเดิมระหว่างวงแหวนของดาวเสาร์อยู่ตลอด กล่าวว่ามันน่าจะเป็นยานพาหนะหรือสิ่งประดิษฐ์ชนิดหนึ่งจากสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญา และได้ให้สันนิษฐานว่ายานอวกาศลำนี้อาจจะกำลังทำอะไรสักอย่างแถววงแหวนของดาวเสาร์ที่อาจเกี่ยวกับแรงดึงดูด โดยจากขนาดอันมโหฬารของยานอวกาศยักษ์ลำนี้นั้น Dr.Norman ยังกล่าวอีกว่า บางทีสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งใดก็ตามที่ประดิษฐ์หรือขับยานลำนี้นั้น ขนาดร่างกายอาจจะไม่เท่ากับมนุษย์อย่างเราก็ได้ แต่อาจจะใหญ่กว่าชนิดหลายสิบหรือบางทีอาจหลายร้อยเท่า ฉะนั้นยานอวกาศที่อยู่ในภาพอาจจะเป็นแค่ยานสำรวจหรือยานโดยสาร ที่มีขนาดธรรมดาสำหรับผู้ขับเหมือนกับยานอวกาศหรือเครื่องบินของโลกเราก็เป็นได้ และทิ้งข้อคิดเห็นเอาไว้ว่าในจักรวาลนี้มนุษย์อาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นแบบหรือขนาดมาตรฐาน บางทีอาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าเรามากอาศัยอยู่ก็เป็นได้ และกล่าวเสริมว่าที่ไม่ได้นำมาแถลงต่อสาธารณชนมาก่อน ตอนที่เพิ่งจับภาพนี้มาได้นั้นเพราะว่าเกี่ยวกับความมั่นคงและความปลอดภัยที่ไม่ใช่แค่ระดับชาติ แต่อาจจะเป็นระดับโลก ก็ว่ากันไป

บางข้อมูลก็ว่าเอาไว้ว่าที่ทางนาซ่าไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลต่างๆ หรือแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้นั้น เพราะว่ามีหน่วยงานราชการลับจากทางรัฐบาลเข้ามาควบคุมดูแลข้อมูลหรือบางสิ่งที่ไม่อาจจะเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ ตั้งแต่ตอนที่ทางนาซ่าเริ่มบุกเบิกอวกาศ และเริ่มมีการพบสิ่งประหลาดหรือเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่น่าจะใช่ฝีมือของมนุษย์โลก จากนั้นทางรัฐบาลก็ได้นำหน่วยงานลับนี้เข้ามาควบคุมนาซ่าอีกทีนึง โดยหน่วยงานนี้มีชื่อเรียกกันภายในว่า "military intelligence agencies , MIA" ที่มีหน้าที่ปกปิดและคอยตรวจตราข้อมูลของนาซ่าจากการสำรวจอวกาศ ภาพ UFOs ภาพถ่ายจากอวกาศและข้อมูลต่างๆ ที่ไม่ปกติก่อนที่จะนำไปเปิดเผยหรือแถลงการณ์ทุกครั้ง โดยนี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ว่าทำไมทางนาซ่าถึงไม่ค่อยได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ UFOs ภาพถ่ายเอเลี่ยนหรือสิ่งแปลกจากอวกาศออกไปมากนัก เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานนี้นั่นเอง

อื้ม จบไปกับ CT อีกครั้ง ตอนนี้เป็นไงบ้าง สั้นๆ อาจจะน้อยไปนิดนึงนะครับ ข้อมูลคราวนี้มีเหตุผลให้ด้วยว่า ทำไมทางนาซ่าถึงไม่ค่อยได้เปิดเผยหรือออกมาพูดอะไรมากนัก เกี่ยวกับงานสำรวจหรือข้อมูลกับภาพถ่ายแปลกๆ ต่างๆ ของนาซ่าเอง และทำไมทางอเมริกาถึงมีหน่วยงานลับเยอะแยะจริงแฮะ ควบคุมโน่นนี่ไปหมด พวก Secret Agents อีกทั้งหลายอีก แต่หน่วยงานที่เค้าว่ามีพลังอำนาจมากที่สุดในอเมริกาทั้งหน้าฉากและหลังฉาก ทุกคนคงจะทราบแล้วนะครับ ก็คือพี่ใหญ่หรือ Big Brother , CIA นั่นเองไม่ว่าจะเป็นยังไง "the truth is out there" ความจริงอยู่ข้างนอกนั่น ละครับ ความจริงยังรอการค้นหาอยู่เสมอ………….

เครดิต



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#272
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:53:56

#272 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:53:56 ]





Black Helicopter


ก็จะเป็นอารัมภบทเกี่ยวกับ BH ก่อนครับ ยังไม่ได้ลงไปถึงข้อมูลและรายงานการพบเห็นหรือเผชิญหน้าและข้อมูลอื่นๆ มากเท่าใดนัก เอาเป็นว่ามาดูกันถึงเรื่องราวทั่วๆ ไปก่อนก็แล้วกัน

Black Helicopter , BH หรือ Black Chopper, BC (Chopper นี่ไม่ได้หมายถึงรถมอเตอร์ไซด์นาครับ แต่ชาวอเมริกาจะเรียกเฮลิคอปเตอร์ว่าชอปเปอร์น่ะขะรับ) ก็นับเป็นหนึ่งในยานพาหนะลึกลับ อาวุธยุทธโธปกรณ์หรือเครื่องบินก็พอที่จะเรียกขานกันได้ ที่เคยมีผู้พบเห็นจำนวนหนึ่ง (และเพิ่มมากขึ้น) ในประเทศอเมริกา เป็นยานพาหนะที่มีความลึกลับและไม่ปรากฏที่มา บริษัทผู้สร้างหรือแม้กระทั่งจุดมุ่งหมายและเป้าหมายในการสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์อะไร



ก็เป็นอะไรที่ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด แต่ก็มีข้อมูลอยู่บางส่วนที่บอกพอจะได้บอกได้อย่างเลือนลางว่า BH นั้นมีเป้าหมายปฏิบัติการอะไร และมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังคือใคร ก็ติดตามต่อไปแล้วกันครับรับรองว่าได้อ่านกันแน่ หึ หึ สิ่งหนึ่งที่แปลกเกี่ยวกับ BH ก็คือถึงแม้จะมีผู้พบเห็นมันหลายครั้งในและหลายสถานที่ แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่าเห็นมีการพบเห็นมันอย่างใกล้ชิดในระยะพอที่จะสังเกตมันได้อย่างชัดเจนทุกรายละเอียด หลักฐานหรือภาพถ่ายที่ไม่ชัดเจนและระยะไกลก็แทบจะไม่ช่วยยืนยันในการมีอยู่ของมันซักเท่าไหร่ นอกจากรายงานการพบเห็นจากพยานบุคคลหลายๆ คน ส่วนมากที่มีรายงานการพบเห็นนั้นจะเห็นก็เพียงอากาศยานบินสีดำสนิท ไม่มีปีก ไม่มีล้อที่บินด้วยความเร็วสูง และแทบจะไม่ได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาเลยเวลาบิน แต่บางแหล่งข้อมูลรายงานว่ามันอาจจะเป็นยานพาหนะหรือยานบินที่บังคับระยะไกล ซึ่งเป็นความลับสุดยอดทางเทคโนโลยีทางการทหาร อีกรายงานหนึ่งที่น่าสนใจก็คือเค้ากล่าวเอาไว้ว่า มันเป็นผลผลิตวิจัยร่วมกันระหว่างบริษัทผลิตอาวุธและอากาศยานแห่งหนึ่งกับรัฐบาลสหรัฐ ก็ว่ากันไปครับ
BH นั้นยังคงความลึกลับเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ เรารู้เพียงแต่ว่ามันมีตัวตนอยู่จากการบอกเล่าของพยานหลายคน จากภาพถ่าย และผู้ที่เคยเห็นเหตุการณ์ และบรรยายถึงลักษณะอันล้ำยุคของมัน ดั่งยานอวกาศแบบกระทัดรัดในโลกอนาคตก็ไม่ปาน รวมไปถึงทั้งความเร็วสูงในการบินและลักษณะและรูปร่างรวมถึงความสามารถในการบินของมัน ที่จะว่าไปคล้ายกับจานบินอยู่ แต่บ้างก็ว่ากันว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องบินยุคใหม่ เครื่องบินสอดแนมทางการทหาร หรือกระทั่งเครื่องบินทำพิกัดแผนที่ทางอากาศของทางรัฐบาล



BH นั้นลักษณะของมันจากคำบอกเล่านั้น ทั้งลำเป็นสีดำสนิท ไม่มีตัวเลข ตัวอักษร หรือแม้แต่เครื่องหมายบ่งบอกถึงสังกัดของบริษัทหรือที่มา กระทั่งใบพัดหรือปีก แม้แต่ล้อ จะเห็นเพียง(ตามคำบอกเล่าของผู้เคยพบเห็น) แต่ลำตัวเครื่องเท่านั้น และเวลาบินแทบจะไม่มีเสียงหรือแสงไฟแบบเฮลิคอปเตอร์หรือเครื่องบินทั่วๆ ไป จากกฎหมายทางการบินของสหรัฐอเมริกา เครื่องบินหรือเครื่องร่อนทุกลำจะต้องมีลักษณะเครื่องหมายหรือหมายเลขประจำตัวอยู่ทุกลำ เพื่อให้รู้ว่าเจ้าของหรือเป็นของบริษัทใด มิฉะนั้นจะถือว่ากำลังละเมิดกฎหมายทางความปลอดภัยทางด้านการบินและทางการทหาร ซึ่งจะถือว่ากำลังล่วงล้ำน่านฟ้าของประเทศ และจะไม่อนุญาตให้มีการบินได้ถ้ามีการตรวจพบด้วยวิธีใดก็ตาม เรื่องราวการพบเห็นเหล่านี้ก็เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เป็นพักๆ และรายงานการพบเห็นก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าทางการหน่วยงานทางทหารก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ครับมีบางรายงานที่ว่ามีผู้พบเห็นเจ้า BH เนี่ยบินออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่มีการพบเห็นจานบินบินอยู่ ณ บริเวณนั้น ก็ไม่อาจทราบได้ว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าระหว่าง UFOs กับ BH หรือบางทีอาจจะเป็นเครื่องบินแกะรอย (Tracing Chopper) "บางสิ่ง" หรือ "อะไร" สักอย่างก็เป็นไปได้

เครดิต



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#273
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:54:58

#273 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:54:58 ]





NASA กับดาวอังคาร






"I'll be back" คอหนังเทศคงจะคุ้นหรือว่าเคยได้ยินประโยคมาแล้วนะครับ ใช่แล้วครับ มาจากหนังเรื่อง Terminator ที่พี่บึ้กอาโนลด์แกพูดเอาไว้น่ะครับ เอ จะเอามาใช้กับบทความได้หรือเปล่าหว่า อิ อิ ผมคิดไปพิมพ์ไป หึ หึ ก็หลังจากห่างหายไปนานเลยกับทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ก็ได้ฤกษ์กลับมาอีกครั้งนึง ยัง ยัง ไม่หมดก๊อกครับ แต่ว่ายังจะมีคนคิดถึงและอยากอ่านอยู่อีกมั๊ยเนี่ย ?? คราวนี้ก็กลับมานำเสนอความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ แก่ท่านผู้อ่านอีกครั้งนึง ดูจากที่จั่วหัวไว้ก็คงจะรู้แล้วนะครับว่า เป็นเรื่องของทาง NASA กับ ดาวอังคาร (Mars) อีกแล้ว (ซึ่งตอนต่อไปหรือตอนที่ 10 จะเกี่ยวกับการนำเสนอของยานสำรวจ) เอาน่าๆ อ่านแบบสนุกๆ กันดีกว่า อย่าเพิ่งเบื่อหรือว่าเซ็งกับ Conspiracy Theory กันซะก่อนละ ^O^ คราวนี้หลังจากที่ผมได้ข้อมูลที่น่านำเสนอมาอยู่ในมือหลังจากท่องไปในโลกของ Cyber Space หรือ Internet ที่คุ้นเคยกันมาอยู่ชิ้นนึง ก็เรียกว่าน่าสนใจอยู่เหมือนกัน (หลายๆ คนอาจจะกำลังหมั่นไส้ผม อิอิ ว่าไม่ยอมเข้าเรื่องซะทีนึง)


จะว่าไปการสำรวจกาแล็กซี (Galaxy) ของมนุษยชาติ (จริงๆ แล้วน่าจะบอกว่าเป็นของทางอเมริกาหรือรัสเซียมากฝ่านา) เพื่อหาสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญา (Intelligent Life) นั้น ได้ทำมาก็หลายร้อยปีแล้ว ทั้งข้อมูลข่าวสารที่มีในส่วนที่เรารู้และไม่รู้ของทางองค์กร หรือรัฐบาลต่างๆ ในโลก (แน่นอนว่าย่อมเป็นแค่ชาติมหาอำนาจเท่านั้น) อย่างที่หลายคนหลายท่านอาจจะติดตามข่าวสารการสำรวจพิภพจักรวาลกันอย่างใจจดใจจ่อ แต่มาจนถึงวันนี้ข่าวสารหรือข้อมูลที่มีมาสู่ประชาคมโลกอย่างเราๆ ดูเหมือนแทบจะไม่ค่อยมีอะไรมากไปกว่า รายงานเล็กๆ น้อย หรือภาพถ่ายที่นานๆ จะมีจุดที่ฮือฮากันซักทีนึง คิดๆ แล้วก็แปลกดีนะครับกับการสำรวจที่ลงทุนคราวละเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านดอลลาร์ แต่ได้ผลกลับมาไม่เท่าไหร่ ในแง่ของการนำเสนอสู่ประชาชนนะ

อย่างน้อยก็ชาวโลกอย่างเราเรียกได้ว่าแทบจะไม่รู้หรือมีรายละเอียดที่คุ้มค่าหรือว่าสูสีกับการลงทุนเลย แล้วกับทาง NASA ละ จะคุ้มค่าพอเหรอครับ ? แหม อันนี้อยากรู้จัง ตรงนี้ "ไม่นับก้าวแรก" ของการออกนอกอวกาศ การไปลงบนดวงจันทร์ การส่งยานไปบนดาวอังคาร ถ้าเป็น "ก้าวแรก" ซึ่งเราอาจจะไม่ชำนาญหรือไม่รู้เส้นทาง หรือว่าปัจจัยต่างๆ ในการสำรวจ ก็ไม่น่าแปลกใช่มั๊ยครับที่จะมัวสำรวจหรือว่าเดินอยู่ที่เดิม ก็เหมือนกับการที่เราไปเที่ยวที่ที่นึงแหละ ทีแรกเราอาจจะไม่รู้สถานที่หรือเส้นทางดีนัก ซึ่งอาจจะใช้เวลามากหน่อยในการสำรวจหรือว่าดูอะไรๆ นานหน่อย แต่พอครั้งต่อไป เราย่อมจะ "ชำนาญ" พื้นที่หรือเส้นทาง "มากขึ้น" ใช่มั๊ยครับ แล้วถ้าเราไปที่ที่เราเที่ยวบ่อยๆ เราจะเดินหรือว่าย่ำอยู่ที่เดิมๆ มั๊ย ?? แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่า ณ บริเวณนั้นมี "บางสิ่ง" หรือ "บางอย่าง" ที่น่าสนใจเป็นพิเศษละ อันนี้ก็ไม่แน่เหมือนกันนา
จะว่าไปก็เป็นคำถามที่น่าคิดนะครับ และถ้าคิดในทำนองเดียวที่ว่ากับการสำรวจอวกาศของ NASA นั่นแหละ จะมีอะไรเป็นพิเศษในการสำรวจทุกๆ ครั้งหรือไม่ ? ทาง NASA อาจจะกำลังปิดบังอะไรเราอยู่หรือเปล่า ? อันนี้ผมก็ไม่รู้ครับ เหอ เหอ O_O




มีการตั้งทฤษฎีพิลึกๆ ออกมาจาก Dr.More (เค้าเรียกตัวเองว่ายังงั้น และอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่คนนึงในองค์การ NASA) ซึ่งทาง Dr.More เนี่ยบอกว่าในการส่งดาวเทียม (Satellites) ไปดาวอังคารเนี่ย รายละเอียดการสำรวจส่วนนึงมักจะถูกปกปิดเอาไว้ซึ่งจะรู้ได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้น นึกภาพออกมั๊ยครับ เคยเห็นเอกสารลับของทางรัฐบาลที่ถูกขีดทับด้วยหมึกสีดำมั๊ย ยังไงยังงั้นเลย เค้าดรียกว่าปกปิด (Cover) แน่ะ และก็จะถูก Sensor อีกครั้งโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะชุดนึงก่อนที่จะนำมากรองข่าวสารเพื่อที่จะนำเสนอโดยเจ้าหน้าที่ของ NASA จากนั้นก็จะนำไปแถลงการณ์หรือว่าเสนอข่าวต่อประชาชนอีกที ซึ่ง Dr.More เค้าบอกว่าหลังจากที่แอบสืบอย่างลับๆ อยู่นานจึงพอที่จะได้ข้อมูลบางส่วนของ NASA มาเล่าสู่กันฟังครับ ซึ่งเรื่องที่ Dr.More เล่าเนี่ยตะแกมีเฉพาะข้อมูลและจับประเด็นที่ว่า "ดาวเทียมมักจะถูกทำลายหรือขัดข้อง" ในช่วงที่ทำการสำรวจดาวอังคารอยู่เสมอ ซึ่งจากการส่งยานสำรวจไปหลายลำ Mars Pathfinder, Mars Global Surveyor และอีกหลายๆ ลำ ซึ่งทุกลำครับ เมื่อมีการสำรวจไปไกลเกินกว่าจุด Landing หรือว่าลงจอดไปหน่อย ไม่ใช่ไกลแค่เมตรหรือ 100 เมตรนะครับ เค้าว่าเป็นหลายกิโลเมตรแน่ะ ก็มักจะเกิดการชำรุดหรือว่าขัดข้องขึ้นมาทุกครั้ง แรกๆ ก็ไม่มีใครเอะใจ นึกว่าเกิดขัดข้องทางเทคนิค บรรยากาศของดาวอังคารหรืออะไรก็ว่าไป แต่พอหนักๆ เข้า มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดกันแล้วน่ะซิครับ และเคยเกิดกรณีที่ว่าเคยมีการสูญเสียการติดต่อกับดาวเทียมดวงหนึ่งขณะที่สำรวจดาวอังคารโดยฉับพลัน จนเวลาผ่านไปหลายเดือน จู่ๆ วันหนึ่งก็กลับติดต่อกับดาวเทียมดวงนี้ได้

แต่ทว่าดาวเทียมดวงนี้ได้โคจรออกนอกเส้นทางไปไกลเกินกว่าที่ตั้งโปรแกรมสำรวจไว้ เกิดอะไรขึ้นละครับ ? ในช่วงเวลาหลายเดือนดาวเทียมดวงนี้ได้ไปอยู่ที่ไหนมา ก็เป็นปัญหาของทาง NASA เองก็กำลังขบคิดอยู่เหมือนกัน มาต่อกันที่ Dr.More เค้าว่า NASA อาจจะพบอะไรบางอย่างที่ดาวอังคารที่แปลกหรือไม่ธรรมดาจึงพยายามส่งดาวเทียมไปสำรวจอยู่เสมอ และข้อแน่ใจอีกอย่างว่ามีอะไรผิดปกติก็คือดาวเทียมมักจะขาดการติดต่อสื่อสารทุกครั้งที่เริ่มสำรวจไปได้ระดับหนึ่ง ทำให้คิดกันว่าจะต้องมี "อะไร" หรือ "ใคร" มาทำอย่างนี้แน่ๆ โดยคิดจากความน่าจะเป็นแล้ว ดาวเทียมไม่น่าที่จะเสียหรือเกิดข้อความขัดข้อง ณ จุดหรือตำแหน่งเดิมๆ ได้ทุกครั้งไป ว่ากันมั๊ยครับ ?

เครดิต



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#274
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:56:08

#274 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:56:08 ]





NASA's Satellites


ว่ากันว่า ดาวเทียมของทางนาซ่านั้นเวลากำลังปฏิบัติการณ์สำรวจอาณาบริเวณดาวอังคารอยู่นั้น ก็มักจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือเหตุการณ์เหนือความคาดหมายแก่ตัวดาวเทียมเองทุกทีไปซิน่า แล้วมันอาจจะเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคเองได้มั๊ย ? ก็อาจเป็นได้ครับ แต่ว่าไม่น่าจะ "ทุกลำ" ไป อย่างที่เค้ามีการรายงานกันออกมา อย่างเช่น ล่าสุดที่มีข่าวคราวการสำรวจดาวอังคารโดยยาน Mars Pathfinder ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดเข้าเช่นกันครับ ที่จู่ๆ ก็เกิดขาดการติดต่อกับทางนาซ่าไปซะดื้อๆ อย่างนั้นแหละเมื่อตอนสำรวจดาวอังคารเลยออกไปจากเขตปฏิบัติการณ์



ยาน Mars Pathfinder


แต่ว่าทางวิศวกรของนาซ่าก็บอกครับว่าต้นเหตุความขัดข้องนั้นอาจจะเกิดจากอุณหภูมิของดาวอังคารนั้นเย็นลงก็เป็นได้ เลยทำให้เครื่องจักรหรือฟังก์ชั่นต่างๆ อาจจะรวนๆ ไปบ้าง แต่เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้นครับ เพราะอะไรล่ะ ? ก็เพราะว่าจากยานสำรวจที่ทำงานอยู่ตั้งนานหลายเดือนจู่ๆ จะมาเจ๊งกะบ๊งเพราะอากาศหนาวขึ้นไม่เท่าไหร่เนี่ย มันก็แปลกๆ อยู่นา มันไม่แปลกไปหน่อยเร้อ เอ้า แต่ทางนาซ่าก็ยังไม่ยอมแพ้ครับ ยังพยายามส่งดาวเทียมไปยังดาวอังคารอีก The Mars Global Surveyor เป็นลำต่อไปที่รับหน้าที่มาสำรวจยังดาวแดงนี้


หน้าที่ของดาวเทียมลำนี้ก็คือสำรวจแหล่งน้ำบนดาวอังคารและหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ สำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นกับยาน Mars Pathfinder. !!! แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีกแล้วครับ นั่นคือระหว่างที่กำลังสำรวจนั้นจู่ๆ ยาน The Mars Global Surveyor ก็ขาดการติดต่อกับทางศูนย์ NASA ไปซะเฉยๆ ซะงั้นแหละ หุ หุ หุ ยานลำนี้ (MGS) และลำก่อน (MP) หายไปไหน ?? ไม่มีใครทราบครับ หรือว่าฟรีเซอร์จะทราบ ? หึหึ ก็ยังทิ้งให้เป็นปริศนาของทาง NASA ต่อไป O_O จากนั้นไม่นานครับเหมือนปาฏิหาริย์ที่จู่ๆ ทาง NASA ก็เกิดติดต่อกับยานสำรวจเจ้าปัญหา (MGS) ได้อีกครั้งในเวลาหลายเดือนต่อมา เกิดอะไรขึ้น นี่เป็นคำถามที่น่าปวดหัว(มาก) สำหรับเจ้าหน้าที่องค์การ NASA มันเกิดขึ้นได้ยังไงเนี่ยที่จู่ๆ ก็หายไป และจู่ๆ ก็เกิดกลับมาติดต่อได้อีกครั้งหนึ่ง บ้างก็ว่าว่าอาจจะเกิดปรากฏการณ์แบบเดียวกันกับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็เป็นได้ ?!?!?! น่าสนใจอยู่ครับเหตุผลนี้


ยาน The Mars Global Surveyor


จะว่าไปยานสำรวจหลายๆ ลำที่ส่งไปสำรวจยังดาวอังคาร ทั้งยาน Mars Polar Lander และยาน Mars Climate Orbiter ต่างก็เกิดปรากฏการณ์ในลักษณะนี้มาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ Mars Climate Orbiter นี่แย่หน่อยขาดการติดต่อไปก่อนที่จะถึงดาวอังคารด้วยซ้ำไป แล้วทาง NASA ล่ะว่ายังไงบ้าง ? ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ ตอบง่ายๆ ว่า…….ก็เทคนิคมันอาจจะขัดข้องนี่เลยเป็นยังเงี้ย…… แหม้ ง่ายดีจัง หึ หึ O_O แต่ดูจากๆ รูปการณ์แล้วการเกิดการขัดข้องทางเทคนิคนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ นะครับ ยานอวกาศราคาเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ จะไม่มีการทดสอบอะไรเลยหรือไงเนี่ย บทจะเสียก็ง่ายเหลือเกิน ว่ากันว่าทาง NASA เนี่ย อาจพบอะไรบางอย่าง บางอย่างที่แปลกเอามากๆ เลยบนดาวอังคาร มีข่าวออกมาว่ายาน Mars Pathfinder นั้นได้ถ่ายรูปติดเอาสิ่งๆ นึงมาได้จากการออกไปนอกระยะทางการสำรวจ แล้วก็ถูกเจ้า "สิ่งนั้น" ที่ว่านั้นแหละทำลายเอา นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนี่งละครับที่ส่งเจ้ายาน Mars Global Surveyor ไปสำรวจ ประเด็นหนึ่งก็คือจะตรวจสอบเจ้าสิ่งที่ทำลาย Mars Pathfinder ไปด้วยว่าเป็นอะไรกันแน่
มีคนตั้งความเห็นเอาไว้ว่างี้ครับ

1. ยานสำรวจนั้นถูกทำลายทิ้งไปโดยมนุษย์ต่างดาว สาเหตุก็คงจะมาจากไปบุกรุกเอายังดวงดาวหรือไม่ก็อาณาเขตของเขา ไม่ก็ไปเจอความลับอะไรซักอย่างนึงเข้าละครับ
2. ยานเหล่านั้นถูกทำลายจากองค์กรหนึ่งในโลกเรานี่เอง แหมฟังดูแปลกดีนะครับ เป็นการจงใจทำลายเพราะว่าอาจจะไปค้นพบความลับของเค้าเข้า แล้วความลับอะไรละ ?
ว่ากันว่าอาจจะเป็นเพราะว่าที่ดาวอังคารนั้นอาจจะมีฐานทัพหรือไม่ก็อาณานิคมอะไรซักอย่างหนึ่ง ที่กำลังทำการศึกษาวิจัยและติดต่อเกี่ยวกับการค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาในจักรวาลที่นอกเหนือจากมนุษย์อย่างลับๆ ซึ่งพอดาวเทียมสำรวจจะมาก็เลยทำลายทิ้งซะ ไม่เว้นว่าเป็นของ NASA เองก็ตาม
หรือไม่ก็ว่ากันว่าทาง NASA ไปบนเจออุปกรณ์และเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกทำลาย ซึ่งสาเหตุทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นยังไง เราก็ไม่อาจจะรู้ได้

เครดิต/ http://www.mythland.org/v3/thread-37-1-1.html


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-02 09:56:18


เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#275
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:57:16

#275 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:57:16 ]





มนุษย์สี่ขา_ไม่เกี่ยวกับ เซนทอร์


เมื่อต้นปี 2005 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสิ่งแปลกประหลาด นั่นคือครอบครัวที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน มันแปลกซะจนเรื่องนี้ถูกปิดเป็นความลับ เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เหมือนกับเรา ทำสิ่งที่เราไม่ทำกัน และครอบครัวนี้ก็ก่อให้เกิดข้อคิดมากมาย บางคนคิดว่าเขาคือกุญแจไปสู่การค้นพบ ครั้งสำคัญของพันธุกรรมมนุษย์ มี DNA กว่า 10,000 แห่ง ที่มีการผ่าเหล่าครับ หลายคนก็เชื่อว่านี่คือข้อพิสูจน์ของการผ่าเหล่า แต่บางคนก็ไม่เชื่อว่า ยีนที่มีการผ่าเหล่าไปแล้วเมื่อ 4 ล้านปีก่อน จะกลับคืนมา แต่ทุกคนลงความเห็นว่า นี่เป็นการเปิดประเด็นเรื่องการกลายเป็นมนุษย์

ในเดือน มิถุนายน 2005 รายงานซึ่งไม่ได้รับการตีพิมพ์ ของนักวิทยาศาสตร์ชาวตุรกี รายงานพูดถึงครอบครัวในชนบทของชาวตุรกี ที่มือมาแทนเท้า เป็น 4 ขา ก็คือ เดินเหมือนสัตว์สี่ขา ครับ แน่นอนเมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ก็คงจะไม่ปล่อยไปเฉย ๆ หละครับ

โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ไม่เคยเจอเรื่องนี้มาก่อน ผู้เขียนรายงานจากตุรกีนี้ มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เขากล่าวว่า เขาคิดว่าพวกเขามียีนที่ล้าหลัง แม้ในปัจจุบันก็อาจมียีนในยุคโบราณปรากฏเหมือนมนุษย์ในยุคอดีตได้ ทำให้เรื่องนี้ก็เหมือนกับค้นพบทางมานุษยวิทยาของศตวรรษนี้ก็ว่าได้ครับ แต่การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นครับ เนื่องจากมีข้อพิพาทในตุรกี เพราะตุรกีมีการนับถือศาสนา ซึ่งไม่เชื่อเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษย์ แม้ในโรงเรียนจะสอนทฤษฏีชองชาลล์ ดาร์วิน เรื่องการกำเนิดของมนุษย์ แต่ที่นี่พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งวิเศษที่พระเจ้าสร้างขึ้น ให้แตกต่างจากสัตว์สี่ขา

แม้ทุกวันนี้ทุกคนไม่มีใครกล้าแตะเรื่องทฤษฏีการวิวัฒนาการ แม้ว่าจะอ้างเพียงใด มนุษย์ก็ยังเชื่อว่ามนุษย์เกิดจาก อดัม และอีฟ ไม่ใช่คิงคองหรือลิงครับ มนุษย์ที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก มักมองข้ามเรื่องฟอสซิลของมนุษย์ยุคโบราณ

เรชิดอุราส มีลูก 19 คน ลูก 12 คนเกิดมาปกติ อีก 7 คนไม่ปกติ เหลือเพียง 6 คน เป็นผู้หญิงสี่คน ชาย หนึ่งคน คือ ฮูเซน เขาเดินมา 28 ปีแล้ว น้องสาว เขาเดิน สี่ขาได้เป็นกิโล จนทำให้ผิวหนังบนฝ่ามือของพวกเขาหนาเหมือนฝ่าเท้า

นักจิตวิทยาคนหนึ่งให้ความเห็นว่าลูกมากเกินไปทำให้มีลักษณะแบบนี้ อย่างที่สอง พ่อ-แม่เป็นญาติกัน และสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ คือ มียีนที่ผิดปกติส่งผ่าน พ่อและแม่ไปยังพวกเขา แล้วยีนที่ผิดปกตินี้มีผลอย่างไร ทำให้เดินสี่ขาจริงหรือ หรือมีความผิดปกติทางสมอง



พวกเขามีอายุระหว่าง 18-34 ปี

ศาสตราจารย์ ธาน เชื่อว่า พวกเขามียีนที่ล้าหลัง คือพวกเขาเดินสี่ขาเหมือนสัตว์และบรรพบุรุษของพวกเราก็คือสัตว์ เขาบอกต่อไปว่า พวกเขามีปัญหาเรื่องการพูดการใช้มือที่เหมือน ชิมแพนซี ท่าทางที่พี่น้องเหล่านี้เดิน บ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของสมอง

นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษและตุรกี จึงนำพวกเขาส่งโรงพยาบาล เพื่อเช็คสมอง การตรวจนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเจาะจงลงไปได้ว่า ทำไมพวกเขาเกิดมาเป็นอย่างนี้ และบางทีอาจมีวิธีรักษาให้พวกเขาได้

ศาสตราจารย์ นิโคลัส ได้แสกน MRI ให้พวกเขา โดยมี โรเจอร์ คีน นักประสาทวิทยา ก็สนใจเรื่องนี้เช่นกัน

ผลบอกว่า สมองของทั้งสามส่วน ก้านสมองส่วนหลัก ตรงหลังก้านสมองเป็นส่วนที่เรียกว่า ซีรีเบลลัม เป็นสมองส่วนเล็ก ๆ มีอะไรบางอย่างตรงกลางของซีรีเบลลัม เรียกว่า เบอร์มิส ซึ่งมันเล็กกว่าปกติ

ซีรีเบลลัม นี้เป็นส่วนที่อยู่คู่วิวัฒนาการมนุษย์มานานมากครับ ปลาก็มี มันช่วยในการทรงตัว และไม่ให้ตะแคงคว่ำเวลาว่ายน้ำ คนเรามีซีรีเบลลัมแต่ใหญ่กว่า อยู่เชื่อมกับสมอง และช่วยในการทรงตรงให้เราเดินได้ตรง รวมทั้งเคลื่อนไหว ให้เป็นไปอย่างปกติอีกด้วยครับ จากผลที่พอจะเป็นไปได้ แต่แล้ว ก่อนหน้านั้นมีนักวิทยาศาสตร์รายงานว่า มีชายคนหนึ่ง แพทย์ถึงกับตะลึงไปตาม ๆ กันเมื่อพบว่า ชายผู้นี้ไม่มี ซีรีเบลลัม แต่ยังคงเดินได้ ทำให้สันนิฐานว่า ถ้าซีรีเบลลัมถูกทำลายก็อาจทำให้พวกเขายังพอที่จะเดินสองขาได้ครับ

จนเกิดคำถามต่อมาว่าเนื้อสมองเกี่ยวกับการทรงตัวของพวกเขาขาดหายไป แต่ก็ยังคนอื่นที่มีอาการนี้ กลับไม่เดินสี่ขาอย่างพวกเขา

ศาสตราจารย์ นิโคลัส ไปตุรกีเพื่อค้นหา สาเหตุอื่น เขาเชื่อว่า อาจไม่ได้อยู่ที่ยีน แต่คงเป็นการดำรงชีวิตในที่แห่งนี้

ทางด้านศาสตราจารย์ สเตฟาน มุลโอส และทีมงาน ได้วิเคราะห์ ยีน ได้คิดว่า การผ่าเหล่าของครอบครัวนี้ มาจากการที่ไม่มียีนสำหรับเดินสองขา จึงทำให้ยีนยุคโบราณปรากฏออกมา นอกจากนั้น เขายังพบ DNA ตรงจุดที่กลายพันธุ์ และพวกเขาเชื่อว่า ไม่ใช่ยีนที่เกิดจากสมองที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น อาจเป็นสาเหตุอื่น ทีมนักวิจัยลงความเห็นว่าเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ แต่บางคนก็แย้งว่า นี่อาจเป็นยีนตัวใหม่ที่ส่งผลให้ ซีรีเบลลัมไม่สมบูรณ์ แต่ผลการวิจัยกลับบอกว่า กูลิน พี่น้องของพวกเขา ก็มียีนที่กลายพันธุ์เหมือนกับ ฮูเซน และคนอื่น ๆ ที่เดินสี่ขา กลับเดินได้ปกติ

เรื่องที่น่าจะพอเป็นไปได้ สำหรับผมนะครับ ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นไปได้ยากที่การกลายพันธุ์แค่ครั้งเดียวจะทำให้ได้ถึงขนาดนี้ได้อย่างไร ที่ทำให้คนเราเดินสองขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ


การพัฒนาการ

ศาสตราจารย์นิโคลัสไม่เห็นด้วยเขาว่า การเดินสองขานั้นเป็นพัฒนาการ คือเราก็เคยเดินสี่ขามาก่อน แล้วค่อย ๆ พัฒนาการมาเดินสองขา

อย่าง สเตฟานที่บอกว่ามียีนที่กลายพันธุ์ อาจถูกครึ่งหนึ่ง พวกเขาเดินสี่ขาได้อย่างสบาย ๆ ก็คงมียีนการทรงตัวในแบบบรรพบุรุษเท่านั้นแหละครับ

ทฤษฏีของดาร์วิน ไม่เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศรวมทั้งในตุรกีด้วย

การเดินสองขา บ่งบอกความเป็นมนุษย์ การเดินสองขา นั้น มีก่อนที่เราจะมีสมองที่ใหญ่ขึ้น ก่อนคนจะรู้จักสร้างเครื่องมือ หรือแม้กระทั่งก่อนจะมีภาษาด้วยซ้ำไป

สิ่งที่ ฮูเซน และพี่น้องของเขาเป็น เปรียบเทียบกับพี่น้องคนอื่นที่ปกติ ทำให้มีโอกาสที่จะทราบได้ว่า การเดินสี่ขานั้นมีผลต่อการโครงสร้างของพวกเขาอย่างไร ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องฟอสซิลนำมาศึกษาเรื่องโครงกระดูกมนุษย์ และอาจทำให้เราเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เกี่ยวกับการวิวัฒนาการ รวมถึง ความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์ด้วยครับ


ที่มหาวิทยาลัย ลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูล พวกเขาค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ลักษณะการเดินของฮูเซน คล้ายกับลิง ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเดินบนพื้นดิน แต่เหมาะสำหรับการห้อยโหนต้นไม้มากกว่า และไม่มีเพียงเท่านี้ ฮุเซนมีแขนที่ยาวกว่าปกติ และเขาสามารถเยียดขาเดิน ซึ่งง่ายกว่าเรามากนัก และเมื่อพฤติกรรมในช่วงวัยเด็ก ของพวกเขา เมื่อพวกเขาเป็นเด็ก พวกเขาคลานโดยใช้เข่าและมือ เมื่ออายุ 10 เดือน พวกเขาเริ่มคลานโดยใช้มือและเท้า ซึ่งเป็นท่าเดินคล้ายหมี และก็มีเด็กหลายคนที่เดินแบบนี้ครับ

และคำตอบของ ศาสตราจารย์ นิโคลัส เริ่มแน่ใจว่า นี่เป็น วิถีการดำรงชีวิตของชาวบ้าน ซ้ำยังทำให้บางคนที่มีปัญหาเรื่องการทรงตัวตั้งแต่ตอนแรกนั้น ทำให้โครงสร้างของพวกเขาผิดปกติ รวมไปถึง แม่ของเขาคลอดลูกในเวลาใกล้เคียงกันเกินไป คือ ลูก 7 คนในเวลา 5 ปี และ 4 ตนกลายเป็นคนเดินสี่ขา

และทฤษฏีของศาสตราจารย์ นิโคลัสเป็นไปได้ทีเดียว ถ้าเป็นเรื่องสภาพแวดล้อมก็อาจทำให้พวกเขาเลิกเป็นได้ ดร. อาลี นักกายภาพบำบัด มาตรวจพวกเขา แต่ ดร. อาลี ไม่หวังว่า พวกเขาจะรักษาได้เลย เพราะสายเกิดแก้ โดยเฉพาะ ฮูเซน จะไม่สามารถยืนสองขาได้เลย แต่ผู้เป็นน้องได้รับการรักษา อาจจะพอมีหวัง ดร. อาลี ใช้ราวช่วยเดิน ทำให้หนทางที่จะทำให้พวกเขาเดินได้ปกติก็พอมีหนทางมากขึ้น

ทุกวันนี้เราคิดว่า น้อยมากที่ พฤติกรรมของเราเมื่อตอนเป็นเด็ก หรือตอนโต มีผลมาจากยีน ยีนอาจจะมีส่วนบ้าง แต่สิ่งที่เราเป็นก็คือวิวัฒนธรรมและวิถีชีวิตครับ

เฮเซอร์คนน้อง เธออยากเดินมาก กับการใช้ราวช่วยเดิม และพวกเขาต้องใช้ฝึกอยู่ทุกวัน แต่ ฮูเซนหมดหวัง กับการเดินสองขา ความขับข้องใจ ของเขากลายเป็นความโมโห แต่สิ่งที่พอจะช่วยให้เขาสบายได้ ก็คือ สุนัขที่เขาเลี้ยงไว้

ซาวิเย่ พี่คนโต แม้จะแข็งแรงแต่จิตใจเปราะบาง เธอมักชอบอยู่คนเดียว ปลีกตัวห่างจากครอบครัว

โครงสร้างการวิวัฒนาการของมนุษย์นี้ ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปตามสรีระของมนุษย์ อีกทั้ง สภาพแวดล้อมที่โลกยังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ โครงสร้างของมนุษย์นับวันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวการณ์นั้น ๆ นี่แหละน้า คือการเอาชีวิตรอดของสิ่งมีชีวิต

เครดิต http://www.mythland.org/v3/thread-36-1-1.html


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-02 09:57:37


เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#276
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:58:42

#276 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:58:42 ]





แปลงชายเป็นหญิงได้หรือ


เรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ สำหรับ ผู้ที่พยายามจะฝ่าฝืน การเปลี่ยนแปลงที่ก่อกำเนิดของมนุษย์ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านั้น จากการเลี้ยงดู แบบที่ผมกำลังจะกล่าวถึง

เมื่อ 22 สิงหาคม 1965 ในประเทศ แคนาดา เป็นเวลาที่ เจเนท ไรเมอร์ กำลังสุขสมหวังที่สุด เจเนท เธอได้ให้กำเนิดแฝด เด็กชาย บรุส กับ ไบรอัล ดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดีครับ จนกระทั่ง เด็กน้อยต้องเข้ารับการขลิบอวัยวะเพศตามปกติ เมื่ออายุได้ 7 เดือน ในวันที่ 27 เมษายน ปี 1966 บรุส เข้ารับการผ่าตัดก่อนไบรอัล พี่ชาย เรื่องราวเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป จากอุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด มันเผา ทำลาย องคชาติ ของบรุส จนหมดสิ้นน่ากลัวจริง ๆ ที่น้องน้อยหายไปคิดแล้วสยองครับ มันไหม้หมดจนถึงขา


เด็กทั้งสองและคุณแม่


เจเนท กับ รอน สองสามีภรรยา ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ในตอนนั้น ศัลยกรรม พลาสติกยังไม่ก้าวหน้าพอ จนกระทั่งโรงพยาบาลจอห์นฮอบกิ้น ในบัลติมอร์ ประกาศว่าได้เปิดคลินิก แปลงเพศอย่างเปิดเผยแล้ว และครอบครัวก็พบ เรื่องนี้ในโทรทัศน์ มันทำให้พวกเขามีความหวังขึ้นมาบ้าง ดร.จอห์น มันนี จากนิวซีแลนด์ เป็นผู้บุกเบิก ทฤษฏีของเขา ค่อนข้างรุนแรงในแง่ของ คนที่อยู่อย่างสิ้นหวัง ครอบครัว ไรเมอร์ เริ่มเห็นทางออก เจเนทจึงเขียนจดหมายถึง ดร. มันนี และเขาก็ตอบรับทันทีครับ ใครจะพลาด

ดร. มันนี่ บอกว่า จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนลูกชายเป็นลูกสาว มันเป็นไปตามทฤษฏีนะครับ ที่ ดร. มันนี่ ได้คิดค้นทฤษฏีใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติ กับ เด็กแฝดคู่นี้ ทำให้เขาเกิดแนวคิดตั้งคำถามว่า อะไรที่ทำให้เราคิดว่าเราเป็นหญิงหรือชาย เขาคิดว่ายีนมีส่วนหนึ่งในการกำหนดเพศ แต่เด็กทารกจะมีความเป็นกลางในช่วง 2 ปีแรก และในช่วงเวลา 2 ปีนี้ การเลี้ยงดูและวิธีการเลี้ยงดู จะกำหนดให้เขารู้สึกว่าเป็นหญิงหรือชายได้

แต่เด็กสองเพศไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป พวกเขาได้รับ ฮอร์โมนที่แตกต่างตั้งแต่ในครรภ์ ดังนั้น บางคนจึงค้านว่า สมมติฐานของ ดร.มันนี่ อาจใช้ไม่ได้กับทุกคน และเพื่อพิสูจน์ว่าการเลี้ยงดูสำคัญกว่าธรรมชาติ มันทำให้เขาต้องทำการทดลองที่ไม่ธรรมดานี้ครับ โดย ดร. มันนี ต้องการเด็กปกติสองคน คนหนึ่งให้ถูกเลี้ยงดูแบบผู้หญิง ที่อีกคนหนึ่งเลี้ยงดูแบบเด็กผู้ชาย เอาเข้าไป
ศาสตราจารย์ ริชาร์ท กรีน เป็นลูกศิษย์ ของ ดร. มันนี เขากล่าวว่า เด็กคู่แฝดนี้ คนหนึ่งได้สูญเสียองค์ประกอบสำคัญ ที่บ่งบอกว่าเราเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิง นั่นคือ องค์ชาด ไปแล้วนั่นเองครับ

และในวันที่ 3 กรกฎาคม 1967 เมื่อ บรุส ไรเมอร์ 2 ขวบ สูญเสียอัญฑะ เขาก็ไม่สามารถผลิตฮอร์โมน เพศชายได้ ศัลยแพทย์ จึงสร้างช่องคลอดเทียมให้เขา ในตอนนั้นเป็นที่น่าเชื่อง่า เขากลายเป็นลูกสาวได้ ตามคำแนะนำของ ดร.มันนี่ และพวกเขาต้องเปลี่ยนชื่อ บรุสเป็นเบลนด้า และแต่งตัวแบบเด็กผู้หญิง ดร. มันนี่ ต้องบอกข้อห้าม ที่สำคัญกับ ครอบครัวว่า ถ้าพวกเขาเปิดเผยความจริงต่อลูกสาว แผนการเปลี่ยนเพศก็จะล้มเหลว


เบลนด้า ไรเมอร์


และแล้วเบลนด้า ก็เติบโตมาเป็นเด็กหญิงที่น่ารัก เจเนท แม่ของเขาก็รายงานความก้าวหน้าแก่ ดร.มันนี่ อยู่บ่อย ๆ อีกทั้งแฝดคู่นี้ต้องไปพบนักจิตวิทยาปีละครั้ง เพื่อทดสอบ ทุกอย่างเป็นได้ด้วยดีครับ เบลนด้า นึกว่าตนเป็นหญิง ส่วนไบรอัล ก็ถูกเลี้ยงในแบบผู้ชาย ซึ่งไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ

ในปี 1972 เมื่อ เบลนด้า อายุ 7 ขวบ ดร. มันนี่ ตัดสินใจประกาศให้โลกรู้ถึงผลสำเร็จว่า เด็กผู้ชายที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม สามารถกลายเป็นเด็กผู้หญิงได้ พฤติกรรมของเบลนด้า ก็แตกต่างจากแฝดผู้พี่อย่างเห็นได้ชัด จนทำให้หนังสือของ ดร. มันนี่ ที่ชื่อว่า ผู้ชายและเด็กผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กผู้หญิง เป็นที่วิจารณ์ทั่วโลก
การวิจารณ์นี้บางคนก็ค้านว่า ดร.มันนี่ เผยแพร่ ผลที่เป็น บวก เพื่อทำให้เหมือนกว่า ทฤษฏีของเขาถูกต้อง บาง คนก็ไม่เห็นด้วย ว่า เป็นเพียง การสัมภาษณ์และการอ้างอิงของเขาเท่านั้นเองครับ ซึ่งในตอนนั้น ดูเหมือนจะถูกต้องครับ

แนวความคิดของ ดร. มันนี่ เป็นที่รู้จักว่า นี่เป็นทฤษฏีความเป็นกลางของเพศ ดูเหมือนเป็นบุคลิกลักษณะของเพศ ว่า การเลี้ยงดูสำคัญมากกว่าธรรมชาติ
แล้วมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นแม้ครอบครัวนี้จะยังไม่ทราบถึงทฤษฏีที่ ดร.ประกาศออกไปแล้วก็ตามที ชีวิตครอบครัว ไรเมอร์นี้กลับแตกต่างไป พฤติกรรมของเบลนด้า กลับกลายเป็นเด็กผู้ชายอย่างเห็นได้ชัดครับ เนื่องจากไบรอัล พี่ชายในบางครั้งเขาก็ให้ของเล่นแก่น้องสาว ทางด้านเธอก็กลับดีใจ และทั้งสองก็เล่นด้วยกัน ซึ่งเป็นผลที่แน่ชัดว่าพฤติกรรมตามที่ ดร.มันนี่ กล่าวนั้นผิดไป

อย่างไรก็ตาม บันทึกต้น ฉบับของ ดร.มันนี่ แสดงให้เห็นว่า ช่วงต้นยุค 70 ก่อนที่จะเผยแพร่ความสำเร็จของ เบลนด้า เขาก็รู้ว่าอาจมีปัญหา จากการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย เบลนด้า เธอมีพฤติกรรม การเตะต่อยเหมือนเด็กผู้ชาย ครับ บางครั้งก็ทำร้ายคนตามประสาเด็กชายด้วยกัน พฤติกรรมนี้มันเป็นสัญชาติญาณล้วน ๆ ครับ

ส่วนตามทฤษฏีของ ดร.มันนี่ เด็กผู้ชายที่ถูกเลี้ยงให้เป็นเด็กผู้หญิงได้นั้น เบลนด้าต้องเชื่อว่าเธอเป็นผู้หญิง และต้องให้เธอยอมรับเพศหญิงนี้ครับ ดร. มันนี่ เริ่มที่จะถามเป็นเรื่อส่วนตัวมากขึ้น อ้าวกับเด็กนี่นะรึ ใช่ครับ ! โดยเขาการเน้นไปที่ความแตกต่างระหว่างอวัยวะเพศหญิงและชาย และถามคำถามที่เป็นส่วนตัว แต่เธอกลับไม่ดีขึ้นซ้ำร้ายกลับรู้สึกรังเกียจ วิธีการของดร. มันนี่ ไปเลย ก็ดีแล้วครับเป็นใครก็ไม่ชอบ

เมื่อเบลนด้า ยังคงต่อต้านเพศหญิงของตน ดร. มันนี่ ยังไม่ยอมแพ้ครับ แผนชั่วขึ้นสมอง เขาจำต้องใช้วิธีการขั้นเด็ดขาด โดยใช้วิธี ทำให้ช่องคลอดของเธอเหมือนอวัยวะเพศหญิงตามปกติ ดังนั้นเขาจึงชักชวน ให้เธอผ่าตัดทำช่องคลอดทันที แล้วเธอหละ ยังไงเธอก็ไม่ยอมครับ ดีแล้วครับ ทำให้เธอ ดร. ขี้อวดนี้มากครับ

ในชีวิตที่น่าเศร้าของเธอ เบลนด้า โตมาเกือบไม่มีเพื่อนเลย เด็กผุ้หญิงไม่อยากเล่นกับเธอ เพราะเธอชอบเล่นแบบเด็กผู้ชายก็คือ รุนแรงนั่นแหละครับ ส่วนเด็กผู้ชายก็ไม่ชอบให้เด็กผู้หญิงมายุ่งด้วย ซ้ำร้าย เด็กที่โรงเรียนกลับแกล้งเธอ อีกอ้าว ทำให้เบลนด้า มีทุกข์มากครับ จนทำให้เธอคิดว่า เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่นิสัยไม่ดี รวมถึงแม่เธอด้วย

แผนการชั่วร้ายของ ดร.มันนี่ยังคงดำเนินต่อไป แต่ เบลนด้า ยังคงปฏิเสธการผ่าตัด และเธอเริ่มดูเป็นผู้ชายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 1978 ปีที่ต้องผ่าตัด เมื่อเบลนด้า อายุ เกือบ 13 ปี ดร. มันนี่ พยายามชักจูงให้เขาทำการผ่าตัด เขาขอความช่วยเหลือจากชายแปลงเพศ มาพูดกับเธอ และทำให้เธอพบว่า การผ่าตัดมันไม่ได้เลวร้ายอะไร และคนที่ผ่าตัดแล้ว ก็ดูมีความสุขดี แต่แล้ว วิธีการของ ดร. มันนี่ กลับให้ผลตรงกันข้ามครับ เบลนด้า ตัดสินใจบอกพ่อแม่ของเธอว่า เธอจะฆ่าตัวตาย ถ้าต้องพบกับ ดร. มันนี่อีก เยี่ยมครับ ชีวิตข้าใครอย่าแตะ

จนกระทั่งเหตุการณ์ส่อแววไม่ค่อยดี พ่อแม่ของเบลนด้า ตัดสินใจบอกความจริง กับเธอที่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย เมื่อ อายุ 13 ปี รอน พ่อของเธอ พาเธอไปกินไอศกรีม แล้วตัดสินใจบอกเธอว่าเธอเป็นใคร และในเวลาเดียวกัน เจเนท ก็บอกกับ ไบรอัล ฝาแฝดของเธอได้รับรู้ไว้ด้วยครับ

ในครั้งแรกที่เธอได้รู้ ในตอนแรกเธอสับสนมากครับ แต่ ในเวลาต่อมา เธอก็กลับมีความสุข จนเธอพูดว่า เธออยากเป็นผู้ชาย และเขาเลือกที่จะเรียกตนว่า เดวิด ยินดีด้วย เป็นผู้ชายแล้วครับ
เมื่อ เบลนด้า กลายเป็น เดวิด เขากลับอ่อนโยนมากมีชีวิตชีวา กับมรสุมชีวิตที่ผ่านไป ในช่วงเวลานี้เอง ที่เดวิดเริ่มมีเพื่อน และต่อมา เดวิด เขาตัดสินใจทำศัลกรรม โดย สร้างองค์ชาดใหม่ เนื่องจากเขาถูกตอนตอนเด็ก แต่เดวิด ไม่สามารถมีลูกเองได้ จนกระทั่งภรรยาของ ไบรอัล เธอแนะนำเดวิด ให้รู้จักกับเจน เธอเลี้ยงลูกสามคน และทั้งสองคบหากัน และในวันที่ 22 กันยายน ปี 1990 เดวิด แต่งงานกับ เจน ในที่สุด เดวิดก็มีชีวิตที่ปกติ เสียทีครับดีแล้วครับ


เดวิด ไรเมอร์


แต่เรื่องไม่จบเท่านั้นยังมีสิ่งหนึ่งในชีวิตของเดวิดที่ยังไม่ลงตัว นั่นก็คือความสำพันธุ์ กับพี่ฝาแฝด ไบรอัล พวกเขาเข้ากันได้ยาก สำหรับ ไบรอัล นี่เป็นสุขภาพจิตบกพร่อง ซึ่งนำไปสู่โรคจิตเพศ
แล้วบางสิ่งก็เกิดขึ้นอย่างเลวร้ายเกิดอีกแล้วครับ ดร.มันนี่ ยังคงตีพิมพ์ความสำเร็จของเขา และยังยืนยันว่า สามารถเลี้ยงเด็กผู้ชายให้เป็นเด็กผู้หญิงได้ และข่าวนั้นก็เข้าถึงหู เดวิด ทำให้เขา ตกใจมากครับ เขารังเกียจ และโกรธ ในเมื่อที่ได้ยินเรื่องนี้ เพราะมันไม่จริงเลยสักนิดเดียว แน่นอนครับ

คราวนี้ เดวิด เอาคืนบ้างครับ โดยชักชวน ไบรอัล ให้เปิดเผยแก่สาธารณชน และพูดถึงประสบการณ์ที่ขมขื่น “จากการที่เขาทำลายชีวิตเรา และเราไม่อาจให้เขาทำลายชีวิตของเราได้อีกแล้ว....”


ไบรอัล ไรเมอร์


แต่เรื่องไม่ดีขึ้น เมื่อสารคดีของพวกเขาออกอากาศ สุขภาพจิตของไบรอัล เริ่มถดถอย และในวันที่ 1 กรกฎาคม 2002 มีคนพบศพไบรอัลที่ แฟลท ของเขา ไม่แน่ชัดว่า เขากินยาเกินขนาดโดยไม่ตั้งใจ หรือเป็นการฆ่าตัวตาย การตายของ ไบรอัล กระทบชีวิตของ เดวิด เขาเริ่มคิดมาก และเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นกับเขา อย่างแรกเขาเสียใจมากที่พี่ชายตาย ต่อมา ก็ลงทุนล้มเหลว หุ้นส่วนเชิดเงินหนีไป เขาหางานทำไม่ได้ ในที่สุดปัญหานี้ ก็กระทบต่อชีวิตสมรส จนต้องแยกกันอยู่กับเจน จนกระทั่ง

วันที่ 4 พฤษภาคม ปี 2004 เดวิด ไรเมอร์ ในวัย 38 ขับรถมาจอดหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ขณะนั่งในรถเขาหยิบปืนขึ้นยิงจ่อศีรษะ แล้วเหนี่ยวไก

ปัง !

หลังจาก เดวิดตายมีการโจษจันไปทั่ว แม้ว่า ดร. มันนี่ จะไม่ใช่สาเหตุการตายของเขา แต่ครอบครัวว่า ดร.มันนี่ มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ เพราะเขายืนกราน เชื่อมั่นในทฤษฏี ของตน เขารู้สึกว่า เขาทำร้ายจิตใจของพวกเขาในวัยเด็ก ซึ่งนำไปสู่การฆ่าตัวตายเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ในที่สุดครับ

ธรรมชาติโดยเฉพาะในเรื่องของเพศ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปด้วยการเลี้ยงดู นี่คือ อุทาหรณ์ กับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อวิทยาศาสตร์ ถูกสร้างอย่างสวยหรู โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของมนุษย์ ผลที่ตามมา กลับเลวร้ายยิ่งน่าเศร้านัก



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#277
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 09:59:08

#277 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 09:59:08 ]





สาวสองปาก


ผีตนนี้เป็นคนธรรมดาแต่กลับมีปากอีกอันซ่อนอยู่หลังศีรษะภายใต้การปิดบังจากเส้นผมของเธอเอง ผีตนนี้มีความคล้ายกับโระคุโระคุบิที่เป็นผีทั้งๆที่เป็นคนธรรมดาและเจ้าตัวมักจะไม่ทราบได้เลยว่าตนเองเป็นผีสองปาก เพราะมันจะเผยออกมาในเวลาที่เธอไม่รู้ตัว บางทีจะเป็นตัวที่นอนอย่างสนิทแล้ว และมันจะโผล่ออกมาจากผมและผมนั้นเปลี่ยนสภาพเสมือนเป็นมือแทนและจะยาวขึ้นเลื่อนๆจนกลายจะเจอกับอาหารอย่างเช่นอาหารที่ถูกเก็บไว้ในตู้หรือวางไว้ในห้องครัว
สาวสองปาก มีความเชื่อว่า คนที่จะเป็นผีตนนี้ต้องเป็นคนที่เคยทำบาปอย่างมหันต์ เลยมีเรื่องเล่าถึงผีตนนี้ว่า...
มีหญิงคนหนึ่งแต่งเข้าบ้านที่สามีตนเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว แต่ภรรยาคนก่อนเสียชีวิต และสามีกลับมีลูกติดมาอายุได้ 2-3 ขวบ กำลังน่ารักน่าชัง แต่หญิงสาวกลับมีนิสัยไม่เหมาะกับน่าตา ด้ยใบหน้าที่สวยงามและนิสัยกลับใจจืดใจดำอำมหิต ด้วยสามีเป็นพ่อค้ามักต้องเดินทางไปค้าขายนานๆทีจะได้กลับมาบ้าน เธอก็อยู่เพียงกับคนใช้และลูกของสามี พอเธออยู่โดยปราศจากสามี เธอก็ทำอะไรได้ตามใจ เธอเกลียดลูกของภรรยาเก่า เธอจึงทำการห้ามคนใช้ไม่ให้อาหารลูกของภรรยาเก่า แม้แต่เด็กกำลังจะเรียกร้ิองเพียงแค่น้ำนมบรรเทาความหิวโหย เธอก็ไม่สนใจ เพราะใช้คติว่า "ไม่ใช่ลูกฉันสักหน่วยจะสนมันทำไม" เด็กน้อยที่น่าสงสารอดข้าวอดน้ำอดนมที่เป็นอาหารที่สำคัญจนทนต่อไปในโลกใบนี้ไม่ไหว วิญญาณที่หิวกระหายจึงเข้าสิงร่างของหญิงสาวผู้เป็นแม่เลี้ยง เธอก็ตกใจเมื่อเธอน้ำหนักมากขึ้นทุกทีทุกที เธอก็ประหลาดที่อาหารที่เธอชอบและคิดจะเก็บไว้กินในตอนอื่นกลับหายไปโดยไว้ล่ิองลอย และเธอจากสาวสวยกลายเป็นหญิงที่เริ่มอ้วน เธอประหลาดที่เธออายุยังไม่มากแต่กลับน้ำหนักมากขึ้นโดยไม่น่าเชื่อ เธอจึงพยายามหาสาเหตุจนอยู่มาวันหนึ่ง เธอเริ่มเห็นความผิดปกติ จึงให้คนใช้มานอนเป็นเพื่อนเธอ แต่แล้วคนใช้ก็ได้ยินเสียงของการเคี้ยวอย่างตระกะและกลิ่นของอาหารที่อยู่ไม่ห่างจากเธอ เธอตื่นขึ้นมาปากที่กำลังเคี้ยวภายใต้เส้นผมที่มักอาหารไว้กำลังถูกส่งเข้าปากนั้น เธอตกใจกรี๊ดกับภาพที่เห็น หญิืงผู้เป็นนายตื่นก็รู้ว่าตนเองเป็นผีสองปากไปแล้ว เธอรับไม่ได้เธอกลับตัวอยู่แต่ในห้องของเธอและเธอต้องทนกับการที่ปากที่สองของเธออยู่ข้างหลังศีรษะของเธอ และเสียงเคี้ยวอย่างตระกะทุกคืน สามีของเธอจึงไล่เธอที่เป็นผีออกจากบ้าน และเธอก็ถูกชาวบ้านขับไล่จนออกจากเมือง เธอไม่มีที่ไปและอดอยากไม่มีอาหารกิน เธอรู้ถึงความรู้สึกของการที่อดอยากหิวกระหายที่เธอเคยทำไว้กับลูกของสามีกับภรรยาเก่า... และเธอก็ตายทั้งๆที่ร่างเป็นสาวสองปาก
จากเรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่มักจะเล่ากันในบรรดาของคนญี่ปุ่น และสรุปได้ว่าผีตนนี้เป็นเพราะกรรมที่ตนได้ทำไว้และอีกอย่างคือการถูกผีอดอยากเข้าสิง... โดยเฉพาะผีเด็กที่อดอยากแม้แต่น้ำนม...



เครดิต/dek-d.com


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-04 11:23:41


เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#278
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 10:00:54

#278 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 10:00:54 ]





ตอนสุดท้ายของ UFO แล้วนะครับ

คนมาจากลิงจริงหรือ?


เด็กๆทุกคน เชื่อว่า มนุษย์อย่างพวกเรามีต้นกำเนิดมาจากลิง หรือเปล่า คงต้องศึกษาจากเรปนี้

ในท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาติ ได้มีนักค้นคว้าหลายต่อหลายคนพยายามที่จะค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า “มนุษย์มาจากไหน? ” และหลายครั้งเมื่อเราถามคนทั่วไปว่า “คนมาจากไหน? ” ถ้าเราถามตอบแบบเล่นๆก็คงจะถามตอบว่า...



คนมาจากลิงจริงหรือ ?

ในท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาติ ได้มีนักค้นคว้าหลายต่อหลายคนพยายามที่จะค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า “มนุษย์มาจากไหน? ” และหลายครั้งเมื่อเราถามคนทั่วไปว่า “คนมาจากไหน? ” ถ้าเราถามตอบแบบเล่นๆก็คงจะถามตอบว่า



…คนมาจากพ่อของคน ...
แล้วพ่อของคนมาจากไหน?
...มาจากพ่อของคนอีกที
แล้วคน คนแรกมาจากไหน?
...มาจากลิง
แล้วลิงมาจากไหน?
...มาจากพ่อของลิง
แล้วพ่อของลิงมาจากไหน?
...มาจากพ่อของพ่อลิงอีกที
แล้วลิงตัวแรกล่ะมาจากไหน?
...มาจากเซลล์
แล้วเซลล์มาจากไหน?
...มาจากพ่อของเซลล์
แล้วพ่อของเซลล์มาจากไหน?
...มาจากพ่อของพ่อเซลล์อีกที
แล้วเซลล์ตัวแรกมาจากไหน?
เมื่อมาถึงคำถามนี้ คนทั่วไปก็ไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไร บางคนก็ตอบว่า
“ไม่รู้เหมือนกัน” หรืออาจจะตอบว่า “มันเกิดขึ้นเองมั้ง”


หลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบวัคซีนรักษาโรคพิษสุนัขบ้า ได้พิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นชัดแล้วว่า ชีวิตไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นเอง แต่ชีวิตจะต้องเกิดจากชีวิตเท่านั้น ซึ่งชาร์ล ดาร์วิน Charles Darwin ผู้เขียนหนังสือ “ที่มาของพันธุกรรม” “The Origin of Species” ในปี 1859




ก็มีความคิดเห็นที่เหมือนกันและถ้าจะถามดาร์วินต่อไปว่า “ชีวิตเกิดมาจากไหน?” เขาก็ได้ตอบในหนังสือของเขาเล่มนี้ว่า “ชีวิตนั้นได้ถูกสร้างและออกแบบขึ้นมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง” (หน้าที่ 458) จากข้อมูลข้างต้นนี้ทำให้เราได้เห็นว่า ชาร์ล ดาร์วิน เองก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างชีวิตขึ้นมา เพียงแต่เขาต้องการอยากจะทราบว่า พระเจ้านั้นสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆหลายรูปแบบจากเซลล์ เซลล์เดียว หรือค่อยๆมีการวิวัฒนาการ โดยเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับภาคของสิ่งมีชีวิต และเห็นว่าความคิดในเรื่องเซลล์ที่มีชีวิตเล็กๆ ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนั้น เป็นสิ่งที่จริงในวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นมันน่าจะเป็นไปได้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มาจากการวิวัฒนาการของเซลล์เล็กๆเหล่านี้




ดังนั้นเขาจึงพยายามหาข้อมูลจากสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติ เพื่อมาพิสูจน์ทฤษฎีความเชื่อของเขาในหนังสือเล่มนี้ของเขาเอง ได้อธิบายถึงความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่ของเซลล์ที่มีศักยภาพในการต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอดสูงมาก และเมื่อมันอยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆ มันก็จะปรับตัวในการสร้างรูปร่างของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ เพื่อให้ชีวิตของมันสามารถดำรงอยู่ได้โดยใช้ระยะเวลาและความบังเอิญในการสร้างรูปร่างของมัน เขาจึงคิดว่ามนุษย์เราน่าจะมาจากสายพันธุ์ของลิงเอป (ape) โดยการใช้ระยะเวลาหลายล้านปีในการปรับสภาพรูปร่างจนกลายเป็นรูปร่างของมนุษย์อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งทฤษฎีนี้คิดว่ามนุษย์ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ไม่ได้หยุด ดังนั้นมนุษย์เราในอีกหลายล้านปีข้างหน้าอาจหัวโตขึ้น เพราะใช้สมองมาก และนิ้วมืออาจะเล็กลงเพราะใช้แต่นิ้วชี้ หรือร่างกายภายในอาจจะมีการปรับตัวให้มีชีวิตอยู่ได้แม้ในสภาพที่มีออกซิเจนในอากาศอยู่น้อยก็ตาม




และถ้ามีคนถามชาร์ล ดาร์วินว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตมากมายหลายพันธุ์ อะไรเป็นตัวคัดเลือกว่าเซลล์นี้ควรจะเป็นปลาวาฬ เซลล์นี้ควรจะเป็นผีเสื้อ เซลล์นี้ควรจะเป็นแรด เซลล์นี้ควรจะเป็นคน... ซึ่งชาร์ล ดาร์วินได้ตอบว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ก็เพราะผ่านกระบวนการคัดเลือกทางธรรมชาตินั่นเอง ซึ่งถ้าเราจะสรุปข้อสมมติฐานในเรื่องนี้ของดาร์วิน ก็จะสามารถสรุปได้ 3 ประการ แต่ทั้ง 3 ประการนี้ล้วนแต่สามารถมีข้อโต้แย้งได้ทั้งสิ้น

เครดิต http://www.mythland.org/v3/thread-34-1-1.html




เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#279
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 10:02:36

#279 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 10:02:36 ]





ส่วนเรื่องนี้เกี่ยวกับคนที่เชื่อตำนานเรือไททานิค

ไททานิคไม่ได้จมลงเพราะน้ำแข็ง ถ้าซ้ำขออภัย

A Ship of Dream กับฉายา "Unsinkable" หรือไม่มีวันจม คือชื่อไททานิคเรือเดินสมุทรขนาดยักษ์ เป็นเรือที่ออกแบบโดยวิศวกรชาวอังกฤษที่ชื่อมิสเตอร์แอนดรูว์ และต่อเรือด้วยบริษัทไฟว์สตาร์ไลน์


จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์แล้วไททานิคนั้นเมื่อออกเดินทางจากท่าเรือเซาท์แธมตัน (Southampton) ที่ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 1912 เป็นครั้งแรกนับจากต่อเรือเสร็จก็เกิดอุบัติเหตุแล้วได้จมลงเลยครับ ไปไม่ถึงปลายทางที่อเมริกาดังที่ตั้งใจและตามความหวังของผู้คนอีกหลายคน รวมทั้งผู้ที่สร้างมันขึ้นมาด้วย ทำให้ผู้โดยสารกว่า 1,500 คน จากจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 2,200 คน เสียชีวิตกลางทะเลอันหนาวเหน็บ เพราะอุปกรณ์ช่วยชีวิตไม่พอเพียงต่อผู้คน

กลายเป็นข่าวที่ช็อคโลก บ้างก็ว่ามันจมลงเพราะจากคำสาปฟาโห์เพราะไททานิคได้บรรทุกเพชรที่มีชื่อว่า Hope Diamod ไปด้วย (มะช่าย Heart of The Oceanนา อิอิ) สาเหตุของการจมนั้นในหน้าประวัติศาสตร์บันทึกว่า ไททานิคนั้นมองไม่เห็นทางชัดเจนเท่าใด เพราะอากาศมืดมิดและเป็นคืนที่ไม่มีดาวส่องแสงเลยไปชนเข้ากับก้อนน้ำแข็งด้วยอัตราเร็วสูง เกิดน้ำท่วมไปกว่า 2/3 ของลำเรือ ไททานิคเลยลงไปนอนอยู่ก้นทะเลด้วยน้ำแข็งเพียงก้อนเดียว ดับ




ฉายา "Unsinkable" และขนาดอันใหญ่โตของมันภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง นี่ก็เป็นสาเหตุคร่าวๆ ของการที่ไททานิคจมลง แต่…ก็มีผู้คนจำนวนหนึ่งออกมาอ้างครับว่า "ไททานิคน่ะไม่ได้จมลงเพราะน้ำแข็งร้อก !! มันจมลงเพราะตอร์ปิโดของเรือดำน้ำเยอรมันต่างหากเล๊า !! ชาวโลกน่ะถูกหลอกมานานนับ 90 ปีแล้ว โดยจากการร่วมมือกันของรัฐบาลอมริกาและอังกฤษ ลองคิดกันเล่นดูๆ ซิ มันจมลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นะ โดยเรือดำน้ำเยอรมัน นะ ชาวโลกเอ๋ย" เอาละซิครับ ก็ว่ากันไป โดยจากเยอรมันได้ส่งเรือดำน้ำติดตามเรือไททานิค ไปทั้งวันและคืนพร้อมกับตอร์ปิโดสว่าน จนกระทั่งสบโอกาสเหมาะในอันหนาวเย็นคืนหนึ่ง เรือดำน้ำของเยอรมันก็ได้ไปหลบอยู่ข้างหลัง เจ้าก้อนน้ำแข็งแห่งประวัติศาตร์


และเริ่มลงมือปล่อยตอร์ปิโดสว่านออกไปในจังหวะที่ไททานิคเข้าชนที่แง่น้ำแข็งเพียงแค่ส่วนน้อย และกำลังจะหักหลบพ้น แต่เจ้ากรรม ตอร์ปิโดพิฆาตได้ทะลวงเข้าไปยังกาบเรือด้านขวาเสียแล้ว ทำให้เกิดเสียการทรงตัวและพุ่งเข้าชนกับก้อนน้ำแข็งอีกครั้ง น้ำจำนวนมากก็ไหลเข้าไปยังเรือ จากนั้นเยอรมันจึงถอนตอร์ปิโดกลับ (ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง) และล่าถอยหลับไป ในอีก 3 ชั่วโมงต่อมาไททานิคก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์เหตุการณ์ที่สำคัญของโลกไปเรียบร้อยครับ และชาวโลกก็เชื่อกันว่ามันจมลงเพราะชนเศษเสี้ยวน้ำแข็งไป แต่รัฐบาลอเมริกาและอังกฤษรู้เรื่องมาโดยตลอดแต่ได้ปิดบังเอาไว้


ก็เป็นส่วนที่ว่ากันไปครับ เท็จจริงยังไงพิจารณากันเอา


ในส่วนของการจมของไททานิคนั้น ก็มีการหาคำตอบจากซากเรือและวิเคราะห์มานานแล้วครับว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด ทั้งวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ คำตอบก็อย่างที่เราทราบกันละครับว่ามันจมลงเพราะชนเข้ากับน้ำแข็ง และเพราะโครงสร้างของเหล็กที่หดและแข็งตัวเมื่อเจอกับความเย็นจัดจนเปราะ และทำให้เมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงแล้วชนเข้ากับเพียงแค่ก้อนน้ำแข็ง แต่ทำให้เกิดรอยรั่วขนาดใหญ่จนจมลงไป

ส่วนทางอีกเรื่องหนึ่งในส่วนของตอร์ปิโดของทางเยอรมัน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรและกลุ่มคนที่ออกมากล่าวเช่นนี้เป็นใคร บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดหรืออยู่ในปฏิบัติการในครั้งนั้นก็อาจเป็นไปได้ ซึ่งอยากจะประกาศให้โลกรู้ถึงผลงานของตัวเอง หรือไม่ก็เป็นแค่ทฤษฎีหรือเรื่องเล่าโคมลอยที่ไม่เป็นความจริง ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายเรื่องที่มีความแปลก หรือคุณว่าไงครับ ???

เครดิต http://www.mythland.org/v3/thread-65-1-1.html



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#280
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 10:03:33

#280 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 10:03:33 ]





ผมจะไม่ป้ำโพสอีกต่อไปครับขอโทษอีฟนะครับ



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 19th April 2025 08:54

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ