โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ฆาตกรโหดสะท้านโลก
oopoum
#1
09-12-2010 - 20:05:19

#1 oopoum  [ 09-12-2010 - 20:05:19 ]




เครดิต http://www.dek-d.com

มีหลายสาระค่ะ


แมรี่ เบลล์ (Mary Bell)

เธอคือเด็กผู้หญิงที่ฆ่าเด็กคนอื่น เป็นฆาตกรในโฉมหน้าเด็กน้อยแสนน่ารัก หน้าตาดี ฉลาด ผมดำ ตาคมสีฟ้า บัดนี้เธอโตเป็นผู้ใหญ่เป็นแม่ของคน เธอดิ้นรนเพื่อคว้าหาความสันโดษ สำหรับตัวเธอและลูกสาว จนกระทั้งหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นตัวเธออีกเลย...................

แมรี่เกิดเมื่อปี 1957 เป็นบุตรของเบทตี้ เบลล์ซึ่งเป็นโสเภณีและติดยา มักไปทำ "ธุระ"ในกลาสโกว์อยู่เสมอ (เธอเป็นโสเภณีประเภทซาดิสต์ ชอบเล่นแส้และเครื่องพันธนาการ) เบทตี้มีคนรักชื่อบิลลี่อยู่แล้ว แต่เนื่องจากเธอรับเงินช่วยเหลือจากประกันสังคมอยู่จึงสอนลูกให้เรียกบิลลี่ว่าคุณลุงแทน กล่าวกันว่าเบทตี้พูดกับพยาบาลหลังจากที่คลอดแมรี่เสร็จเป็นคำแรกว่า"Take that thing away from me"

เท่านี้ก็คงพอที่จะบอกได้แล้วว่าครอบครัวที่แมรี่เติบโตมาเป็นยังไง

ส่วนสภาพในบ้าน ตำรวจที่เคยไปบ้านของแมรี่ถึงกับกล่าวออกมาภายหลังว่า "ไม่รู้สึกว่ามันเป็นบ้าน มันเหมือนเปลือกหอย สิ่งเดียวที่บอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคือเสียงหมาเห่า"

แมรี่มีพฤติกรรมแปลกมาตั้งแต่ยังเด็ก มักจะมีเรื่องทำร้ายร่างกายเด็กคนอื่นอยู่บ่อยๆอย่างไม่ค่อยมีเหคุผล เธอเคยบีบคอซูซานซึ่งเป็นญาติเพียงเพราะเหตุผลว่าซูซานไม่ได้ให้ของขวัญในวันเกิดของเธอ บางคนถูกเธอผลักตกลงจากกันสาดอย่างไม่มีเหตุผล

นอกจากนี้แมรี่ ยังมีนิสัยที่ใครๆ ต่างไม่ชอบเธอ ตรงที่ เธอฉลาด ไม่รู้จักอาย เธอชอบโกหก ชอบโอ้อวด ไม่รู้สึกสำนึกผิดที่ตนทำกับคนอื่นเอาไว้ แต่กระนั้นเธอก็อยากเป็นจุดสนใจต่อสายตาผู้อื่น เนื่องด้วยความต้องการ ที่โอ้อวด ทำให้แมรี่ คิด คิด อยากทำอะไรสักอย่าง ที่ให้ตัวเองได้เด่น ได้ดัง อะไร อะไรสักอย่างหนึ่ง.........................

วันที่ 25 พฤษภาคม 1968 ย่านนิวคาสเซิ่ลทางตอนเหนือของอิงแลนด์ เวลา 23.30 น.

เด็ก 3 คน ได้พบศพของเด็กเล็กคนหนึ่งที่ชั้นสองของบ้านร้างหลังเก่า ศพนั้นนอนหงายอยู่บนพื้น ลักษณะมีเลือดไหลออกจากปาก แก้มและคางมีน้ำลายเลอะเทอะอยู่เป็นจำนวนมาก ใกล้ๆกับศพมีขวดแอสไพรินเปล่าตกอยู่

จากการสืบสวนพบว่าเหยื่อเคราะห์ร้ายชื่อมาร์ติน บาราวน์ อายุ 4 ปี ศพของมาร์ตินไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือรอยถูกบีบรัดใดๆที่สะดุดตาเป็นพิเศษ

มีพยานให้การว่าเขาพบมาร์ตินครั้งสุดท้ายเวลา 15.15 น.ของวันนั้น มาร์ตินไปซื้อขนมที่ร้านขนมและแวะบ้านของป้าเพื่อกินขนมปัง เขาออกจากบ้านของป้าเวลา 15.20 น. ก่อนจะถูกพบเป็นศพเมื่อเวลา 15.30 น. ในครั้งแรกตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการกินยาผิด แต่การชันสูตรศพก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดมากไปกว่าเลือดออกในสมอง ตำรวจได้แต่กุมหัวเนื่องจากไม่พบเบาะแสใดๆเพิ่มเติม และในขณะเดียวกันชาวบ้านสก๊อตวู้ดต่างไม่พอใจในการสอบ

วันรุ่งขึ้นหลังการตายของมาร์ติน มีเด็กผู้หญิงสองคนมายังบ้านของมาร์ติน ทั้งสองคือ แมรี่ เบล อายุ 10 ขวบ และนอร์มา เบล อายุ 13 ขวบ (แมรี่และนอร์มา มีนามสกุลเดียวกันก็จริงแต่ไม่ได้เป็นญาติกัน) ริต้าซึ่งเป็นป้าของมาร์ตินให้การในภายหลังว่าแมรี่ถามคำถามที่เสียดแทงใจเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเกี่ยวกับการตายของมาร์ติน ทำนองว่า"ป้าคิดถึงมาร์ตินไหม?" "ร้องไห้ให้มาร์ตินหรือเปล่า?" มาร์ตินตายแล้วเหงารึเปล่า" "มาร์ตินตายแล้วร้องไห้รึเปล่า" และแมรี่นี่เองที่เป็นคนมาแจ้งให้ริต้าทราบว่าหลานของเธอตายอยู่ที่ตึกร้างในวันเกิดเหตุ

จูน บาราวน์ แม่ของมาร์ตินก็โดนเด็กแสบสองคนมาก่อกวน เช่นกัน "เธอหมุนตัวไปรอบๆ และยิ้มแย้มแบบเด็กน่ารักทั่วไป เธอบอกว่าขอพบมาร์ติน ฉันบอกว่ามาร์ตินตายแล้ว เธอก็ยิ้มตอบ แล้วตอบมาว่าเธอก็รู้ว่ามาร์ตินตาย ก่อนที่ฉันจะโกรธกับคำตอบนั้น ฉันก็ปิดประตูดังใส่หน้าเธอ"

เช้าวันที่ 27 พฤษภาคม สถานรับดูแลเด็ก ครูที่เดย์ เนอร์เซอรี ตรงถนนไวท์เฮาส์ ในวู้ดแลนด์ เครสเซนท์ ใกล้ที่เกิดถูกคนบุกรื้อค้น เข้าของกระจุยกระจาย ตำรวจพบกระดาษ 4 แผ่น เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ปะปนอยู่ในกองเครื่องเขียน


แผ่นที่ 1 "ฉันฆ่าคน แล้วฉันจะกลับมาใหม่"



แผ่นที่ 2 "เราฆ่าคน ระวังแฟนนีและแฟ็คก็อตให้ดี"



แผ่นที่ 3 "เราฆ่ามาร์ติน บาราวน์ ไอ้สารเลว"



แผ่นที่ 4 " พวกแกพลาด เพราะเราฆ่ามาร์ติน บาราวน์ ตายแล้ว จงระวังแฟนนีและแฟ็คก็อต จะเป็นคนต่อไป

ในครั้งแรก ตำรวจยังคงเชื่อว่านี่เป็นการเล่นตลกเสียมากกว่าจึงโยนทิ้งกระดาษพวกนั้น และในวันเดียวกันนั้นเอง แมรี่ก็เขียนในสมุดบันทึกโรงเรียนดังข้างล่างนี้





ในบันทึกมีรูปวาดเป็นรูปของเด็กผู้ชายอยู่ท่าทางเดียวกับมาร์ตินตอนพบศพ มีขวดอยู่ใกล้ๆ เขียนคำว่า "ยา" มีชายคนหนึ่งเดินมาที่เด็ก และข้อความว่า" วันเสาร์ฉันอยู่ในบ้าน แม่ให้ฉันไปถามนอร์มาว่าไปซื้อของด้วยกันไหม เราไปด้วยกัน และกลับมาตามถนนมาเกร็ต เห็นมีคนมุงอยู่ที่บ้านหลังเก่า ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีเด็กคนหนึ่งนอนตาย"

แต่กระนั้นครูที่สอนหนังสือของแมรี่ ไม่สะกิดใจแต่น้อย แม้ว่าเธอจะเป็นนักเรียนคนเดียวที่เขียนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของมาร์ติน

วันศุกร์ สัปดาห์เดียวกัน แมรี เบลล์ และ นอร์มา เบลล์ ถูกจับกุมได้คาหนังคาเขา ฐานบุกรุกสถานรับดูแลเด็ก ครูที่เดย์ เนอร์เซอรี แต่ปฏิเสธการบุกรุกคราวก่อน และถูกปล่อยตัวให้อยู่ในการควบคุมของผู้ปกครองไปจนกว่าจะส่งฟ้องศาลเยาวชน

อาทิตย์ถัดมา มีเด็กผู้ชายคนอื่นเห็นแมรี่กระโจนใส่นอร์มา ที่บ่อทรายของเนอร์เซอรี แมรีข่าวและเตะหน้าของนอร์มา พร้อมกับตะโกนว่า"ฉันเป็นฆาตกร" และเธอยังชี้ไปยังตึกร้างที่พบศพของมาร์ตินพร้อมกับบอกว่า"บ้านหลังโน้นไง ที่นั้นแหละที่ฉันฆ่า....." หากในตอนนั้นไม่มีใครถือจริงจัง เพราะแมรี่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนขี้โกหก โอ้อวดคุยโว

จนกระทั้ง ศพที่สองตามมา.....................

ฤดูร้อน ปี 1968

สองเดือนให้หลัง วันที่ 31 กรกฎาคม (ผ่านวันเกิดของแมรี่ไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงมีอายุ 11 ปี)

"เธอตามหาไบรอันเหรอ?" แมรี เบลล์ ถาม แพท โฮวี่ พี่สาวของไบรอัน อายุ3 ขวบ เขาหายตัวไปจากบ้าน

"เขาอาจเล่นอยู่แถวๆ นี้ก็ได้" แมรีเอ่ย พลางชี้ไปที่แท่งคอนกรีตขนาดใหญ่ที่กองระเกะระกะ ที่อยู่ในสถานที่ก่อสร้าง ซึ่งพวกเด็กมักชวนเล่นซ่อนหากัน

"ไม่หรอก เขาไม่เคยอยู่ที่นั้น" นอร์มายืนยัน

จนกระทั้ง 23.10 น. ตำรวจก็ได้พบศพไบรอันโฮวี่ ศพของเขาถูกพบใต้บล๊อกอิฐในละแวกบ้านนั่นเอง ศพของไบรอันถูกหมกอยู่ใต้หญ้าและวัชพืชดอกไม้สีม่วง ปากมีน้ำลายปนเลือดติดอยู่ ศีรษะถูกทุบด้วยของแข็ง มีรอยข่วนที่จมูก ใกล้กับศพ มีกรรไกรตกอยู่ คมข้างนึงหัก อีกข้างบิดงอ มีรอยแทงที่บริเวณต้นขาศพ อวัยวะเพศถูกเฉือนหายไปบางส่วน ผมถูกตัดไปกระจุกหนึ่ง และมีบาดแผลแปลกประหลาด ขนาดตำรวจบอกว่า "เหมือนทำเล่นๆ เพื่อความสนุก แต่เป็นการเล่นที่สยดสยอง"บริเวณท้องถูกกรีดเป็นตัวอักษร M กระทำขึ้นหลังจากที่ไบรอันเสียชีวิตแล้ว รอยกรีดนี้เชื่อว่าตอนแรกคิดจะกรีดเป็นตัว N แต่ต่อมาก็กรีดรอยที่สี่ต่อเป็นรูป M ทีหลัง ด้วยมือของอีกคน

จากการชันสูตร แพทย์สรุปว่าสาเหตุการตายเพราะถูกบีบคอโดยเด็ก ตรงนี้เองที่ตำรวจเอะใจขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ว่ามาร์ติน บาราวน์ ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุเดียวกัน? เพราะแรงบีบของเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่มากจนไม่เหลือรอยช้ำไว้ชัดนัก

ตำรวจได้รวบรวมเด็กๆอายุตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปีกว่า 1200 คนซึ่งอาศัยอยู่ในแถบนั้นและแจกแบบสอบถามให้กับทุกคน ในบรรดาคำตอบซึ่งไม่ตรงประเด็นเท่าใดนักกว่า 1000 ใบ มีอยู่ 2 คนที่น่าสงสัยกว่าคนอื่น ในที่สุดชื่อของแมรี่และนอร์มาก็ผุดขึ้นมาในฐานะผู้ต้องสงสัย โดยนอร์มาออกอาการตื่นเต้นในการฆาตกรรม ส่วนแมรีคอยหลีกเลี่ยงไม่รู้ไม่เห็นและมีท่าทีแปลกๆ "เธอยิ้มระรื่นตลอดเวลาราวกับเป็นเรื่องขำเต็มประดา" เจ้าหน้าคนหนึ่งบอก

แมรี่และนอร์มาถูกสอบปากคำหลายครั้ง และพวกเธอก็กลับคำให้การของตัวเองไปเรื่อยๆ ต่อมาแมรี่ให้การว่าเธอเห็นเด็กชายคนหนึ่งมีดอกไม้สีม่วงติดตัวและถือกรรไกร หากเมื่อตำรวจสอบปากคำเด็กชายดังกล่าวก็พบว่าเขามีพยานยืนยันที่อยู่อันแน่นอน ข้อสงสัยจึงตกมายังแมรี่ เนื่องจากลักษณะของกรรไกรซึ่งพบในที่เกิดเหตุนั้นไม่ได้ถูกประกาศออกสู่สาธารณชน

ศพของไบรอันถูกฝังในวันที่ 7 สิงหาคม นักสืบเจ้าของคดีนี้ไปร่วมพิธีด้วย แมรี เบลล์ ยืนอยู่บนศพของอยู่หน้าบ้านตอนเคลื่นศพของไบรอัน "ผมจับตาดูธอ เห็นเธอยืนหัวเราะพร้อมกับเอามือถูกันไปมาอย่างสบอารมณ์ ผมนึกในใจ ผมต้องเอาตัวมาให้ได้ ก่อนที่จะมีเธอจะหาเหยื่อคนอื่นอีก"

และในที่สุดนอร์มาก็รับสารภาพออกมา ครั้งแรกเธอบอกว่าแมรี่พาเธอไปดูศพของไบรอัน (มีการพบมีดโกนซึ่งใช้กรีดท้องไบรอันตามคำให้การของนอร์มา) ก่อนจะยอมรับภายหลังว่าแมรี่บีบคอไบรอันต่อหน้าของเธอ

โดยคำให้การนี้แมรี่จึงถูกปลุกจากเตียงกลางดึก (00.15 น.) เพื่อนำตัวไปสืบสวน แน่นอนว่าแมรี่ปฏิเสธคำให้การทุกประการของนอร์มา


"ฉันจะโทรไปหาทนายให้เอาฉันไปจากที่นี่ นี่มันการล้างสมองกันชัดๆ"

การสอบปากคำครั้งนี้ แมรี่ยืนยันว่าเธอไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคดี ตำรวจจึงปล่อยตัวเธอไป(03.30 น.)

อีก 2 วันให้หลัง แมรี่และนอร์มาก็ถูกจับกุมอย่างเป็นทางการ และถูกคุมตัวในสถานีตำรวจนิวคาสเซิล เวสท์เอ็น ในระหว่างนั้นแมรี่กล่าวหาว่านอร์มาเป็นคนฆ่าไบรอันตลอดเวลา

ระหว่างอยู่ในสถานกักกันรอการขึ้นศาล แมรี่บอกกับผู้คุมหญิงว่าเมื่อโตขึ้น เธออยากเป็นนางพยาบาล และเมื่อถามถึงเหตุผล แมรี่ก็ตอบว่า"เพราะเอาเข็มแทงคนได้ หนูชอบเห็นตนอื่นเจ็บปวด" เธอยังพูดเกี่ยวกับการตายของไบรอันอีกด้วยว่า"ที่บ้านไบรอันไม่มีคุณแม่ เขาตายไปก็ไม่มีใครคิดถึงหรอก"

ดอกเตอร์ออลตันซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยสภาพจิตใจของแมรี่ถึงกับกล่าวว่า

"ผมเคยพบกับเด็กที่เป็นฆาตกรหลายคนแล้ว แต่รายที่รุนแรงและอันตรายอย่างนี้เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก เธอทั้งฉลาด รู้จักพลิกแพลง"

วันที่ 5 ธันวาคม 1968 แมรี่ เบลล์ และนอร์มา ถูกนำตัวขึ้นศาล ในขณะที่นอร์มาร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง แมรี่กลับมีทีท่าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายและตั้งใจฟังการตัดสินคดีอยู่ตลอดเวลา ส่วนครอบครัวของแมรี่ก็มาร่วมฟังด้วย

แน่นอนคดีนี้มีผู้คนนักข่าวมาเข้าร่วมฟังมากที่สุดในประวัติการณ์

ในที่สุด วันที่ 17 ธันวาคม การตัดสินก็ออกมาตามความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ นอร์มาถูกตัดสินให้ไม่มีความผิด หากถูกคาดฑัณต์ไว้ ส่วนแมรี่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าคนสองรายโดยไม่ไตร่ตรองไว้ก่อน โทษคือ "ควบคุมตลอดชีวิต" หากเนื่องจากเธออายุยังน้อย โทษจึงเป็นเพียงรับการรักษาทางจิตให้หายดีและปล่อยตัวในภายหลัง

ทว่าไม่มีโรงพยาบาลโรคจิตที่จะรับรองแมรี่ไว้ได้ เธอจึงถูกส่งตัวไปยังสถานกักกันเยาวชนเรดแบงค์ ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 1969 ถึง พฤศจิกายน 1973

ปี 1977 แมรี่อายุ 20 ปีถูกย้ายไปยังเรือนจำสไตอัลซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดีนัก เธอและเพื่อนแหกคุกไปก่อนจะถูกจับได้ในอีก 3 วันให้หลัง ระหว่างการแหกคุกครั้งนี้เธอได้ทิ้งพรหมจารีไปเรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้ แมรี่ให้การว่า"ฉันแค่อยากจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองปกติดี และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เท่านั้นเอง"

14 พฤษภาคม 1980 แมรี่ถูกปล่อยตัวเมื่ออายุได้ 22 ปี เธอถูกปล่อยตัวโดยไม่ได้รับการเยียวยาให้หายจากอาการทางจิตเลย




แมรี่เปลี่ยนชื่อและกลับไปอยู่กับแม่ของเธอ หลังจากเข้ามหาลัยและจบออกมาก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นพนักงานบริการ จนคลอดบุตรหญิงในปี 1984 ที่จริงแล้วแมรี่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรือนจำจนถึงปี 1992 หากเธอก็ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงลูกคนนี้ได้

ปี 1998 แมรี่รอจนลูกสาวโตแล้วกลับมาใช้ชื่อเดิมพร้อมกับออกหนังสือชีวประวัติของตัวเอง (Cries Unheard) ไม่รู้ว่าเนื้อหามีความจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะคนส่วนใหญ่จนทุกวันนี้ก็ยังมองว่าแมรี่เป็นคนขี้โกหกอยู่ดี

ปี 2003 แมรี่หายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นเธอเลยจนถึงปัจจุบัน






21 พฤษภาคม 2003 แมรี่ เบลล์ ได้รับอนุมัติให้เป็นบุคคลนิรนามตลอดชีวิต พร้อมคำสาปแช่ง นางจูง ริชาร์ดสัน แม่ของมาร์ตินว่า "เป็นจุดจบที่ดีของเธอ ที่เธอไม่ต้องมีชื่อเสียงเรียงนามและหายสาบสูญไปเลย พวกเราจะได้อยู่อย่างมีความสุขสักที..............."



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=107#ixzz17cS79uAf



ขอบคุณหรือเม้นก็ได้ไม่ว่ากัน

จะเอามาเพิ่มเรื่อยๆนะคะ


oopoum
#2
09-12-2010 - 20:18:35

#2 oopoum  [ 09-12-2010 - 20:18:35 ]




ไม่มีใครเม้นเลย


Luke Gulden
#3
09-12-2010 - 20:26:37

#3 Luke Gulden  [ 09-12-2010 - 20:26:37 ]






มาแล้วครับ สยองจังเลย สัตว์นรกมาเกิดแน่ๆ



◎‿‿◎
oopoum
#4
09-12-2010 - 20:31:58

#4 oopoum  [ 09-12-2010 - 20:31:58 ]




กรดกำมะถัน หรือ กรดซัลฟิวริก (sulfuric acid หรือ sulphuric acid) สูตรเคมีคือ H2SO 4, เป็น กรดแร่ (mineral acid) อย่างแรง ละลายได้ในน้ำที่ทุกความเข้มข้น ค้นพบโดย จาเบียร์ เฮย์ยัน (Jabir Ibn Hayyan) นักเคมีชาวอาหรับ และพบว่ากรดซัลฟิวริกมีประโยชน์มากมายและเป็นสารเคมีที่มีการผลิตมากที่สุด รองจากน้ำ และข้อมูลน่าสนใจคือมันเป็นสามีเคมีที่ฆาตกรจำนวนหนึ่งนิยมมาใช้เพื่อกำจัดหลักฐานอีกด้วย
จอห์น เฮกห์ ( John Haigh )“แวมไพร์น้ำกรด”

ชื่อเต็ม จอห์น จอร์จ เฮกห์ (John George Haigh)

(1909 –1949)
จอห์น จอร์จ เฮกห์ (24 กรกฎาคม 1909 – 10 สิงหาคม 1949) เป็นฆาตกรต่อเนื่องในประเทศอังกฤษ ในช่วงปี 1940 เขาได้ฉายาว่า “ฆาตกรอาบน้ำกรด” อันเนื่องจากพฤติกรรมการฆ่าของเขาที่ละลายศพของเหยื่อในกรดซัลฟิวริก(กำมะถัน) ก่อนที่จะปลอมแปลงเอกสารเพื่อจะได้ขายทรัพย์สมบัติของเหยื่อ(มีรายงานว่าเขาดื่มเลือดเหยื่ออีกด้วย) เขาถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรมคน 6 คน แต่คาดว่าเขาน่าจะฆ่าเหยื่อไปเก้ารายก็ตาม ภายหลังเขาถูกจับกุม จอห์นเลือกที่จะไม่เลือกรับสารภาพเพราะเขามั่นใจว่าตำรวจไม่มีหลักฐานพอที่จะเอาผิดได้ แต่ด้วยผลลัพท์การหาหลักฐานทางนิติเวชส่งผลให้จอห์นถูกประหารในวันที่ 10 สิงหาคม 1949
จอห์น เฮกห์ หรือ จอห์น จอร์จ เฮกห์ ถือกำเนิดในเวคฟีลด์ ยอร์คเชียร์และเติบโตในหมู่บ้านเอาท์วู้ดทางตะวันตกของ ยอร์คเชียร์ ในครอบครัวของเขาจอห์น และเอมิลี่

ชีวิตในวัยเด็กของจอร์จ เฮกห์ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในอาณาเขตที่ค่อนข้างแคบ เนื่องจากพ่อแม่เป็นคนเคร่งศาสนาและเข้มงวดมากไม่อยากให้เขาออกไปเล่นข้างนอกบ้าง ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ภายในกรงเด็กที่รั้วสูง 10 ft (3m) ที่พ่อของเขาสร้างที่รอบๆสวน ล็อกขังเขาไว้ไม่ให้ออกนอกบ้าน ซึ่งกลายเป็นว่าการกระทำแบบนี้ทำให้จอห์น เฮกห์กลายเป็นคนกลัวพ่อแม่โดยบริยาย

แต่กระนั้น จอห์น เฮกห์ เป็นเด็กฉลาด เขาสอบเป็นเด็กในทุนของราชินีอลิซาเบท และได้เข้าเรียนโรงเรียนไวยากรณ์เวคฟีลด์แต่รู้สึกว่าด้านมืดจะกลบความฉลาดมากกว่า เพราะหลายคนมักบ่นว่าเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มากๆ โดยอ้างความเป็นเจ้าของโต๊ะเรียนว่าเป็นทรัพย์สินเขาโดยการสลักชื่อตนเองไว้ที่โต๊ะ

เมื่อฮักส์อายุ 20 ปี เขาก็ได้ทุนอีก และเคยเป็นนักร้องประสานเสียงชายที่โบสถ์เวคฟีลด์ด้วย

จากนั้นจอห์น เฮกห์ก็เริ่มพัฒนาจากคนเจ้าเล่ห์เป็นคนโลภมาก เมื่อเฮกห์อายุ 21 ซึ่งหลังจากเลิกเรียนเขาจะมาเป็นเด็กฝึกงานในบริษัทเครื่องยนต์ ก่อนที่จะได้งานเป็นนายหน้าประกันภัย และโฆษณาประกันภัย ก่อนที่จะโดนไล่ออกในปี ค.ศ. 1934 เมื่อนายจ้างของเขาสงสัยว่าเขาขโมยเงินในกล่องเงินสด

ในปี ค.ศ.1934 เฮกส์กลายเป็นคนเกลียดการเข้าโบสถ์โดยถวาร

6 กรกฎาคม 1934 เฮกห์แต่งงานกับเบียทริซสาวอายุ 21 ปี แต่ชีวิตหลังแต่งงานนั้นก็จบลงอย่างรวดเร็วเพราะ เฮกห์ถูกจับขังคุกจากคดีปลอมแปลงเอกสารและโกงลูกค้ารายหนึ่ง และระหว่างจำคุกอยู่นั้นภรรยาเขาเกิดตั้งท้องและเมื่อเขาออกจากคุกภรรยาและลูกก็หนีจากเขาไป ปล่อยให้เฮกส์อยู่คนเดียวตามลำพัง

ขณะที่เฮกห์ถูกปล่อยตัวนั้นเป็นปีที่เกิดสงครามโลกระหว่างนาซีกับอังกฤษพอดี................

แม้ลอนดอนตอนนั้นจะเกิดภัยสงคราม แต่เฮกห์ไม่สน เขาย้ายที่อยู่จากบ้านนอกสู่มหานครลอนดอนใน ปี ค.ศ.1936 เขาเช่าห้องเช่าหลายห้องที่ถนนเกลาส์เตอร์ เมืองลอนดอน และประกอบอาชีพเป็นคนขับรถแท็กซี่ และช่างเครื่อง จนกระทั้งในเวลาต่อมาเขาก็พบกับเพื่อนที่เป็นเจ้านายผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้นของฆาตกรรมต่อเนื่องสุดพิสดาร

นาย วิลเลียม แมคสแวนน์

เฮกห์พบนายแมคสแวนน์ โดยความบังเอิญแท้ๆ เขาสองคนพบกันที่โกทผับใน เมืองเคนซิงตัน และพูดจากันถูกคอ จนแมนสแวนน์พาเฮกห์ไปแนะนำตัวต่อนายดอนและนางเอมี่พ่อแม่ของเขาให้เฮกห์รู้จัก จากนั้นเขาก็บอกเฮกห์รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของร้านพินบอลและนักลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มั่งคั่ง

นั้นทำให้เฮกห์ตาลุกวาว จนสามารถคิดแผนอย่างหนึ่งได้

และแล้ววันที่ 6 กันยายน 1944 แผนการของเฮกห์ก็เริ่มต้นขึ้น……………….

วันนั้นนายแมคสแวนน์มาหาเขาที่ห้องทำงานห้องใต้ดินที่ 79 ถนน กลัวเชสเตอร์ ลอนดอน ตามคำชวนของนายเฮกห์ ในห้องมีเครื่องมือช่างหลากหลาย มีทั้งเครื่องมีช่างไม้ ช่างเชื่อมโลหะ ช่างเหล็กอยู่ครบครัน แต่แล้วแมคสแวนน์เกิดสะดุดถังใบหนึ่งที่ใส่กรดกำมะถันในมุมห้อง เขาถามเฮกก์ว่า “ถังใบนั้นใช้ทำอะไร” ซึ่งคำตอบของเฮกห์คือการใช้ค้อนตีหัวเขาอย่างจัง จนล้มหายใจลอยละลิ่ว ล้มต่อหน้าเฮกห์ ซึ่งจากรายงานบอกว่าเขาดื่มเลือดของแมคสแวนน์ด้วย จากนั้นพอตกกลางคืนก็กำจัดศพโดยการหย่อนร่างไร้วิญญาณของนายแมคสแวนน์ลงถังแกลลอนขนาดเบอร์ 40 (150 ลิตร) แล้วเทกรดซัลฟัวริกตามลงไป

เฮกห์บอกวิธีทำลายศพนี้ว่าเขาได้ไอเดียนี้มาจากขณะที่เขาอยู่คุก ว่างๆ เขาจินตนาการสิ่งซึ่งเขาคิดว่าอันไหนคือการฆาตกรรมสมบูรณ์แบบที่สุดที่จะฆ่าเหยื่อโดยไร้หลักฐาน เขาคิดไว้หลายแบบ แต่ผลสุดท้ายเขาเลือกที่จะใช้วิธีกรดซัลฟัวริกในการละลายศพในที่สุด ซึ่งพอดีเวลานั้นนายโดนัลด์อยู่ที่นั้นพอดี เขาเลยทดลองกับมันดู ผลคือมันประสบผลสำเร็จเกินกว่าที่คาด ร่างของเขาละลายไปพร้อมกระดูกในกรดในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น

อีกสองวันต่อมาศพของ วิลเลียม แมคสแวนน์ ก็กลายเป็นน้ำโคลน และหลักฐานทั้งหมดถูกเฮกห์นำไปทิ้งที่ท่อระบายน้ำ

นายแมคสแวนน์หายตัวไปตลอดกาล ………….

กลับมาทีเฮกส์ หลังจากที่เขาฆ่าแมคสแวนน์ ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาไปบอกพ่อแม่ของนายแมคสแวนน์ว่าลูกชายของพวกเขาหนีไปสกอตต์แลนด์เพราะไม่อยากถูกเกณฑ์ทหาร แล้วยึดข้าวของของนายแมคสแวนน์ทั้งหมด

จากการหายตัวของนายแมคสแวนน์ ทำให้เฮกค์ฮุบกิจการทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว และได้กำไรจากการค้านั้น แต่มันก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเขาอีกทั้งนายดอนและนางเอมี่พ่อแม่ของแมคสแวนน์ เริ่มสงสัยว่าทำไมลูกชายไม่ยอมกลับมา แม้ว่าสงครามใกล้จะจบลงแล้ว

ดังนั้น เฮกส์จำต้องฆ่าพ่อแม่ของโดนัลด์ซะเพื่อตัดปัญหา

วันที่ 2 กรกฏาคม 1945 เขาล่อสองสามีภรรยาด้วยการเขียนจดหมายอ้างชื่อว่าเป็นนายแมคสแวนน์ บอกว่าเขาอยู่ที่ห้องเช่าที่ถนนกลัวเชสเตอร์ของจอห์น ฮังกส์อยากให้มารับที่นั้น และเมื่อทั้งสองมาถึงฮักก์จัดการพวกเขาในห้องที่ทำงาน จากนั้นก็นำศพใส่ในกระทะที่ใส่กรดกรดซัลฟิวริกผสมกับตะกอนน้ำมัน ศพสองคนละลายเป็นโคลน ฮังกส์จัดการศพทั้งสองที่ละลายแล้วด้วยการทิ้งลงในท่อระบายน้ำอย่างง่ายๆ

หลังกำจัดตระกูลแมคสแวนน์ ทำให้เฮกส์ฮุปกิจการตระกูลนี้ทั้งหมด เขาปลอมเอกสารโอนสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดไม่เว้นกระทั้งเบี้ยบำนาญให้เขาเป็นผู้รับมรดกแต่เพียงผู้เดียว

เฮกส์ได้เงินจากการฆาตกรรมในครั้งนี้ถึง £8,000

แต่ด้วยความที่เฮกส์เป็นคนชื่นชอบการพนัน และจ่ายเงินแบบละลายน้ำ ทำให้เงินหมดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งกิจการของเฮกส์เริ่มมีปัญหาจากการลงทุน ทำให้เขาต้องก่ออาชญากรรมขึ้นอีกครั้ง

เหยื่อรายต่อมาเป็นคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่ร่ำรวยชื่อ โรซาลีน และหมออาชิบอลด์ เฮนเดอร์สันเฮกส์ทำการตระเตรียมเช่าห้องทำงานที่ครอว์ลีย์ ทางตอนใต้ของลอนดอน และนำถังน้ำกรด จำนวนมากไว้ที่นั้น จากนั้นเมื่อถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1948 เขาเชิญหมออาชิบอลด์ เฮนเดอร์สัน เข้ามาในห้องทำงานของเขาที่นั้น โดยเขาอ้างว่ามีสิ่งประดิษฐ์จะให้เขาดูและเมื่อเฮนเดอร์สันมาถึง เฮกส์ใช้ปืนพกลูกโม่ยิงหมอตายคาที่ จากนั้นเฮกส์ก็ล่อภรรยาเขามาฆ่าอีกคนโดยไปบอกภรรยาว่าสามีป่วยหนักที่ห้องทำงานของเขาอยากให้เธอตามเขามาเพื่อจะดูอาการให้ โรซาลีนหลงเชื่อเฮกส์และเธอก็พบจดจุบตายตามสามี

หลังจากที่เฮกส์จัดการศพทั้งสองคนเสร็จแล้ว เขาก็ปลอมแปลงเอกสารของตระกูลเฮนเดอร์สัน เพื่อให้เขาฮุปทรัพย์สินทั้งหมด เฮกส์ได้เงินจากการฆาตกรรมในครั้งนี้ถึง £8,000

แต่ถึงแม้เฮกส์จะได้ทรัพย์สินมาไว้ในกำมือแล้วก็ตาม แต่เขายังต้องการจะฆ่าเหยื่ออีกเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตสุขสบายยิ่งขึ้น แต่การฆาตกรรมรายต่อมานั้นกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตนเองเพราะเขาไม่ได้ไตร่ตรองเลือกเหยื่อ

18 กุมภาพันธ์ 1949เหยื่อรายสุดท้ายที่เฮกส์เลือกคือ โอลีฟ เฮนเรียตต้า โรบาร์ทส์ ดูแรนด์ เดียคอน หญิงม่ายอายุ 69 ปี ผู้ช่วยพระในโบสถ์ศาสนาคริสต์ เขาหลอกล่อเธอให้เข้าไปในห้องทำงานที่เดียวกับที่เขาฆ่าสองสามีภรรยาเฮนเดอร์สัน โดยบอกเธอว่ามีเล็บปลอมให้เธอ จากนั้นเขาก็ยิงศีรษะเธอที่ด้านหลัง ขณะที่เธอกำลังตรวจสอบวัสดุอยู่ และจัดการถอดเสื้อผ้าและเครื่องเพชร(แหวน สร้อยคอ ต่างหู จี้ ไม้กางเขน เงิน 30 ชิลลิง ปากกาหมึกซึม) และไม่ลืมที่จะกรีดคอเอาเลือดเธอริมใส่แก้วเพื่อดื่มด้วย

หลังจัดการศพเสร็จ เฮกส์จึงไปดื่มชาที่ร้านอย่างสบายใจ


แต่การฆ่าเหยื่อรายล่าสุดนั้นเฮกส์พลาดอย่างจัง เมื่อตำรวจสงสัยเฮกส์เพราะทั้งๆที่เขาไม่สนิทกับนางดูแรนด์ เดียคอน แต่ทำไมเขาถึงได้ทรัพย์สมบัติ ดังนั้นนักสืบจึงขอค้นบ้านของเขา จนพบหลักฐานบันทึกการโจรกรรมและต้มตุ๋นของเฮกห์ และใบเสร็จซักรีดเสื้อโค้ทของนางดูแรนด์ เดียคอน ใบเสร็จอีกใบที่อ้างว่าเป็นของครบครัวแฮนเดอร์สันและของพวกแมคสแวนน์

นอกจากนี้ตำรวจยังพบโคลนที่เป็นก้อนเนื้อที่ห้องทำงานที่ครอว์ลีย์ผลจากการพิสูจน์โคลนในที่ทำงานของเขาโดยนักพยาธิวิทยา คีธ ซิมป์สัน ปรากฏว่าเป็นก้อนเนื้อของคนที่หายสาบสูญสามคน

มันเป็นหลักฐานที่มัดแน่น ส่งผลให้จอห์น จอร์จ เฮกห์ถูกจับกุม ในขณะอายุ 39 ปี ในข้อหาต้มตุ๋นและสังหารคน 6 คน

หลังจากเฮกส์ถูกจับกุม เฮกส์สารภาพทั้งหมดว่าฆ่าคน 6 คน(ก่อนที่จะกลับคำให้การภายหลัง) นอกจากนี้เขายังอ้างว่าเขาสังหารคนหนุ่มหนึ่งคน ผู้หญิงจากเมืองอีสบอนน์, และผู้หญิงจากเมืองแฮมเมอร์สมิธ ซึ่งสำหรับสามรายนี้ตำรวจไม่มีหลักฐานและไม่รู้ว่าเฮกส์พูดจริงหรือเปล่าทำให้ไม่มีการพิสูจน์ในเรื่องนี้

ภายหลังเฮกส์สู้คดีนี้ด้วยการกลับคำให้การในชั้นศาล เพราะเฮกส์เชื่อว่าตำรวจไม่มีหลักฐานเอาผิดเขาได้ เพราะศพละลายเป็นโคลนหมดแล้ว แต่เขาคิดผิด นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบตะกอนน้ำมันที่กระจายในพื้นห้องทำงาน และชิ้นส่วนในโคลนคือถุงน้ำดี เท้าศพ ชิ้นส่วนของกระเป๋าถือ และฟันปลอมของเหยื่อรายล่าสุดที่อยู่จนครบ ทำให้คณะลูกขุนเชื่อว่าจอห์น เฮกส์มีความผิดฐานฆ่าคนจริง

ต่อมาทนายความของเฮกส์แก้ต่างลูกความตนเองว่า เขาเป็นสติไม่สมประกอบ เป็นฆาตกรวิกลจริต ซึ่งในวัยเด็กของเขามีแต่ทุกข์ไม่มีความสุขถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่เข้มงวด โดยอ้างว่านิสัยที่ชอบดื่มเลือดของเขานั้นแสดงถึงความวิกลจริตได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามหลักจากพิจารณาคดีเพียง 2 วัน ผลการตัดสินคือจอห์น เฮกส์มีความผิดฐานฆาตกรรมเหยื่อทั้งหมด 6 ราย และมีโทษประหารชีวิต ซึ่งเขาไม่เป็นคนวิกลจริตแต่อย่างใดโดยเห็นได้จากการที่เขารู้เรื่องกฎหมายและฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

มีการรายงานว่าในระหว่างที่เฮกห์ ถูกคุมขังในคุกพิเศษที่เรือนจำแวนด์สเวอร์ธ เขาขอร้องผู้คุมคนหนึ่งชื่อ นาย แจ็ต มอร์วูด ว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะทดลองแขวนคอดูก่อน เพื่อให้การประหารจริงจบลงเร็วๆและราบรื่น แต่ดูเหมือนว่าคำขอของเขาจะโดนปฏิเสธ

วันที่ 10 สิงหาคม 1949 จอห์น จอร์จ เฮกห์ ถูกนำตัวไปแขวนคอที่ แวนด์สเวิร์ธ โดยเพชฌฆาต อัลเบิร์ต เพียร์พอยนต์





oopoum
#5
09-12-2010 - 20:42:26

#5 oopoum  [ 09-12-2010 - 20:42:26 ]




ดันนนนๆๆๆๆ


babyking
#6
10-12-2010 - 01:18:01

#6 babyking  [ 10-12-2010 - 01:18:01 ]




ถือโอกาศถามในกระทู้นี้เลยนะกัน ได้ยินข่าว ว่าวันที่ 13ธันวาคม เนี่ยๆๆ จะมีฝนดาวตก ทางทิศตะวันออก เฉียงอะไร
ซักอย่างตอนเวลาเที่งคืนถึงเช้าวันที่14ธันวาคม เฉลี่ย70-80ดวงต่อชั่วโมง จะประกาศก็ไม่ใช่เพราะไม่เเน่ใจ


oopoum
#7
10-12-2010 - 09:17:26

#7 oopoum  [ 10-12-2010 - 09:17:26 ]




เอ่อ เราไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อ่ะ


gunser
#8
10-12-2010 - 09:43:15

#8 gunser  [ 10-12-2010 - 09:43:15 ]






oopoum
#9
18-12-2010 - 17:13:18

#9 oopoum  [ 18-12-2010 - 17:13:18 ]




ดันๆๆๆๆ


fahhhhhhhhhh
#10
18-12-2010 - 17:52:11

#10 fahhhhhhhhhh  [ 18-12-2010 - 17:52:11 ]




น่ากลัวเหมือนกันนะ


toonlovemom
#11
18-12-2010 - 18:02:33

#11 toonlovemom  [ 18-12-2010 - 18:02:33 ]




โหดมากค่ะ T^T

บอกได้คำเดียวว่า
โหด!!!!!


ืีnurse_sun
#12
18-12-2010 - 18:05:52

#12 ืีnurse_sun  [ 18-12-2010 - 18:05:52 ]




น่ากลัวอ่ะ


babyking
#13
18-12-2010 - 20:48:54

#13 babyking  [ 18-12-2010 - 20:48:54 ]




มีอีกเรื่องนะครับ เปิด Google เเล้วพิมพ์ว่า ลิซซี่บอเเดน เเล้วเอาอันเเรก จะมีให้อ่านเยอะมาก

มีทั้งราชินีประเทศไหนไม่รู้ที่ลักพาตัว ผู้หญิงที่ยังสาวเเล้วยังสดมาเข้าตู้อะไรซักอย่าที่พายในมีหนาวเเหลมเเล้วรีด เอาเลือดมาอาบ
เพราะคิดว่าจะทำให้ตนนั้นยังสาวเเละสวยตลอกกาล

มีประมาณร้อยกว่าเรื่องมีเเต่แบบบ้าเลือดทั้งนั้น
 427462


oopoum
#14
19-12-2010 - 14:36:57

#14 oopoum  [ 19-12-2010 - 14:36:57 ]




เรปบนพูดถึงเรื่อง

อลิซาเบธค่ะ เธอไม่ใช่ราชินี เธอเป็นลูกขุนนาง

นะคะ


babyking
#15
19-12-2010 - 14:51:50

#15 babyking  [ 19-12-2010 - 14:51:50 ]




555 ผมก็ไม่รู้หรอก ว่าเเต่อยู่ประเทศอังกฤษเหรอถึงได้เรียกว่าอลิซาเบธ
ขนาดลูกขุนนางนะเนี่ย


preawค่ะ
#16
19-12-2010 - 15:08:43

#16 preawค่ะ  [ 19-12-2010 - 15:08:43 ]





อ่านแล้วมึนหัวยาวไปนะ


oopoum
#17
19-12-2010 - 17:48:18

#17 oopoum  [ 19-12-2010 - 17:48:18 ]




อ่า โทษทีน้อ


kimba
#18
28-05-2011 - 11:55:56

#18 kimba  [ 28-05-2011 - 11:55:56 ]




เรื่องอลิซาเบธ เราเคยอ่านนะ นานแล้วล่ะ รู้สึกว่าเธออยู่ทรานซิลวาเนีย พอแต่งงานเธอย้ายไปอยู่ที่สโลวาเกียกับสามีของเธอ


  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 9th May 2024 00:41

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ